บทที่ 407 เรื่องข่าวลือในอดีต
เซิ่งเจ๋อเฉิงหันหน้าไปเห็น เสิ่นอีเวยแต่งตัวเรียบร้อย เขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า: “เธอแต่งตัวซะเรียบร้อย จะออกไปข้างนอกเหรอ?”
เสิ่นอีเวย พยักหน้า
“ไม่ได้” ชายหนุ่มน้ำเสียงเด็ดขาด
“ทำไมล่ะ?”
“เธอยังไม่หายดี” เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดเสียงต่ำ
หลังจากพูดจบประโยค เขาก้าวไปข้างหน้าแล้วแตะที่หน้าผากของเสิ่นอีเวย: “ยังมีไข้ต่ำ ๆอยู่ วันนี้เธอต้องพักอยู่ที่บ้านอีกวันหนึ่ง ส่วนทางด้าน Alex ฉันบอกกับเขาเรียบร้อยแล้ว”
เสิ่นอีเวยโต้ทันควัน: “ไม่เป็นไร ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกว่าไม่สบายตรงไหน อีกอย่างเดือนหน้าทางบริษัทจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ช่วงนี้ฉันมีงานที่ต้องทำอีกเยอะแยะ เมื่อวานก็เสียเวลาไปวันหนึ่งแล้ว ไม่ว่ายังไงวันนี้ฉันก็ต้องเข้าไปที่บริษัทให้ได้”
เซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องตากับเสิ่นอีเวย ด้วยแววตาจริงจัง จ้องอยู่นาน เขาก็ยอมเธอ: “ก็ได้ ฉันจะพาเธอไปเอง” น้ำเสียงแน่วแน่ของเขาทำให้เธอไม่สามารถปฏิเสธเขาได้
เสิ่นอีเวยรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย เธอเตรียมจะทำสงครามเย็นกับเขา เพราะเธอรู้สึกว่าวันนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงน่าจะไม่ยอมให้เธอไปทำงานแน่ ๆ ไม่นึกว่าเขาจะยอมเธอง่าย ๆ แบบนี้
ระหว่างทางไปที่บริษัท ในช่วงที่ติดไฟแดง เสิ่นอีเวยนึกคำถามขึ้นมาได้ข้อหนึ่ง จึงถามเซิ่งเจ๋อเฉิง: “คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันไข้ขึ้นอยู่ที่บ้าน?”
ดวงตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องไปที่ถนนข้างหน้า มือสองข้างจับที่พวงมาลัย นิ้วมือของเขาเรียวยาวสวยงาม ดูช่างเป็นความงามที่แตกต่าง
“เมื่อเช้าวานฉันรับเธอไปทำงาน แต่ไม่เห็นเธอออกมา ก็เลยโทรหาเธอ แต่ว่าเธอปิดเครื่อง พอดูที่ประตูอีกที เห็นประตูไม่ได้ล็อคเอาไว้ ” น้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ค่อยดีสักเท่าไร
จากน้ำเสียงของเขาเสิ่นอีเวยรู้สึกว่าเขากำลังหยอกล้อแกมเยาะเย้ยเธออยู่ จึงพูดว่า: “เรื่องที่ฉันลืมล็อคประตูบางทีอาจเป็นเพราะฉันไข้ขึ้นสูง รู้สึกมึนๆ ก็เลยลืมล็อคประตู”
เซิ่งเจ๋อเฉิงทำเสียงขึ้นจมูกฮึ: “ถ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ฉันก็อาจจะปล่อยผ่าน เพราะฉันไม่อยากจะว่าอะไรเธอนัก แต่เมื่อพูดขึ้นมาแล้ว ฉันก็คงต้องแสดงความคิดเห็นหน่อย”
เสิ่นอีเวยหยุดกึก เพราะน้ำเสียงของ เซิ่งเจ๋อเฉิง: “มีอะไรเหรอ?”
