ตอนที่ 772 จัดหาที่พักให้คุณแม่
“คุณแม่คะ ทำไมคุณแม่จะต้องทำแบบนี้ด้วยคะ คุณแม่ไม่อยากเห็นเธอก็แค่เลี่ยงออกมาก็พอแล้ว อีกอย่างอาการป่วยของคุณแม่ในตอนนี้ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นทั้งหมด ถ้าหากว่าจากไป จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อการฟื้นร่างกายให้เป็นปกติจากอาการป่วยของคุณแม่นะคะ”
ลู่ลู่ยังคงมีท่าทางยืนกรานอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ได้ แม่จะต้องไปจากที่นี่ให้ได้ แค่อีกพักหนึ่งก็ไม่อยากอยู่แล้ว”
กู้ฮอนขมวดคิ้วน้อยๆ แต่เธอเห็นว่าคุณแม่ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว จะหยุดยั้งเธอก็ลำบาก ดังนั้น เธอจึงก้มหน้า เริ่มช่วยคุณแม่เก็บของทั้งหมดให้เรียบร้อย
สองแม่ลูกใช้เวลาไม่นานก็เก็บของทั้งหมดเสร็จแล้ว “คุณแม่ ตอนนี้หนูจะไปดำเนินเรื่องขอออกจากโรงพยาบาล คุณแม่รอหนูสักครู่นะคะ”
กู้ฮอนพูดแล้วก็เดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย
ตอนนี้เธอรู้สึกหนักใจอยู่บ้าง ถ้าคุณแม่ออกจากโรงพยาบาลนี้ไปแล้วจะไปพักอาศัยที่ไหนกัน
บ้านของตัวเอง ห้องก็เล็ก ให้คุณแม่พักอาศัยอยู่คนเดียวก็ไม่วางใจ
ลั่วเฉียวที่นั่นห้องพักมีขนาดใหญ่ แต่ที่นี่ยังมีฉิงฮัวและจิ่วจิ่ว อีกทั้งเธอยังไม่เคยพูดเรื่องของจิ่วจิ่วกับคุณแม่ด้วย
แม้ว่าคุณแม่จะเข้าใจเรื่องราวก่อนหน้านี้ของเธอบ้างแล้ว ถึงจะนับว่ายอมรับเป็นนัยว่าเป่หมิงโม่มีลูกกับตัวเองสองคน แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่โกรธในเรื่องนี้
***
ตอนนี้ควรจัดการให้คุณแม่พักอยู่ที่ไหนถึงจะเหมาะสมกันแน่ นี่กลายเป็นปัญหาที่ทำให้กู้ฮอนปวดหัวมากที่สุด
หลังจากที่ปวดหัวกับเรื่องนี้ไปชั่วครู่ เธอก็คิดว่าไปพักที่บ้านของลั่วเฉียวค่อนข้างน่าไว้วางใจกว่า เพราะว่าที่นั่นมีคนดูแลพวกเธอ
สำหรับเรื่องของจิ่วจิ่วนั้น เธอรอให้คุณแม่กับจิ่วจิ่วพัฒนาความรู้สึกที่ดีต่อกันแล้ว ค่อยบอกความจริงกับเธอ แบบนี้คุณแม่จะได้ยอมรับได้ง่ายหน่อย
การเดินเรื่องเพื่อขอออกจากโรงพยาบาลนั้นง่ายมาก ที่สำคัญก็คือเป่หมิงโม่เป็นคนจัดการให้พวกเธอ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายๆ กระทั่งค่าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลยังไม่ต้องคำนวณเลย
ในไม่ช้าเธอก็ถือกระเป๋าใบเล็กใหญ่เดินออกมาจากโรงพยาบาลกับคุณแม่
เธอยกมือโบกรถแท็กซี่คันหนึ่งให้หยุด วางของเข้าไปแล้วก็ช่วยกันเคลื่อนย้ายคุณแม่เข้าไปในรถกับคนขับสองคน
พวกเธอนั่งรถมุ่งหน้าไปยังทิศทางของบ้านลั่วเฉียว
*
หลังจากเป่หมิงโม่โทรศัพท์หากู้ฮอนเรียบร้อย ก็เดินออกมาจากห้อง ICU แล้วบังเอิญพบกับโม้จิ่งเฉิงที่เดินตรงมา
“โม่ คุณแม่ของคุณ เธอ…….”
