ตอนที่ 600 ความทรงจำสีเทา
ใบหน้าและริมฝีปากของเธอเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด
เฟยเอ๋อในตอนนี้นั้นนอนอยู่บนเตียงของตัวเอง บนลิ้นชักหัวเตียงมีถาดอาหารมื้อเที่ยงที่คนรับใช้นำขึ้นมาให้ในวันนี้วางไว้อยู่
เห็นอาหารร้อนๆแล้ว เธอก็ไม่มีความอยากอาหารแม้แต่น้อย
เธอในตอนนี้นั้นปิดตาทั้งคู่แน่นสนิท คิดเพียงแต่อยากจะหลับลึกๆสักรอบ บางทีมีเพียงแค่การนอนเท่านั้นถึงจะสามารถเรื่องลืมราวเหล่านี้ทิ้งไปได้
แต่ว่าเรื่องไม่เป็นไปอย่างที่ใจหวัง นอนพลิกตัวกลับไปกลับมาอยู่นานมากก็ยังนอนไม่หลับ
ภาพเหตุการณ์ตอนเช้าปรากฏขึ้นในสมองของเธอราวกับฉายภาพยนตร์วนไปวนมาครั้งแล้วครั้งเล่า
เธอเห็นแม้กระทั่งตอนที่ไอ้บ้าคนนั้นมองเห็นลิฟต์โดยสารค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปนั้น มุมปากก็เผยรอยยิ้มบางๆที่เหมือนกับเทพแห่งความตายออกมา
เธอลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาในทันที ลุกขึ้นมานั่ง ลนลานหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาแล้วรีบต่อสายโทรศัพท์โทรออกไปยังเบอร์นั้น
หลังจากที่สายไม่ว่างไปสองครั้ง เสียงที่เหมือนกับว่ามาจากนรกก็ดังขึ้นมา
“หึๆ สุดท้ายแล้วคุณก็ยังคงโทรศัพท์หาผม เป็นอย่างไรบ้าง เรื่องราวในเช้าวันนี้คิดว่าคุณก็คงจะเห็นแล้วสินะ” ชายหนุ่มผู้สวมหมวกเบสบอลในตอนนั้นนั่งอยู่บนท้องทุ่งกว้าง เบื้องหน้าเขามีทะเลสาบที่สงบนิ่งอยู่แห่งหนึ่ง
ใบหูของเขาเสียบหูฟังบลูทูธ มือจับคันเบ็ดตกปลาอันหนึ่งแน่น
เฟยเอ๋อกลัวว่าเสียงของตัวเองจะดังจนถูกคนอื่นได้ยิน เธอกดเสียงเบามาก “เมื่อวานฉันโทรศัพท์หาคุณ ทำไมคุณไม่รับ”
ชายหนุ่มผู้สวมหมวกเบสบอลหัวเราะเยาะ “ตอนที่ผมกำลังทำธุระอยู่ไม่ชอบถูกคนรบกวน”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเฟยเอ๋อสั่นระริกไม่หยุด “เรื่องเช้าวันนี้ คุณเป็นคนทำหรือ”
***
“หึๆ คุณเฟยเอ๋อ จินตนาการของคุณกว้างไกลมาก เมื่อวานผมตีเบสบอล วันนี้ตอนเช้าที่ไหนก็ไม่ได้ไปทั้งนั้น” ดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้สวมหมวกเบสบอลจะเดาได้นานแล้วว่าเธอจะถามแบบนี้
ใบหน้าเฟยเอ๋อกระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับโทรศัพท์ว่า “หลังจากนี้คุณอย่ามาหาฉันอีก ฉันไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับคุณแม้แต่นิดเดียว!” เธอเอ่ยจบแล้วก็วางสายโทรศัพท์
*
ทานอาหารเที่ยงเรียบร้อยแล้ว เป่หมิงโม่ก็พาเด็กๆกลับไปยังห้องรับแขกใหม่
เขาพูดกับฉิงฮัวว่า “ป้าซินพักอยู่ที่โรงพยาบาลสองสามวันนี้ ตอนที่นายส่งเฉิงกลับไปก็ส่งหยางไปด้วย แบบนี้พวกเขาถึงจะมีคนดูแล ใช่แล้ว แจ้งคุณครูสอนพิเศษของหยางด้วย ส่งที่อยู่ทางนั้นให้เขา”