“ฉันอยากจะรู้จริง ๆ ว่าเธอคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงหรือเปล่า? เข้าประตูไปแล้วยังลืมล็อคประตูได้ด้วยเหรอ? เธออยู่บ้านคนเดียว ถ้ามีคนร้ายเข้ามาทำอะไรเธอจะทำยังไง? เธออยากให้เขาปล้นเงินหรือปล้นสวาทล่ะ? ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงบ่นออกมาเป็นสาย เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าเขาอารมณ์ไม่ค่อยดี
“เซิ่งเจ๋อเฉิง คุณกำลังเป็นห่วงฉันเหรอ?” เธอมองหน้าด้านข้างของเขา แล้วถามคำถามทันใด
เซิ่งเจ๋อเฉิงที่กำลังขับรถอยู่ หน้าชาไปพักหนึ่ง ริมฝีปากเม้มแน่น ไม่พูดอะไรอีก
เสิ่นอีเวยเงียบอยู่นาน หล่อนสูดหายใจเข้าลึก แล้วพูดออกมาสามคำ: “ขอบคุณค่ะ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่พูดอะไรสักคำ ร่างกายของเขาเหมือนมีความเย็นชาแผ่ซ่านออกมา
เขาจะทำยังไงให้ผู้หญิงคนนี้รู้ว่าเขาไม่ชอบที่เธอเกรงใจเขา? และไม่ชอบที่เธอใช้น้ำเสียงการพูดจาเป็นทางการกับเขาแบบนี้?
วันนี้ร่างกายของเสิ่นอีเวยดีขึ้นมากแล้ว เธอจัดการงานทุกอย่างอย่างราบรื่นดี ประสิทธิภาพในการทำงานก็สูงขึ้นกว่าเมื่อก่อน
ช่วงนี้ทางบริษัทได้สรรหาพนักงานใหม่ๆเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกัน บริษัท จึงจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง พนักงานส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว เมื่อทานอาหารเสร็จเหมือนพวกเขายังอยากไปที่อื่นต่อ
มีคนเสนอว่าให้ไปคาราโอเกะ หรือไม่ก็ไปบาร์ สองตัวเลือก แน่นอนว่าเสิ่นอีเวยและคนที่เคยทำงานร่วมกันมานานแล้วไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปที่ไหน พวกเขาให้สิทธิ์พวกพนักงานหนุ่มสาวเป็นคนเลือกสถานที่ หลายคนเลือกจะไปบาร์มากกว่าไปคาราโอเกะ
หลังจากเข้าไปในบาร์ ทุกคนสนุกกันสุดเหวี่ยง บางคนก็เริ่มแจกบุหรี่ให้คนรอบข้าง
ที่จริงเสิ่นอีเวยไม่สูบบุหรี่ แต่ก่อนหน้านี้เธอมีปัญหาทางอารมณ์ เพื่อเป็นการระบายอารมณ์เธอจึงสูบบุหรี่บ้างนิดหน่อย
แต่หลังจากที่เหมียนเหมียนเริ่มโตขึ้น เธอจึงไม่ได้สัมผัสกับบุหรี่มานานมากแล้ว
ในระหว่างที่ทำงานทุกคนร่วมมือร่วมใจกันอย่างดี บวกกับทุกคนนับถือการจัดการงานต่าง ๆ ของ เสิ่นอีเวย ดังนั้นจึงมีคนส่งบุหรี่ให้เธอ เสิ่นอีเวยยิ้มและรับมา ระหว่างที่เดินเข้าไปในห้องที่บาร์จัดเตรียมไว้ให้
โถงทางเดินกว้าง แอร์เย็นเฉียบ เสิ่นอีเวยไม่นึกว่าจะเจอคนที่รู้จักเธอ
เมื่อเดินผ่านกลุ่มคนที่เดินสวนทางกันมา มีคนเรียกชื่อเธอ: ” เสิ่นอีเวย?”
