บทที่ 414 ผมยิ่งชอบคุณแบบนี้
เสิ่นอีเวยเบะปาก เธอแกล้งทำท่าทางไม่เชื่อ Alex แต่กลับเผยรอยยิ้มที่มุมปากของตนเอง
ก่อนที่ Alex จะเดินออกจากห้อง เขาใช้มือเคาะบนโต๊ะทำงานของเธอ และพูดว่า:“เรื่องนี้คุณควรพิจารณาด้วยตนเอง อยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป”
Alex พูดทิ้งท้ายเอาไว้ เดิมทีคิดว่าอย่างน้อยเสิ่นอีเวยคงจะใช้เวลาช่วงบ่ายคิดพิจารณา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเธอจะตอบทันที
“ไม่ต้องพิจารณาหรอก ฉันตกลงว่าจะไป”เสิ่นอีเวยพูด
แววตาของ Alex เต็มไปด้วยความประหลาดใจ:“ทำไมตัดสินใจเร็วจัง?เหตุผลล่ะ”
หนุ่มลูกครึ่งรูปหล่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าถึงแม้จะเป็นบอสของตนเอง แต่แท้จริงอายุไม่ได้ห่างจากเสิ่นอีเวยมาก เขาแก่กว่าเธอเพียงสามปี อายุไล่เลี่ยกับเซิ่งเจ๋อเฉิง
Alex คือชายหนุ่มที่อายุยังน้อย โดยปกติจะไม่วางมาดเป็นเจ้านายกับลูกน้องทุกคน เขาค่อนข้างเป็นกันเอง อีกทั้งใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้เป็นคนสนุกสนาน เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนพี่ชายของตนเอง ดังนั้นเมื่อพบเจอกับเรื่องทุกข์ใจก็จะระบายให้เขาฟัง
ดังนั้น ในครั้งนี้เสิ่นอีเวยจึงพูดเรื่องของตนเองกับเซิ่งเจ๋อเฉิงต่อหน้าเขา โดยไม่มีอะไรต้องปิดปัง
เมื่อได้ยิน Alex ถามตนเองถึงเหตุผลว่าทำไมจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เสิ่นอีเวยหัวเราะอย่างสดใส เธอยกศีรษะขึ้นเล็กน้อยและพูดว่า:“ทุกคนต่างโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว บางเรื่องที่พบเจอก็อาจจะไม่สามารถหลีกหนีได้จริงไหม?หากต้องการใช้ชีวิตต่อไป ถึงอย่างไรก็ยังจะต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับมันให้ได้”
Alex ยกนิ้วโป้งให้เธอ เขายิ้มและเดินออกไป
หลังจากเขาเดินไปที่ห้องทำงาน มองเห็นทุกคนต่างกำลังตั้งใจทำงาน เขาโบกมือและพูดว่า:“ประกาศ ประกาศ!”
ทุกคนต่างพากันวางมือลงหยุดทำงาน Alex เหลือบมองห้องทำงานของเสิ่นอีเวยแวบหนึ่ง จากนั้นจึงประกาศเสียงดังว่า:“เดือนหน้า ทริปท่องเที่ยวประเทศไทยเจ็ดวันได้รับการยืนยันแล้ว ทุกคนสามารถเตรียมตัวสำหรับการขอวีซ่าได้เลย!”