ฉิงฮัวพยักหน้า “ครับ เจ้านาย”
สภาพจิตใจของเฉิงเฉิงและหยางหยางในตอนนี้ไม่สู้ดีเท่าไรนัก เมื่อได้ยินว่าจะได้กลับไปบ้านคุณแม่ก็ไม่ได้มีท่าทางดีใจอะไรมากมาย
“ลูกยังอยู่ตรงนี้ทำไมกัน ยังไม่ขึ้นไปเก็บกระเป๋าอีก” เป่หมิงโม่หันหน้ามามองหยางหยางที่อยู่อีกข้าง
ฉิงฮัวรีบเอ่ยว่า “เจ้านายครับ สภาพจิตใจของคุณชายน้อยหยางหยางไม่ดีนัก เดี๋ยวผมขึ้นไปช่วยเขาเก็บเองครับ”
เป่หมิงโม่มองไปที่ฉิงฮัว “นายก็มีเรื่องของนาย จัดการทำความสะอาดของที่เหลืออยู่ที่รถให้เรียบร้อย ฉันไม่อยากเห็นร่องรอยของมันแม้แต่นิดเดียว”
ฉิงฮัวพยักหน้า ในใจเขาทราบชัดเจนว่า ‘ของวุ่นวายไร้สาระ’ ที่เจ้านายเอ่ยถึงนั้นคือดอกไม้และโบว์หลากสีสันที่ประดับประดาอยู่บนรถ
แม้ว่าเป่หมิงโม่จะโยนทิ้งไปบางส่วนตอนที่อยู่โรงพยาบาล แต่ว่าส่วนใหญ่ยังคงเกาะติดอยู่บนรถแน่นอยู่
เฉิงเฉิงช่วยหยางหยางเก็บกระเป๋า ฉิงฮัวก็ไปจัดการทำความสะอาดรถ
ภายในห้องโถงกว้างเหลือเพียงแค่เป่หมิงโม่ที่นั่งโดดเดี่ยวอยู่บนโซฟาคนเดียว
ใบหน้าเขาเคร่งขรึม เหลือบตามองไปรอบๆห้องโถงเงียบๆ ที่นี่มีความทรงจำระหว่างเขาและบิดาตั้งแต่เล็กจนโต
จำได้ว่าตอนที่เขายังเด็กอยู่มาก บิดาและมารดามักจะทะเลาะกันที่นี่บ่อยๆ
เขาในวัยเยาว์นั้นยืนอยู่ด้านข้าง ตอนที่ตัวเองวางแผนจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดพวกเขา
กลับถูกมือใหญ่ของบิดาผลักเขาล้มลงไปอีกข้างหนึ่ง……
ยังจำได้ว่าตอนที่ตัวเองยื่นถ้วยรางวัลการแข่งขันเปียโนที่ได้รับมาในครั้งแรกให้บิดาดูอย่างมีความสุข
เขากลับมีสีหน้าทะมึน มือหนึ่งคว้าถ้วยรางวัลขึ้นมาแล้วโยนทิ้งลงบนพื้น……
ในภายหลัง
รวมถึงตอนที่ตัวเขาเลือกที่จะเดินบนเส้นทางการออกแบบสิ่งก่อสร้างเส้นนี้
เพื่อที่จะควบคุมดูแลบริษัทเป่หมิง จึงเซ็นสัญญาตกลงฉบับหนึ่งกับกู้ฮอนเพื่อให้กำเนิดเฉิงเฉิงและหยางหยางอย่างไม่สนใจสิ่งใด
ถึงตอนสุดท้ายก็ยกกู้ฮอนขึ้นมาพนันกับบิดา เพื่อที่จะบีบบังคับให้พี่ชายยกกรรมสิทธิ์หุ้นบริษัทเป่หมิงให้
แม้กระทั่งหลังจากที่ตัวเองได้รับกรรมสิทธิ์หุ้นนั้นมาแล้วก็ไล่ครอบครัวของเป่หมิงเฟยหย่วนออกไป……
ตลอดเส้นทางที่เดินมานี้ ทุกฝีก้าวของเขาล้วนอยู่ภายใต้เงามืดของบิดา
จนถึงสุดท้าย บิดาป่วยจนล้มหมอนนอนเสื่อ
เป่หมิงโม่ถึงไม่ได้เกลียดเขาแบบนั้นอีก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ยังคงให้สัญญาต่อหน้าเขาว่าจะไม่แต่งกู้ฮอนเป็นภรรยา
เพราะว่าในใจของเขารู้ชัดว่า บิดานั้นค่อนข้างจะมีอคติกับกู้ฮอน
เพื่อที่จะให้บิดาที่กำลังป่วยหนักรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย เขาถึงได้หันหลังให้กับเสียงเรียกร้องในหัวใจแล้วทำสัญญาไป…….
