บทที่ 402 ซุปแก้แฮงค์ของท่านประธาน
“ได้ครับ ผมจะรีบส่งสูตรการทำที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้ทันทีครับ”
ในขณะที่หลินอวี้พูดประโยคนี้อยู่นั้น อีกมือหนึ่งก็กำลังเขียนอีเมล์บนคอมพิวเตอร์
เซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังจะวางสาย แต่กลับได้ยินเสียงหลินอวี้ที่อยู่ปลายสายพูดขึ้นมาว่า:” เจ้านายครับ เรื่องนั้น….”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายมีเรื่องจะพูดอีกจึงถามขึ้นว่า “อะไร”
หลินอวี้ที่อยู่ปลายสายพูดอย่างระมัดระวังว่า: “ท่านเข้าครัวครั้งแรก ต้องระวังความปลอดภัยนะครับ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงชะงักเล็กน้อย: “ได้”
หลังจากวางสายไปสักพักใหญ่ หลินอวี้ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ฟังเสียงเจ้านายจากโทรศัพท์ก็ดูมีสติดี ถ้าอย่างนั้นซุปแก้แฮงค์นี้ก็ไม่ได้ให้ตัวเองดื่ม หรือว่า…
ทางด้านคฤหาสน์ตระกูลเซิ่ง โทรศัพท์ของเซิ่งเจ๋อเฉิงดังขึ้นหนึ่งครั้ง คือหลินอวี้ส่งวิธีทำซุปแก้แฮงค์มาให้
เซิ่งเจ๋อเฉิงอ่านแล้ว รู้สึกว่าขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ซุปแก้แฮงค์หนึ่งถ้วยก็ทำเสร็จเรียบร้อย
ทั้งหมดใช้เวลาครึ่งชั่วโมง เพราะว่าท่านประธานที่แข็งแกร่งอย่างเขา จะไปบอกคนอื่นไม่ได้ว่าคืนนี้ทำซุปแก้แฮงค์พลาดไปสองครั้ง
ช้อนที่มีอุณหภูมิค่อนข้างร้อนสัมผัสกับริมฝีปากของเสิ่นอีเวย มีซุปเลอะที่มุมปากของหล่อนนิดหน่อย อาาจะเป็นเพราะรสชาติของซุปไม่อร่อยนัก ทำให้เสิ่นอีเวยรู้สึกตัวถอยหนีไปด้านหลัง
แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงมีไหวพริบว่องไว จึงใช้อีกมือยึดที่ท้ายทอยของหล่อนเอาไว้ หล่อนจึงไม่มีทางหลบหลีกได้
คิ้วของเสิ่นอีเวยขมวดหากันแน่น สีหน้าท่าทางบอกบุญไม่รับ เหมือนกับถูกบังคับให้กินของที่รสชาติแย่มากลงไป
เสิ่นอีเวยพยายามหลบเลี่ยงไม่ดื่ม เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยัดเยียดให้หล่อนดื่ม ซุปถ้วยหนึ่งไม่ง่ายที่จะดื่มจนหมด ทั้งสองเหมือนกำลังทำสงครามกันไม่มีใครยอมใคร
หน้าผากของเซิ่งเจ๋อเฉิงมีเหงื่อผุดออกมา เขาวางชามในมือลง ก้มลงอุ้มเสิ่นอีเวยขึ้นมาเดินขึ้นไปชั้นสอง
เสียงน้ำในห้องน้ำไหลดังซู่ๆ เสิ่นอีเวยรู้สึกไม่สบายตัว ในขณะที่ยังไม่ค่อยได้สตินัก
น้ำอุ่นไหลลงบนผิวที่เย็นเยียบ ทำให้ประสาทสัมผัสทุกส่วนในร่างของคนที่เมาเหล้าตื่นตัวขึ้นมา
ดวงตาของเสิ่นอีเวยกึ่งเปิดกึ่งปิด สติว่ายวนเวียนอยู่ระหว่างการสลบไสลและการตื่นตัว ในช่องว่างระหว่างนั้น หล่อนมองเห็นว่าด้านหน้าตัวเองเหมือนมีคนนั่งยองๆอยู่ ผู้ชายสวมชุดดำคนหนึ่ง
มองที่ใบหน้า ทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้าเหลือเกิน ดูคล้ายๆกับเซิ่งเจ๋อเฉิง
แต่จะเป็นไปได้อย่างไร เซิ่งเจ๋อเฉิงจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร อาบน้ำให้ตัวเองเนี่ยนะ
ตอนนี้สมองของเสิ่นอีเวยเหมือนเลอะเลือนแค่เขย่านิดเดียวหล่อนก็โงนเงนมึนงงไปทั้งตัว แต่ว่าไอ้คนที่อยู่หน้าหล่อนคือใครกัน ทำไมต้องมาจับแขนหล่อนเอาน้ำล้างตัว เขาไม่รู้รึไงว่าน้ำร้อนแค่ไหน
อืม ล้างตัว อาบน้ำ เหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เสี้ยววินาทีนั้นสมองของเสิ่นอีเวยเหมือนจะมีสติรู้ตัวขึ้นมา
วินาทีที่ลืมตาขึ้นมานั้น หล่อนพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะบังคับตัวเองไม่ให้ยกขาขึ้นมาถีบคนตรงหน้าออกไป เพราะหล่อนพบว่าตอนนี้บนตัวหล่อน …..ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
ภาพที่อยู่ตรงหน้าหล่อนตอนนี้ แม้ว่าความจริงแล้วมันจะน่าอับอาย แต่จะเสียหน้าไม่ได้
โชคดีที่ในอ่างอาบน้ำมีฟองจำนวนมาก เสิ่นอีเวยหลังจากที่ลืมตาแล้ว ก็ไม่ส่งเสียงอะไร แต่เคลื่อนตัวลงไปด้านล่าง อย่างนี้ร่างของหล่อนครึ่งหนึ่งก็ถูกฟองสบู่บดบังไปแล้ว ช่องว่างระหว่างพวกเขาก็ไม่ดูประดักประเดิดแบบเมื่อครู่แล้ว