เป่หมิงโม่ไม่รอให้เอ่ยจบก็ชี้นิ้วไปที่ห้องพักผู้ป่วยของหวีหรูเจี๋ย “เธออยู่ด้านใน ที่นี่มีคุณหมอคอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เงื่อนไขในการรักษาแม้ว่าจะสู้ทางยุโรปไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากเท่าไร อีกอย่างผมนัดผู้เชี่ยวชาญไว้หลายท่าน คาดว่าพรุ่งนี้จะมาตรวจอาการให้เธอ ตอนนี้ผมยังมีเรื่องอื่นอีก คงไม่อยู่ที่นี่นานไปกว่านี้แล้ว”
เป่หมิงโม่ชี้แจงเรื่องราวทั้งหมดให้กับโม้จิ่งเฉิงเรียบร้อยแล้วก็ออกจากโรงพยาบาลไป
*
รถแท็กซี่ค่อยๆหยุดลงที่หน้าบ้านพักที่ลั่วเฉียวอาศัยอยู่ ลู่ลู่ถูกพยุงลงมาจากรถ
เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น มองเห็นบ้านพักหลังนี้ก็หันหน้ามาถามกู้ฮอนว่า “นี่เป็นบ้านที่ใครอยู่กัน”
กู้ฮอนนำของทั้งหมดลงมาจากรถและจ่ายเงินค่ารถแล้ว จากนั้นก็เดินมาที่ข้างกายคุณแม่ ยิ้มบางๆแล้วเอ่ยว่า “หนูจะมีเงินอยู่บ้านที่ดีแบบนี้ได้ที่ไหนกันคะ นี่เป็นบ้านเพื่อนคนหนึ่งของหนู ตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ หนูก็พาลูกมาอยู่ที่นี่ ปกติก็สามารถดูแลช่วยเหลือเธอได้”
คำพูดเพิ่งจบลง แอนนิก็อุ้มจิ่วจิ่วเปิดประตูแล้วเดินออกมา
จิ่วจิ่วเห็นคุณแม่ก็กำลังจะตะโกนเรียก แต่ก็เห็นคุณย่าคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกายคุณแม่อย่างรวดเร็ว
เธอจำเรื่องที่คุณแม่กำชับตัวเองได้มาโดยตลอด “ต่อหน้าคนแปลกหน้าไม่สามารถตะโกนเรียกหม่ามี๊ได้” เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็มองไปที่กู้ฮอนตาปริบๆ พลางโบกมือเล็กน้อย ถือว่าเป็นการทักทายหม่ามี๊
กู้ฮอนเห็นจิ่วจิ่วแล้วก็ยิ้มบางๆพร้อมกับพยักหน้าเป็นการตอบกลับ
“คุณแม่ หนูจะแนะนำให้คุณแม่รู้จักนะคะ นี่เป็นเพื่อนสนิทอีกคนของหนู เธอก็อาศัยอยู่ด้วยกันกับพวกหนูด้วย” กู้ฮอนรีบแนะนำแอนนิให้คุณแม่รู้จัก
แอนนิยิ้มบางๆ พลางพยักหน้าให้กับลู่ลู่ “สวัสดีค่ะคุณป้า หนูชื่อแอนนิ”
ลู่ลู่ก็พยักหน้าให้ พลางยิ้มบางๆ
“หม่ามี๊ คุณย่าเป็นใครหรือคะ” นัยน์ตาโตของจิ่วจิ่วมองไปยังลู่ลู่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นเบื้องหน้าตาปริบๆ
แอนนิฟังออกว่ากู้ฮอนยังคงไม่ได้เล่าเรื่องของจิ่วจิ่วให้กับคุณแม่ฟัง ถ้าอย่างนั้นตัวเองก็อย่าเปิดเผยเรื่องราวออกไป จนทำให้พวกเธอวุ่นวาย
เธอเอ่ยกับจิ่วจิ่วอย่างอ่อนโยนว่า “ทารกน้อย นี่คือคุณแม่ของคุณป้า หลังจากนี้หนูต้องเรียกเธอว่าคุณยายรู้ไหมคะ”