เป่หมิงโม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้แล้วก็ส่ายศีรษะเบาๆ หัวเราะเสียงขื่น
ทำไมความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับบิดาของตัวเองถึงได้ขมขื่นเช่นนี้ แต่กลับยากที่จะลบเลือนให้หายไปจากความทรงจำของเขา
แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังเห็นบิดาหลังจากเสียชีวิตแล้วกับตาตัวเอง โดยเฉพาะนัยน์ตาที่เบิกกว้างของเขาในวาระสุดท้ายที่เขาเห็น
ทำให้เป่หมิงโม่ยังคงรู้สึกคิดถึงบิดาอย่างลึกซึ้ง
***
ผ่านไปชั่วครู่ เฉิงเฉิงและหยางหยางสองคนก็ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมาชั้นล่างจากด้านบน
พวกเขาเดินมาถึงเบื้องหน้าเป่หมิงโม่ เอ่ยเสียงเบาประโยคหนึ่ง “คุณพ่อ พวกเราไปแล้วนะครับ”
เป่หมิงโม่ถึงได้ตื่นจากความทรงจำเหล่านั้นแล้วกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
เขามองลูกๆแล้วพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน เดินไปยังทิศทางห้องหนังสือของตัวเอง
เฉิงเฉิงและหยางหยางสบตากันครู่หนึ่ง รู้สึกว่าคุณพ่อประหลาดไปบ้าง แต่พวกเขาก็เข้าใจว่า สาเหตุที่คุณพ่อเป็นแบบนี้ ก็เพราะคุณปู่เสียชีวิตกะทันหัน
“ไปเถอะ พวกเราอย่าไปรบกวนคุณพ่ออีกเลย พวกเรากลับไปบ้านคุณแม่กัน” เฉิงเฉิงเอ่ยพูด เด็กชายสองคนลากสัมภาระออกไปทางประตูใหญ่
เมื่อออกจากประตูใหญ่ก็เห็นฉิงฮัวทำความสะอาดรถของเป่หมิงโม่สะอาดเอี่ยมอ่องแล้ว
ฉิงฮัวเห็นคุณชายน้อยทั้งสองเดินออกมาก็รีบเปิดประตูรถด้านหลังออกก่อน จากนั้นก็เดินมาหยุดหน้าพวกเขา ยื่นมือออกไปรับสัมภาระมา แล้ววางที่กระโปรงท้ายรถ
เฉิงเฉิงและหยางหยางขึ้นรถ สักครู่หนึ่งฉิงฮัวก็เข้ามานั่งในที่นั่งของคนขับ
รถยนต์ค่อยๆขับเคลื่อนออกไปจากบ้านใหญ่ตระกูลเป่หมิง มุ่งหน้าไปยังทิศทางบ้านของกู้ฮอน
*
ตอนบ่าย ในที่สุดกู้ฮอนก็สอบวิชาสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย ช่วงเวลาที่เดินออกมาจากสนามสอบนั้น ใบหน้าของเธอก็เผยรอยยิ้มบางๆออกมา
เมื่อออกมาจากสนามสอบ กู้ฮอนก็เห็นหยินปู้ฝันยืนอยู่ถนนฝั่งตรงข้ามในทันที
เขาสวมแว่นตากันแดดสีดำ มือทั้งสองข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนกับพรีเซนเตอร์รถยนต์อย่างไรอย่างนั้น ร่างกายเอนพิงรถปอร์เช่911คันสีแดงของเขาคันนั้น
กู้ฮอนยิ้มพลางเดินข้ามถนน เดินไปถึงเบื้องหน้าหยินปู้ฝัน ทำไม้ทำมือเป็นรูป OK ให้กับเขา “นายมายืนเต๊ะท่าอะไรที่นี่ ขับรถกลับบ้าน ฉันคิดถึงลูกรักตัวน้อยแล้ว”
หยินปู้ฝันเลื่อนแว่นตากันแดดขึ้นไปเหนือศีรษะ เบะปากแล้วพูดว่า “กู้ฮอน มีพนักงานที่ไหนที่สั่งให้เจ้านายขับรถแบบนี้ที่ไหนกัน เธอจะบอกว่าท่าทางแบบนี้ของฉันไม่มีแรงดึงดูดหรือไง”
“ฐานะของนายในตอนนี้คือเพื่อนสนิทของฉัน ไม่ใช่เจ้านาย” กู้ฮอนเบะปากพลางเอ่ยพูด แน่นอนว่าเธอรู้ว่าหยินปู้ฝัน ไอ้หมอนี่ยังคง ‘ไม่ยอมแพ้ต่อความคิดนั้น’
แต่เธอก็ต้องทำให้หยินปู้ฝันล้มเลิกความคิดนั้นไปถึงจะดี
เพียงแต่ว่าดูท่าทางแบบนี้ของหยินปู้ฝันแล้ว แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะสู้เป่หมิงโม่หรือ Noton ไม่ได้ แต่ก็ถือว่าโดดเด่นมากกว่าใคร
“นายน่ะ แน่นอนว่ามีแรงดึงดูด ไม่อย่างนั้น นายมองไปทางนั้นสิ คุณป้าวัยกลางคนมากมายพากันมองมาทางนายไม่ใช่หรือ” กู้ฮอนพูดแล้วก็ชี้ไปยังสถานที่ที่อยู่ตรงข้ามรถ
หยินปู้ฝันสีหน้าเคร่งขรึมในทันที
เขามองไปตามทิศทางที่นิ้วกู้ฮอนชี้ไป เป็นไปอย่างที่เธอพูด คุณป้าวัยกลางคนหลายคนกำลังมองมาทางนี้ ดูเหมือนว่าตาของพวกเธอจะไม่ค่อยดีเท่าไร จึงได้ยกแว่นไม่หยุด ยังมีอีกสองคนที่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง
หยินปู้ฝันร้องออกมาคำหนึ่งว่า “ไม่ดีแล้ว” ‘ทีมนักสืบจากสมาคมแม่บ้านวัยกลางคน’ รีบมาเร็วเข้า! กู้ฮอนรีบขึ้นรถเร็ว”
เอ่ยจบ ตัวเองก็รีบเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง แล้วติดเครื่องยนต์
กู้ฮอนคิดไม่ถึงเลยว่า เดิมเป็นเพียงแค่ประโยคพูดเล่น แต่หยินปู้ฝันกลับมีอาการเคร่งเครียดเสียขนาดนี้
แม้จะไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แต่ก็รีบตามขึ้นรถไป
เมื่อเธอปิดประตูแล้ว หยินปู้ฝันก็รีบเข้าเกียร์ เหยียบคันเร่งปล่อยเบรกแล้วพุ่งตัวออกไปราวกับนักแข่งรถอย่างไรอย่างนั้น
รถปอร์เช่สีแดงหายไปจากเบื้องหน้าของ ‘ทีมนักสืบจากสมาคมแม่บ้านวัยกลางคน’ อย่างรวดเร็ว
ความเร็วของรถทำให้กู้ฮอนจับราวจับมือบนรถแน่นอย่างเสียมิได้
กู้ฮอนหันกลับไปมองเหล่าคุณป้าวัยกลางคนที่ถูกพวกเขาทิ้งไว้ด้านหลังครั้งหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดกับหยินปู้ฝันว่า “ก็แค่คุณป้าไม่กี่คนอยากถ่ายรูปกับนายเท่านั้นเอง จะต้องเคร่งเครียดขนาดนี้ด้วยหรือ เฮ้ๆ นายขับรถช้าหน่อย”
***
หยินปู้ฝันมองผ่านกระจกหลังจนแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วถึงได้ปล่อยคันเร่งออก ความเร็วของรถช้าลงไม่น้อย
เขาถอนหายใจยาว “กู้ฮอน เธอคาดเข็มขัดนิรภัยเสียก่อน นี่คือความรู้ขั้นพื้นฐานสุดด้านความปลอดภัย เธอลืมแล้วหรือ”
“อ่อ!” กู้ฮอนรีบคาดเข็มขัดนิรภัย
หยินปู้ฝันถามเธอต่อว่า “เมื่อสักครู่เธอไม่เห็นถึงปัญหาหรือ”
กู้ฮอนถามอย่างสงสัย “มีปัญหาอะไร ก็แค่คุณป้าวัยกลางคนไม่กี่คนไม่ใช่หรือ”
หยินปู้ฝันส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ในฐานะทนายคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่จะต้องมีสมองที่ตื่นตัวเท่านั้น ยังต้องสังเกตอย่างละเอียดรอบคอบและเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดีด้วย”
กู้ฮอนพยักหน้า “นายพูดไม่ผิด ฉันก็เข้าใจนะ แต่ว่าเกี่ยวข้องอะไรกับท่าทางอันผิดปกติของนายเมื่อครู่ด้วยหรือ”
หยินปู้ฝันขับรถอย่างเชื่องช้า ยื่นมือไปเปิด MP3 ภายในรถมีเสียงเพลงอ่อนนุ่มคลอไปมา
กู้ฮอนรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาจึงหันหน้าไปมองหยินปู้ฝันแล้วขมวดคิ้ว “มีอะไรก็รีบพูดออกมา มี…….อะไรนั่นก็รีบปล่อยเสีย!” เธอรำคาญที่สุดเวลาที่พูดมาครึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่พูดต่อ
หยินปู้ฝันได้ยินแล้วก็ตลก “คิดไม่ถึงเลยว่ากู้ฮอนของพวกเราจะพูดคำหยาบคายกับเขาด้วย ก่อนอื่น เธอสังเกตเห็นปลอกแขนสีแดงที่แขนขวาของคนเหล่านั้นหรือไม่”
กู้ฮอนพยายามนึกย้อนกลับไปชั่วครู่ จากนั้นก็ครุ่นคิดพลางเอ่ยออกมาว่า “เหมือนจะมี…….”
หยินปู้ฝันพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ไม่ใช่เหมือนจะมี แต่ว่ามี การพูดจาในฐานะทนายนั้นไม่อาจใช้การตัดสินใจคลุมเครือแบบนี้ได้”
เขาเอ่ยต่อว่า “เธอคิดว่าสถานที่ที่ฉันจอดรถเมื่อครู่นี้มีปัญหาตรงไหนหรือไม่”
กู้ฮอนทำปากยื่น ส่ายหน้าเบาๆ
หยินปู้ฝันนั้นดูเหมือนจะคาดเดาได้นานแล้ว “ฉันได้ยินมาว่าสถานที่แห่งนั้นจำกัดเวลาในการจอดรถ ตั้งแต่เธอเห็นฉันจนถึงตอนขึ้นรถฉันนั้นเลยเวลาที่กำหนดไว้พอดี พูดให้จริงจังหน่อยก็คือฉันฝ่าฝืนกฎแล้ว”
กู้ฮอนเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา แต่เธอก็ยังคงมีคำถามอยู่บ้าง “นายทำผิดกฎและเกี่ยวข้องอะไรกับปลอกแขนของหญิงชรากัน”
“แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกัน นี่คือการดูความเข้าใจของเธอที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆแล้ว กฎระเบียบใหม่ที่สุดข้อหนึ่งระบุว่า เพื่อรักษากฎระเบียบการจราจรให้เป็นปกติ จะมีการเพิ่มการลงโทษกับยานพาหนะที่จอดไม่เป็นที่ไม่เป็นทาง สำนักงานเขตมีหน้าที่ให้ความร่วมมือในการดูแลรถยนต์ที่สัญจรไปมากับทางตำรวจจราจรในพื้นที่ที่ตัวเองดูแลอยู่ โดยต้องเก็บรวบรวมหลักฐานของยานพาหนะที่จอดไม่เป็นที่ทางในพื้นที่ของตัวเอง”
ในที่สุดกู้ฮอนก็เข้าใจเมื่อได้ยินหยินปู้ฝันท่องมาตรากฎหมายออกมา
จะได้รับใบอนุญาตทนายความอยู่แล้ว กลับละเลยแม้กระทั่งเรื่องพื้นฐานที่สุดเหล่านี้ ดูท่าวันหลังคงต้องเพิ่มการฝึกหัดในด้านนี้เพิ่มมากขึ้นแล้ว