ต่อให้เสิ่นอีเวยจะความจำไม่ดีแค่ไหน แต่หล่อนก็จำได้ว่า ที่นี้คือห้องน้ำชั้นสองของบ้านตระกูลเซิ่ง
อาจจะเป็นเพราะว่าดื่มเหล้ามาแล้วมาโดนน้ำ ดวงตาคู่นั้นของเสิ่นอีเวยเปล่งประกายแวววาว มองไปแล้วเหมือนมีหมอกปกคลุมอีกชั้น ใบหน้าหล่อนไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ถามอย่างนิ่งๆว่า: “ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
เมื่อได้ยินหล่อนพูด เซิ่งเจ๋อเฉิงจึงปล่อยมือจากก๊อกน้ำ เพราะเขากำลังนั่งยองๆ มือทั้งสองข้างของเขาจึงวางข้างอ่างอาบน้ำอย่างสะเปะสะปะ สิบนิ้วเรียวยาวเห็นข้อนิ้วอย่างชัดเจน
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้ตอบคำถามของเสิ่นอีเวยโดยตรง แต่ถามหล่อนกลับว่า :”ทำไมคืนนี้ถึงไปที่บาร์แล้วยังดื่มมากขนาดนี้”
เสิ่นอีเวยอึ้งชะงักไป เดิมทีคิดจะปฏิเสธแต่เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า มีความเป็นไปได้มากว่า ตนเองนั้นถูกผู้ชายคนนี้รับมาจากบาร์พามาที่คฤหาสน์ตระกูลเซิ่ง งั้นก็แสดงว่าเรื่องที่ตนดื่มเหล้าเข้าก็ต้องรู้ ถ้าเป็นแบบนี้หล่อนก็ไม่จำเป็นต้องโกหก
“ฉันขอไม่ตอบคำถามนี้ได้มั้ย” เสิ่นอีเวยมองตาเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วพูดอย่างเรียบเฉย
หล่อนไม่รู้จริงๆว่าจะบอกเขาอย่างไรเพราะเรื่องที่หล่อนพบกับเสิ่นหุ้ยทำให้หล่อนได้รู้เรื่องราวอีกมากมาย ทำให้หล่อนอารมณ์ไม่ดีจึงได้ไปดื่มที่บาร์
เพราะตอนนี้ระหว่างพวกเขาสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เขาไม่ใช่คนในครอบครัว ไม่ใช่เพื่อน หล่อนอาจจะไม่จำเป็นต้องบอกเขา
และที่สำคัญ เสิ่นอีเวยไม่รู้ว่า เซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้วหรือไม่
“ไม่ได้”เซิ่งเจ๋อเฉิงปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
น้ำเสียงของชายหนุ่มมีความเยือกเย็นแฝงอยู่ เสิ่นอีเวยเลิกคิ้ว: “ได้ ถ้าคุณอยากรู้จริงๆฉันบอกคุณก็ได้ แต่หลังจากที่ฟังจบแล้วคุณห้ามแสดงความคิดเห็นใดๆ เพราะว่ามันไม่สำคัญสำหรับฉัน ฉันก็แค่อยากจะหาคนระบายให้ฟังเท่านั้น
เซิ่งเจ๋อเฉิงสังเกตอาการเห็นว่า ตอนที่เสิ่นอีเวยพูดประโยคสุดท้ายนั้นน้ำเสียงปนสะอื้นเล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่กี่นาที เสิ่นอีเวยก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่หล่อนได้พบกับเสิ่นหุ้ยเมื่อตอนบ่ายให้เซิ่งเจ๋อเฉิงฟัง
เซิ่งเจ๋อเฉิงหลังจากฟังจบแล้ว ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดูไม่ออกว่าเขารู้สึกอย่างไร
พอเงยหน้าขึ้นเห็นจมูกกับขอบตาเสิ่นอีเวยแดง ในใจก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา แล้วพูดขึ้นมาว่า”ปกติอยู่ต่อหน้าผมคุณเก่งนักนี่นา ทำไมกลายเป็นคนขี้แยไปได้ล่ะ”
เสิ่นอีเวยกลอกตาใส่เขา ไม่พูดอะไร
มาถึงตอนนี้หล่อนถึงเข้าใจว่า ปกติที่เซิ่งเจ๋อเฉิงชอบเยาะเย้ยถากถางหล่อนนั้นมันก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร เทียบกับคนรอบตัวที่จ้องจะทำร้ายหล่อนนั้น ไม่รู้ว่าดีกว่าที่เท่า
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หล่อนก็ยังไม่สามารถมองเซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเดิมได้
อาจจะต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามกาลเวลา ทัศนคติและความรู้สึกของหล่อนที่มีต่อเซิ่งเจ๋อเฉิงอาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ แม้แต่เสิ่นอีเวยเองก็ยังไม่รู้คำตอบ
สักพักใหญ่ เซิ่งเจ๋อเฉิงจึงพูดขึ้นว่า: “ผมเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรก เรื่องนี้จะจัดการอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับคุณเป็นคนตัดสินใจ ไม่มีใครไปก่าวก่ายคุณได้”
เสิ่นอีเวยไม่พูดอะไร เพียงแค่มองดูเซิ่งเจ๋อเฉิงอย่างเงียบๆ