เสิ่นอีเวยชะงักไปพักหนึ่ง แล้วหันหน้าตามหาเสียงที่เรียกเธอเมื่อสักครู่ ที่แท้ก็เป็นเพื่อนนักเรียนที่เคยอยู่กับเสิ่นหุ้ยและสวี่หรูซินตอนนี้ดูพวกเธอน่าจะเป็นผู้หญิงเต็มตัวแล้ว
เพราะดูจากการแต่งตัวแล้วพวกหล่อนใส่ชุดเดรสกระโปรงแนบเนื้อเห็นสะโพกกลมมน มีเสน่ห์ดูเป็นผู้หญิง พวกหล่อนยืนอยู่เป็นกลุ่มไม่รู้ว่าพูดซุบซิบอะไรกันอยู่
หลังจากที่มีคนหนึ่งในกลุ่มพวกหล่อนตะโกนชื่อเธอขึ้นมา สายตาของพวกหล่อนก็เบนมาจ้องที่ตัวเธอเรียบร้อย
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?” เสิ่นอีเวยถามอย่างเยือกเย็น
อาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่เธอตอบกลับดูห่างเหิน หนึ่งในกลุ่มของพวกหล่อนที่ท่าทางประหลาดๆไม่เหมือนคนอื่นก็พูดขึ้นมาว่า : “เชอะ เธอไม่รู้จักพวกฉันแล้วหรือไง? เมื่อก่อนพวกฉันกับพี่สาวของเธอออกจะสนิทกัน ฉันยังให้พี่สาวของเธอพาเธอมาเที่ยวด้วยกัน แต่เธอกลับปฏิเสธทุกครั้ง ไม่เห็นพวกฉันอยู่ในสายตาเลยหรือไง? ”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามที่ไม่มีสาระพรรค์นี้ เสิ่นอีเวยก็ไม่ได้เก็บมาคิด เธอยิ้มเล็กน้อยและตอบว่า: “ฉันรู้จักคุณอยู่แล้ว แต่พูดกันจริง ๆ แล้ว คุณเป็นเพื่อนของเสิ่นหุ้ย ไม่ใช่เพื่อนของฉัน”
ที่จริงคำพูดของเสิ่นอีเวยไม่ได้มีความหมายอื่น เพียงแต่พูดไปตามความจริงเท่านั้น แต่พอเข้าหูคนฟังกลับเปลี่ยนความหมายเป็นอย่างอื่น
“ปากเก่งจริงนะ?” คนหนึ่งในกลุ่มพูดสอดขึ้นมา
เสิ่นอีเวยมองไปที่ฝ่ายนั้นแวบหนึ่ง ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไร ในขณะที่เธอกำลังจะก้าวจากไปนั้นเอง ก็มีคำพูดเสียดแทงเข้าหูของเธอ
“นึกถึงเมื่อก่อนที่เธอแย่งผู้ชายของพี่สาวของเธอไป หลังจากนั้นก็ต้องหย่ากันไม่ใช่เหรอ? ถึงได้พูดไงว่าคนเราอย่าหยิ่งผยองจนเกินไป ไม่อย่างนั้นวันหนึ่งถ้าตกลงมามันจะเจ็บตัวหนัก”
ราวกับคลื่นกระเพื่อมชั้นแล้วชั้นเล่าจากการโยนก้อนหินลงบนพื้นน้ำ เมื่อมีคนเปิดประเด็นขึ้นมาแล้วคนในกลุ่มพวกหล่อนก็เริ่มพูดกระแหนะกระแหนกันมากขึ้น
“หา? แย่งผู้ชายของพี่สาวตัวเอง มีเรื่องแบบนี้จริง ๆ เหรอ?”
“ฉันยังได้ยินมาอีกเรื่องหนึ่งว่า เธอกับพี่สาวโดนหลอกไปที่บาร์เหล้าให้คน … เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? คงไม่โชคร้ายขนาดนั้นมั้ง? ”
คำพูดเหล่านั้น ถ้าเสิ่นอีเวยยังยืนทนฟังได้อยู่ เช่นนั้นในตอนนี้เธอก็ต้องรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด