บทที่ 428 หรือว่าจะให้โอกาสเขาอีกครั้งหนึ่ง
ไหล่ของเสิ่นอีเวยก็เหมือนมีอะไรอุ่น ๆ มาวางไว้บนไหล่เธอ นั่นก็คือมือของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่มาจับ
เสียงที่อ่อนนุ่มของเขา เหมือนกับเด็กน้อยที่ออดอ้อน “ผมไม่อยากจะโกหกคุณ ก่อนที่ผมจะเอาพินัยกรรมจากสวีอันฉิง ผมกับสวีอันฉิงก็น่าจะต้องมีการสัมผัสกันบ้างเล็กน้อย เสี่ยวเวย….”
ซ่งเจ๋อเฉิงก็กำลังจัดการสายตาและอารมณ์ของตัวเอง เพื่อที่จะให้ฟังไปแล้วรู้สึกมีความสงบมากขึ้น “ผมรู้ คุณนั้นผ่านการทรมานมาอย่างมากมาย หรืออาจจะไม่อาจจะหลุดพ้นออกจากสิ่งที่ผมทำร้ายคุณ ผมก็เช่นกัน ดังนั้นขอให้คุณนั้นเข้าใจผม ใช่ไหม”
เซิ่งเจ๋อเฉิงก็มองไปยังสายตาของเส่นอีเวย แต่ท่าทางกลับไม่ใช่ขอร้องเธอเพื่อให้ได้คำตอบเช่นนั้น
เวลาผ่านไป เสิ่นอีเวยก็ไม่ได้พูดอะไร ระยะเวลานี้เธอนั้นก็ไม่อยากจะหลอกตัวเอง ตอนที่เซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นกำลังมองหน้าเธออยู่นั้น เธอก็ยอมรับแล้วว่าค่อย ๆ เริ่มที่จะค่อย ๆ ยินยอมเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะ ในใจก็เริ่มมีความอึดอัด แต่ไม่ได้ชัดเจนเหมือนตอนแรก
เซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นพูดถูก ใครไม่เคยผ่านอดีตมาล่ะ ? ตัวเองนั้นก็ยังเคยถูกความทุกข์ระทมกับคนที่ระรานไม่เลิก เซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นแข็งแกร่ง แต่ก็ยังมีความอยากกระหายในใจ ยังมีสิ่งที่ตัวเองนั้นอยากจะดูแลและอยากได้อยู่เช่นกัน หรือเรานั้นจะให้โอกาสเขาอีกสักครั้งหนึ่ง
ณ เวลานี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงก็เอ่ยปากขึ้นทันใด “ผมไม่ใช่จะเอาคำตอบจากคุณตอนนี้ แต่ครั้งนี้ คุณสามารถให้เวลาตัวเองที่มากพอ ตัดสินใจ…..ที่จะเริ่มใหม่กับผม ดีไหม ?”
เสิ่นอีเวยตกใจ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ตัดริมฝีปากตัวเอง
นานชั่วครู่หนึ่ง เซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นก็ดูเหมือนเธอนั้นไม่มีท่าทีที่จะให้คำตอบอะไรเลย ก็เลยถามไปว่า “งานเลี้ยงคืนนี้ คุณรู้จักเขาหรือ ? ”
เสิ่นอีเวยตอบว่า “ไม่รู้จัก”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเหมือนคิดอะไรอยู่แล้วก็พยักหน้า เสิ่นอีเวยก็เลยเห็นถึงสายตาของเขาแล้วถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า ? “
“ไม่มี” ผู้ชายเก็บอารมณ์ เก็บจนไม่มีสีหน้าใดใด
“ดึกแล้ว คืนนี้ก็อยู่ที่นี่แล้วกันนะ”
เสิ่นอีเวยก็รู้สึกลังเลใจอยู่สักครู่หนึ่ง ในอารมณ์ที่ไม่นิ่งนอนใจซึ่งยังไม่อาจจะแก้ไขถึงสภาพการณ์ตอนนี้ได้ สองคนอยู่ด้วยกันบางทีอาจจะรู้สึกเขินอายอย่างยิ่ง คิดแล้วคิดอีกก็เลยปฏิเสธไป “ไม่แล้วล่ะ ฉันอยากจะกลับไปดูแลเหมียนเหมียน รบกวนคุณไปส่งฉันหน่อยได้ไหม ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองสายตาเธอแล้วก็ตอบกลับไปว่า “ได้สิ ไปกันเถอะ”
พอออกมาหน้าบ้าน ฝนก็เพิ่งจะหยุดไป อารมณ์ของเสิ่นอีเวยที่ไม่ค่อยดีนัก กลับมีความสงบมากยิ่งขึ้น รถก็เริ่มแล่นออกไป
พอหลังส่งเสิ่นอีเวยเสร็จ ณ เวลานั้นก็ตีหนึ่งแล้ว ก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็เห็นสิบกว่าสายของหลินอวี้ เขาก็เลยโทรไป
“การซื้อครั้งนี้คงไม่อาจจะสำเร็จได้ ก็เตรียมแผนการขั้นต่อไปเถอะ ” เซิ่งเจ๋อเฉิงก็สั่งออกไป
หลินอวี้ทำงานกับเซิ่งเจ๋อเฉิงมานาน แน่นอนก็ต้องรู้ถึงนิสัยของเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นการเป็นผู้ช่วยที่ดีหากไม่ใช่เรื่องที่มีความสำคัญมากขนาดนั้น เถ้าแก่ก็คงไม่ปฏิเสธการรับโทรศัพท์ที่สำคัญเช่นนี้ ดังนั้นหลินอวี้ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป
“ผู้ชายคนนั้นจัดการหรือยัง ? ” เซิ่งเจ๋อเฉิงถาม
หลินอวี้ตอบกลับไปว่า “เรียบร้อยแล้ว”
“การคาดการณ์ของท่านนั้นไม่ผิดเลย ผู้ชายคนนั้นก็คือคนที่เสิ่นฮุ่ยให้มาทำร้ายคุณนายเซิ่ง”
“”ดีมาก คุณก็ไปจัดการเองละกัน ฉันไม่อยากได้ชีวิตเขา แต่อยากให้เขารู้ถึงความน่ากลัวของเรื่องราวนี้” เซิ่งเจ๋อเฉิงใช้น้ำเสียงที่เยือกเย็น ซึ่งทำให้กลับสู่สภาพปกติที่น่ากลัวและเย็นชา
เสิ่นอีเวยที่เมาในคืนนั้น ตอนที่เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ยินว่าเสิ่นฮุ่ยกลับมาแล้ว แล้วพูดเรื่องราวที่ทำให้เธอนั้นอับอาย ในหัวสมองของเขานั้นก็ได้แต่อดทน และไม่อาจจะระบายออกมาได้
เสิ่นอีเวยเคยถูกโดนโจมตีอย่างหนัก ใครก็ไม่อาจจะรับรองได้ว่าการรักษาที่หายได้ของเธอนั้น แล้วกลับมาประเทศบ้านเกิด ไม่รู้ว่าจะทำอะไรที่ไม่ดีไม่ร้ายกับเสิ่นอีเวย แต่สิ่งที่ทำร้ายเธอนั้นก็คือพ่อแม่ของเสิ่นอีเวย แต่ตอนนี้พ่อแม่ของเธอนั้นไม่อยู่แล้ว แน่นอนว่าจะต้องหันกลับมาทำร้ายเสิ่นอีเวยอย่างแน่นอน
ดังนั้นหลังจากวันนั้นเป็นตนมา เขาก็เลยส่งคนไปสะกดรอยตามของเสิ่นฮุ่ย และไม่ให้เธอนั้นไปเจอกับเสิ่นอีเวยสองต่อสอง แต่ครั้งนี้ ชัดเจนว่าเขานั้นพลาดไปแล้ว
