บทที่ 424 มีเรื่องอะไรสามารถมาหาผมได้
มองดูผู้ชายท่าทางสง่างามพูดบนเวที สมองของเสิ่นอีเวยว่างเปล่า ทำไมเธอถึงไม่สามารถเดาได้ว่า Arthur คือเซิ่งเจ๋อเฉิงนะ?ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้ชายคนนี้มีทักษะการปกปิดได้ดีเกินไป ไม่มีอะไรให้เธอจับสังเกตได้โดยสิ้นเชิงสักนิดเดียว
สิ่งที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดในช่วงหลัง เสิ่นอีเวยฟังไม่รู้เรื่องสักคำ แต่เธอยอมรับว่า ผู้ชายบนเวทีสามารถดึงดูดสายตาของทุกคน ใช่แล้ว เขาเป็นคนสุดยอดเสมอ โดดเด่นกว่าทุกคน
ทั้งค่ำคืนนี้ จิตใจของเสิ่นอีเวยสับสนวุ่นวาย เมื่องานเลี้ยงจบลง เหยียนเวยเดินเข้ามาเรียกเธอ:“ผู้อำนวยการเสิ่น ฉันเรียกรถเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวอีกสักพักฉันจะไปส่งคุณที่บ้านก่อน”
เสิ่นอีเวยยิ้มปฏิเสธ :“อีกสักพักฉันยังคงมีธุระอย่างอื่นอีก เธอกลับก่อนได้เลย”
เหยียนเวยเงียบไปสักพัก ในช่วงครึ่งหลังของค่ำคืนนี้เธอเห็นผู้อำนวยการเสิ่นมีท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า:“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?กลับบ้านคนเดียวได้ใช่ไหมคะ?”
เสิ่นอีเวยพยักหน้า:“ ไม่เป็นไร กลับบ้านดีดีนะ”
เหยียนเวยเห็นเธอพูดเช่นนี้ จึงไม่อยากถามให้มากความ หลังจากบอกลาจึงเดินออกจากโรงแรมเพื่อกลับบ้าน
เสิ่นอีเวยหันกลับไป กวาดสายตามองไปรอบๆห้องโถง แต่มองไม่เห็นเซิ่งเจ๋อเฉิง ในใจรู้สึกสับสน คืนนี้เธอตัดสินใจว่าอยากอยู่คนเดียวจริงๆ
อากาศในยามค่ำคืนค่อนข้างหนาวเย็น เสิ่นอีเวยไม่ได้พกเสื้อคลุมมาด้วย เธอสวมชุดราตรีเดินอย่างไร้จุดหมายปลายทาง นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ทำไมหลายๆเรื่องถึงมีความเกี่ยวกับเซิ่งเจ๋อเฉิงนะ?สิ่งนี้ทำให้เธอไม่เข้าใจ
ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ก็หนีไม่พ้นไปจากเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ตามมาจากอดีต ชื่อของผู้ชายคนนั้น เหมือนกับประทับอยู่ในหัวใจของเธออย่างถาวร
ออกจากที่นี่ไปอยู่ประเทศอังกฤษเป็นเวลาสี่ปี เดิมทีเสิ่นอีเวยเข้าใจว่าที่นี่จะไม่มีคนจำตนเองได้ แต่ในช่วงงานเลี้ยงเลิก เธอสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่า ผู้คนมากมายที่เดินสวนต่างให้ความสนใจกับเธอ
มีบางคนกระซิบกระซาบ เธอได้ยินพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง บางก็เรียกเธอว่าอดีตภรรยาของประธานเซิ่ง กระแทกตรงเข้าไปที่หัวใจของเธอ
ความสับสนวุ่นในสมอง ทำให้เสิ่นอีเวยก้าวเท้าเดินอย่างไรทิศทาง เมื่อตนเองเริ่มได้สติ จึงพบว่าตนเองเดินมาอยู่ในสถานที่ห่างไกลความเจริญ เธอนิ่งอึ้งไป หยุดก้าวเท้าทันที