ทันใดนั้น ภายในห้องทำงานเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ เสิ่นอีเวยอยู่ในห้องทำงานของตนเองก็ยังได้ยิน ถึงแม้จะยิ้มออกมา แต่ในใจกลับยังคงรู้สึกฟุ้งซ่าน
การไปเที่ยวประเทศไทยครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกจริงๆ
เนื่องจากทริปท่องเที่ยวครั้งนี้ ทางฝั่งเซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนออกค่าใช้จ่าย ส่วนเรื่องรายละเอียดการท่องเที่ยวทางฝั่งบริษัทเสิ่นอีเวยเป็นคนจัดการ ดังนั้นหลังจากจัดการเรื่องราวยุ่งเหยิงเสร็จสิ้น ในไม่ช้าก็ถึงวันออกเดินทาง
เมื่อวันก่อนมีฝนตกหนัก ชำระล้างความร้อนจากฤดูร้อนออกไปทั่วทั้งเมือง วันนี้อากาศกลับแจ่มใส อุณหภูมิยังคงสูงมาก
เสิ่นอีเวยกลัวผิวคล้ำ ดังนั้นวันนี้เธอจึงทาครีมกันแดดหัวจดเท้าหนาถึงสามชั้น สวมหมวกกันแดด พร้อมกับแว่นตาดำ
เพื่อนร่วมงานจากบริษัทต่างพากันเข้าแถว เธอยืนเงียบๆอยู่ตรงกลางรอตรวจสัมภาระ กลับปรากฏว่าไม่ว่าเธอจะพยายามใจเย็นแค่ไหน เมื่อถึงเวลาก็ยังคงรู้สึกกังวลใจอยู่ดี
เพราะเธอรู้ว่า ตนเองจะต้องได้เจอกับเซิ่งเจ๋อเฉิงแน่นอน เนื่องจากผู้ชายคนนี้ก็ร่วมทริปท่องเที่ยวประเทศไทยกับทางบริษัทเช่นกัน
ในใจกำลังคิดเช่นนั้น แต่ทันใดนั้นเองไหล่ด้านซ้ายโดนชน เสิ่นอีเวยเข้าใจว่าแถวเริ่มเบียดเสียด เพื่อนร่วมงานด้านหลังดันเธอขึ้นมา จึงหลีกทางให้ข้างๆ แต่ยังไม่ทันจะพ้นสองวินาที ไหล่ของเธอก็โดนชนอีกครั้ง ในครั้งนี้ คนที่ชนเธอใช่แรงไม่ใช่น้อย
เสิ่นอีเวยจึงรู้ได้ชัดเจนว่า มีคนจงใจหาเรื่องเธอ ดังนั้นใบหน้าจึงเริ่มเปลี่ยนสี เธอหันไปพูดว่า :“คุณมีปัญหาอะไร——”
คำลงท้าย“ ห๊ะ”หยุดลงกระทันหัน เสิ่นอีเวยหน้าเหวอทันที เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ คือเซิ่งเจ๋อเฉิง
เสิ่นอีเวยไม่ค่อยได้เห็นเซิ่งเจ๋อเฉิงใส่ชุดลำลอง ในวันนี้ท่อนล่างของเขาสวมใส่กางเกงยีนสีน้ำเงินเข้ม ส่วนท่อนบนสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวรุ่นใหม่ล่าสุดจากแบรนด์อาร์มานี่ที่ดูเข้ากันดี ด้านหลังสะพานกระเป๋าเป้ เป็นที่รู้กันดีว่าเขาคือผู้ชายอายุสามสิบกว่า แต่เนื่องจากสวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้จึงทำให้ดูวัยรุ่นขึ้นเยอะ
ท่ามกลางความประทับใจของตนเอง แต่ไหนแต่ไรเซิ่งเจ๋อเฉิงมักจะใส่ชุดสูท รูปร่างและเสื้อผ้าเป็นสิ่งที่พิถีพิถันเสมอ เขาแทบจะไม่เคยมีข้อผิดพลาดใดๆ เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
แต่คนหรือสิ่งของที่สมบูรณ์แบบเกินไป ก็มีข้อเสียที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่ง นั้นคือเกิดมาพร้อมกับความรู้สึกแปลกแยกและไม่แยแส จนทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้
แต่วันนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่เหมือนเดิม เป็นเพราะเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่และความรู้สึกที่จะได้ออกไปท่องเที่ยว เซิ่งเจ๋อเฉิงทักทายเพื่อนร่วมงานของเธอเป็นบางคน ถึงแม้บรรดาเพื่อนร่วมงานจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงก็พยักหน้าและยิ้มบางๆตอบกลับ
หากเทียบกับตัวตนของเขาเมื่อก่อน มันไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
เห็นสายตาของเสิ่นอีเวยหยุดอยู่ที่ตนเอง เซิ่งเจ๋อเฉิงจึงพูดออกมาว่า :“มองพอหรือยัง? คุณอยากให้ผมซื้อแว่นขยายคู่หนึ่งเพื่อห้อยคอของคุณไหม?”
ถึงแม้ว่าสิ่งที่พูดจะคล้ายกับการเสียดสี แต่น้ำเสียงกลับมีความพอใจ
เสิ่นอีเวยสะดุ้งโหยง รีบตั้งสติและพูดเตือนว่า:“ คุณตั้งใจชนฉันทำไม?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงตอบกลับทันทีว่า:“เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากคุณไง!”
เสิ่นอีเวย:“……”
นี่มันอะไรกันเนี่ย ผู้ชายคนนี้เปลี่ยนไปจริงๆ แต่ก่อนเขาไม่มีทางพูดเล่นกับตนเองแบบนี้
เสิ่นอีเวยเบะปาก ต้องการถามเขาด้วยความแค้น :“คุณรู้ไหมว่าตอนนี้คุณเหมือนกับอะไร?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงยักไหล่เบาๆ เหล่มองเธอเล็กน้อย เพราะเขารู้ดีว่าเธอไม่มีทางพูดอะไรน่าฟัง
เสิ่นอีเวยพยายามฝืนยิ้ม:“ตอนนี้คุณไม่เหมือนผู้อำนวยการใหญ่ที่สูงส่ง แต่เหมือนผู้ชายที่มีดีแค่หน้าตาที่ชอบชวนผู้หญิงคุยเรื่อยเปื่อยข้างถนน”
เซิ่งเจ๋อเฉิงนิ่งไปสักพัก มองเห็นดวงตาของเธอส่องแสงเป็นประกายดั่งดวงดาว เขาถามอย่างจริงจังว่า :“งั้นคุณชอบผู้ชายที่มีดีแค่หน้าตาไหม?”
เสิ่นอีเวยอึ้งจนพูดไม่ออกเมื่อได้ยินเขาถาม เดิมทีเธอคิดว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะพูดโต้เถียงตนเอง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะถามออกมาแบบนี้
เสิ่นอีเวยเลี่ยงการตอบคำถามข้อนี้ของเขา เธอเพียงถามกลับว่า:“ฉันมีคำถามที่สงสัยมาตลอด คุณเป็นคนเลือกสถานที่ท่องเที่ยวครั้งนี้หรอ?คุณอยากไปดูกะเทยใช่ไหม?ที่สุดแล้ว ผู้ชายยังไงก็คือผู้ชาย ไม่สามารถต้านทานสิ่งยั่วยวนใจได้ จุ๊จุ๊”
เสิ่นอีเวยรู้ว่า ที่จริงเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ใช่คนที่เก่งเรื่องตลกหยาบคาย แต่เพราะเธอรู้แบบนี้ ในครั้งนี้จึงเตรียมยั่วโมโหเขา
ตนเองโดนเขาใช้อำนาจบังคับเดินทางไปประเทศไทย หากทะเลาะกันที่นั้นและแพ้อีกครั้ง เธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
คิดแบบนี้ เสิ่นอีเวยยิ่งรู้สึกว่าการเยาะเย้ยของตนเองเมื่อสักครู่นั้นสมบูรณ์แบบ เซิ่งเจ๋อเฉิงจะต้องโดนตนเองยั่วโมโหสักที
แต่เสิ่นอีเวยกลับไม่เห็นใบหน้าของฝ่ายชายมีความเปลี่ยนแปลง เซิ่งเจ๋อเฉิงเพียงแค่ก้มหน้าลงเล็กน้อย เขาขยับริมฝีปากเข้ามาใกล้ชิดกับใบหูของเธอ และกระซิบออกมาเบาๆว่า:“รสนิยมของผมค่อนข้างพิเศษ อาจจะไม่เหมือนคนอื่น เพราะพวกเขาชอบแบบอวบอิ่ม ส่วนผมกลับยิ่งชอบคัพ A แบบไม้กระดานอย่างคุณ