แต่ผู้ชายคนนั้นแสดงละครได้เก่งมาก จนกระทั่งถูกเขาจับได้แต่ก็ยังยืนกรานขาเดียว ตัวเองพูดว่าเป็นเพราะตัวเองนั้นดื่มมากไปก็เลยไปทำอนาจารเช่นนั้น เซิ่งเจ๋อเฉิงแน่นอนว่าไม่เชื่อเขาอย่างที่สุด
ตอนที่ส่งเสิ่นอีเวยไปที่บ้านตระกูลเซิ่งนั้น ก็ได้กำชับหลินอวี้ว่า ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรก็ตาม คะยั้นคะยอต้นตอออกมาให้ได้
เป็นดังที่คิด ไม่ทำให้เขานั้นผิดหวัง
เสิ่นฮุ่ย ดูแล้ว ฉันก็คงจะไม่ไว้มือคุณอีกแล้ว
เซิ่งเจ๋อเฉิงก็เลยได้แบ่งชีวิตของเสิ่นอีเวยเป็นสองอย่างก็คืออดีตกับปัจจุบัน ช่วงนี้เธอนั้นรู้สึกว่าแม้แต่เวลานั้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งกำลังรอคำตอบจากเธอ
วันนี้เป็นวันหยุดของเธอซึ่งอยู่ที่บ้าน และเป็นโอกาสดีที่เหมียนเหมียนไม่ได้ถ่ายทำอะไร ก็เลยออกไปเที่ยวกัน ตอนที่ออกมาจากโรงหนัง ก็ได้มองไปยังจอโฆษณาอันใหญ่ที่กำลังฉายอยู่
เสิ่นอีเวยก็กำลังหาร้านอาหารที่อร่อยอยู่ แล้วได้ยินตอนที่มีคนกำลังถามความคิดเห็นของเหมียนเหมียนอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นพูดออกมาว่า “คุณแม่ นั่นคือคุณพ่อใช่ไหม ?”
เพราะว่าสิ่งรุมเร้ามากมาย ข้อความในเนื้อหาก็มีมากมายเช่นกัน เสิ่นอีเวยก็ตกใจจนโทรศัพท์จับไม่ติดมือ ตอนที่เหมียนเหมียนกำลังชี้มือไปอยู่นั้น เสิ่นอีเวยก็ยืนทื่ออยู่เช่นนั้นไม่ไปไหน ผู้ชายที่ยืนอยู่ในหน้าจอโฆษณา ใส่ชุดสูท ท่าทางเคร่งขรึม ใบหน้าที่ตั้งใจนั้น ไม่ใช่เซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วเป็นใคร
เสิ่นอีเวยก็หันกลับไปมองผู้หญิงคนนั้น ตาของเหมียนเหมียนก็ขยายใหญ่ขึ้น ทำให้เธอนั้นก็ตกใจอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เพราะว่าไม่คิดว่าผู้หญิงน้อยคนนี้มีอารมณ์ที่กระตือรือร้นเช่นนี้
เสิ่นอีเวยถามเหมียนเหมียนว่า “เหมียนเหมียน รู้จักคนนั้นใช่ไหม ?”
สาวน้อยพยักหน้าแล้วพูดว่า “รู้จักสิ เขาคือคุณพ่อไง”
“……”
เสิ่นอีเวยรู้สึกอยากจะร้องไห้ “ทำไมถึงคิดว่า เขาคือพ่อล่ะ ? ”
เหมียนเหมียนก็ละสายตาจากหน้าจอนั้นแล้วมามองเสิ่นอีเวย แล้วพูดอย่างตั้งใจว่า “เพราะว่าคุณแม่ชอบเขาไงล่ะ”
ครั้งนี้เสิ่นอีเวยเหมือนจะระเบิดออกมา แล้วก็พยายามกดอารมณ์ตัวเองไว้ “เหมียนเหมียนรู้อย่างไรว่าแม่ชอบเขาล่ะ ?”
เสิ่นอีเวยได้มองไปยังนิ้วอันอ้วน ๆของเหมียนเหมียน เพื่อให้เสิ่นอีเวยนั้นใกล้เข้ามา แล้วก็ได้เอาปากไปอยู่ข้าง ๆ หู หลังจากนั้นสองวินาที ก็ได้พูดออกมาอย่างช้า ๆ ชัด ๆ
“เพราะว่ามีคืนหนึ่งคุณแม่ได้นอนหลับแล้วละเมอออกมา เพราะก็ตะโกนชื่อของคุณพ่อออกมาไงล่ะ”