ถึงแม้จะมีคนสองสามคนเดินผ่านสถานที่แห่งนี้ แต่กลับมืดมิด เสิ่นอีเวยต้องการเดินกลับไปในทิศทางที่ตนเองเดินมา แต่เมื่อหันกลับไป ปรากฏว่ามีเงาดำเข้ามาใกล้อย่างกระทันหัน เสิ่นอีเวยได้กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ค่อนข้างแรง
ด้วยความระมัดระวังตัวที่ค่อนข้างสูง ในใจส่งเสียงเตือน เธอหลบไปด้านข้างทันที
แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชาย แถมยังขี้เมา ไม่ว่าเสิ่นอีเวยจะพยายามใช้ท่าเทควันโด แต่ในแง่ของความแข็งแกร่งก็ถูกผู้ชายคนนั้นหยุดยั้งไว้จนได้
ฝ่ายชายที่มีใบหน้าอัปลักษณ์พยายามขยับเข้าใกล้เสิ่นอีเวย เสิ่นอีเวยรู้สึกสะอิดสะเอียน
“เพียะ!”เธอใช้มือตบลงไปบนใบหน้าของผู้ชายคนนั้นโดยตรง
ฝ่ายชายโมโหอย่างเฉียบพลัน:“นังโง่ มึงกล้าตบกูหรอ!”เขาผลักเธออย่างรุนแรง เนื่องจากเธอสวมรองเท้าส้นสูงจึงไม่ค่อยสะดวกเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายจึงล้มลงไปกองที่พื้น
ฝ่ายชายกำลังพุ่งเข้าใส่ เสิ่นอีเวยหวาดกลัวจนหน้าเปลี่ยนสี เธอใช้มือเปล่าคลำหาของบนพื้น ในที่สุดก็คลำเจอกับสิ่งของที่คล้ายกับขวดเหล้า เสิ่นอีเวยไม่คิดอะไรมาก ในเวลาเดียวกับที่ปกป้องใบหน้าของตนเองก็ยื่นมือออกไปตีผู้ชายคนนั้น
“เพล้ง!”เสียงของแตก ตามด้วยเสียงกรีดร้องของฝ่ายชาย
ตอนกลางคืน เวลาห้าทุ่ม ณ สถานีตำรวจ
“ชื่อ”
“เสิ่นอีเวย”
ตำรวจชั้นผู้น้อยทำท่าถือปากกา ชื่อนี้ทำไมคุ้นหูจังนะ?เมื่อเงยหน้าขึ้นมาดู ปรากฏว่าเป็นผู้หญิงที่เคยเห็นในข่าวก่อนหน้านี้ ภรรยาของประธานบริษัทเซิ่งซื่อ ทำไมคนมีเงินถึงชอบสร้างปัญหาจังนะ?เขาเกิดความสงสัยข้างในใจ
ตำรวจชั้นผู้น้อยขมวดคิ้วเบาๆ เขาสังเกตเสิ่นอีเวยอย่างละเอียด จากนั้นหันไปมองผู้ชายที่ใบหน้าได้รับบาดเจ็บข้างๆเธออีกที เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอย่างคนมีการศึกษาว่า:“คุณเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แถมยังเป็นบุคคลสาธารณะ ทำไมไม่เรียนรู้ที่จะไม่หาเรื่องคน?”
บุคคลสาธารณะ?เสิ่นอีเวยนิ่งไป แต่กลับเม้มปากไม่ตอบอะไรออกมา
เส้นผมปกคลุมหน้าผากของเสิ่นอีเวย จนถึงขอบตา แต่ไม่สามารถปิดรอยตบสีแดงที่แก้มซ้าย เธอโดนผู้ชายด้านข้างตบ หลังจากนั้นจึงใช้ขวดเหล้าเปล่าตีฝ่ายตรงข้าม
เธอยกคิ้วขมวดเบา ๆ ใบหน้าที่เงียบสงบไม่มีการแสดงออกทางอารมณ์ใดๆ แต่สายตาที่แสดงออกทางดวงตากลับโอนโยนตามไปด้วย:“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า? ฉันเพิ่งจะพูดอธิบายอย่างชัดเจนว่าเขาเป็นคนลงมือก่อน”
เสิ่นอีเวยถึงแม้จะเป็นแม่คน แต่เพราะสวรรค์ให้เธอเกิดมาหน้าเด็ก ดังนั้นเธอจึงดูอายุไม่เยอะเท่าไหร่
ตำรวจชั้นผู้น้อยเพิ่งจะเริ่มงานได้ไม่นอน อีกทั้งยังอายุน้อย เขาจะสามารถอดทนผู้หญิงที่พูดจาแบบนี้กับตนเองได้อย่างไร?เขาโมโหขึ้นมาทันที ตบโต๊ะดัง“ปัง ”จนปากกากระเด็น :“คุณพูดอะไร?”
สายตาของเสิ่นอีเวยเย็นชา ตัดสินใจไม่สนใจเขา
เมื่อก้มลงมอง ส้นเท้าสีดำเต็มไปด้วยโคลน เนื่องจากการต่อสู้กับผู้ชายด้านข้างเมื่อสักครู่ทำให้สาดกระเด็นมาโดน
ฝ่ายชายรูปร่างท้วม หน้าตาเต็มไปด้วยความมันเยิม กำลังร้องไห้ใช้มือจับแผลที่ถูกขวดเหล้าตีที่หน้าผาก:“สหาย อย่าเชื่อคำพูดไร้สาระของเธอเลย เธอเป็นโรคประสาท ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวกลับก่อนนะ!”
“ไม่เอาค่ารักษาพยาบาลแล้วหรอ?”เสิ่นอีเวยพูดออกมาอย่างเยือกเย็น
เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนั้นไม่คาดหวังให้เสิ่นอีเวยคุยกับตนเอง เขาสามารถมองเห็นมันได้ ผู้หญิงคนนี้ฟาดคนอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ขวดเหล้าเมื่อสักครู่ หากพลาดไปนิดเดียวเขาอาจถึงตายได้ ช่างเป็นคนที่ดุร้ายจริงๆ
นอกจากนี้เขาเพิ่งจะได้ยินว่าผู้หญิงคนนี้เป็นบุคคลสาธารณะ ยิ่งรู้สึกประหม่า หากยั่วยุคนที่ไม่สมควรจะยั่วยุ เรื่องราวอาจบานปลายได้
ฝ่ายชายไม่ตอบคำถามของเสิ่นอีเวย เขากลัวจนแทบจะกระโดดหนีไป
“ตามผู้ปกครองของคุณมา”
เสิ่นอีเวยมองไปที่ตำรวจชั้นผู้น้อย ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ:“ฉันไม่ใช่คนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทำไมต้องตามผู้ปกครองมาด้วย?”
อีกฝ่ายนิ่งไป เพิ่งจะนึกได้ว่าตนเองลืมสิ่งนี้ไป
ในความเป็นจริงเขาไม่ได้ต้องการให้เสิ่นอีเวยตามผู้ปกครองมา เพียงแค่เพราะความเฉยชาและความแปลกแยกบนตัวของเธอที่เหมือนจะไม่สนใจใครในสายตาทำให้เขารู้สึกไม่ดี แค่นั้นเอง
ดังนั้นเขาต้องการสร้างความวุ่นวายให้เธอ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะโดนถามกลับ
ตำรวจชั้นผู้น้อยเงียบไปนาน ในระหว่างนั้น เสิ่นอีเวยเอาแต่จ้องหน้าตนเอง เขาโดนมองจนเกิดขนลุก จึงโบกมือพูดว่า:“กลับไปเถอะ กลับไปเถอะ ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับคุณแล้ว”
เสิ่นอีเวยมองไปที่อีกฝ่าย และพูดว่า“ขอบคุณ”สองคำ เธอลุกขึ้นเตรียมเดินกลับออกไป แต่กลับไปยินเสียงจากด้านหลังซึ่งเป็นเสียงของผู้ชายที่คุ้นเคย
“เธอไม่มีผู้ปกครอง แต่ถ้ามีเรื่องอะไรเรียกหาฉันได้