จิ่วจิ่วพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้า “หม่ามี๊ คุณยายไม่ใช่หม่ามี๊ของหม่ามี๊หรือคะ ทำไมหม่ามี๊ของคุณป้ายังต้องเรียกว่าคุณยายล่ะคะ”
กู้ฮอนยิ้มบาง พลางเดินไปอยู่เบื้องหน้าจิ่วจิ่ว “ทารกน้อย คุณป้ากับหม่ามี๊เป็นเพื่อนรักกันนะคะ” เอ่ยถึงตรงนี้ กู้ฮอนก็ส่งสายตาให้กับจิ่วจิ่ว จิ่วจิ่วก็เข้าใจได้ในทันที
เธอเรียกลู่ลู่อย่างน่ารักว่า “คุณยาย”
***
ทำให้ความกลัดกลุ้มใจที่มีมาตั้งแต่เช้าของลู่ลู่จางหายไปในทันที เธอรับคำอย่างใจดี
แอนนิวางจิ่วจิ่วลงบนพื้น จากนั้นก็ช่วยกู้ฮอนถือของของลู่ลู่เข้าไปในห้อง
จิ่วจิ่วเดินไปถึงข้างเก้าอี้รถเข็นของลู่ลู่ ชี้ไปที่เก้าอี้รถเข็นอย่างประหลาดใจ พลางเอ่ยว่า “คุณยาย นี่คืออะไรหรือคะ ทำไมถึงได้มีล้อใหญ่ๆสองวงกับล้อเล็กๆอีกสองวง ทำไมถึงไม่เหมือนกับรถยนต์ที่มีพวงมาลัยล่ะคะ”
ลู่ลู่มีความรู้สึกใกล้ชิดเป็นกันเองกับเด็กน้อยคนนี้ จึงเอ่ยอย่างใจดีว่า “สิ่งนี้เรียกว่าเก้าอี้รถเข็นจ้ะ ตอนนี้คุณยายไม่สามารถเดินได้ จึงต้องอาศัยมันพาไปยังสถานที่อื่นๆ สิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องมีพวงมาลัย รอจนหนูโตแล้วก็จะรู้เองจ้ะ”
กู้ฮอนนำของเข้ามาวางในห้อง จากนั้นก็ออกมาเข็นคุณแม่เข้าไปในห้อง จิ่วจิ่วยื่นมือออกไปดึงขากางเกงกู้ฮอน
รอจนเข้าไปในห้องแล้ว กู้ฮอนก็แนะนำลั่วเฉียวให้กับคุณแม่รู้จัก
“ฮอน ฉันเห็นว่าขาและเท้าของคุณป้าไม่ค่อยสะดวกเท่าไร ก็จัดการทำให้ห้องหนังสือห้องนั้นว่างแล้วให้เธออาศัยที่นั่นเถอะ” ลั่วเฉียวคิดอย่างรอบคอบ
“ฉิงฮัวล่ะ” แอนนิถามประโยคหนึ่ง
นับตั้งแต่ฉิงฮัวจดทะเบียนกับลั่วเฉียว เขากลับไม่ได้นอนห้องเดียวกันกับเธอ
สาเหตุก็คือเขาคิดว่ายังต้องให้ลั่วเฉียวปรับตัวก่อนอีกสักหน่อย
ลั่วเฉียวใบหน้าแดงระเรื่อ เอ่ยกับแอนนิว่า “เธอก็ช่วยเก็บกวาดที่นั่นสักหน่อยเถอะ เขาไม่ใช่เด็กสามขวบที่ต้องให้ฉันจัดแจงให้เขานะ”
เวลาครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ห้องนอนที่จัดเตรียมไว้ให้ลู่ลู่ก็ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
กู้ฮอนเข็นคุณแม่เข้าไป ทั้งยังช่วยคุณแม่ให้ขึ้นไปนอนบนเตียงด้วย “คุณแม่ คุณแม่พักผ่อนก่อนสักพักนะคะ พวกเราจะไปจัดเตรียมอาหาร”
ลู่ลู่พยักหน้า “ฮอน ลูกต้องขอบคุณเพื่อนสนิททั้งสองคนนั้นของลูกแทนแม่ด้วยนะ ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อแม่เห็นพวกลูกดีต่อกันเช่นนี้ แม่ก็คิดถึงเรื่องในปีนั้น เพียงแต่ว่าภายหลัง……เฮ้อ ไม่ต้องพูดถึงมันแล้ว”
กู้ฮอนเดินออกจากประตูไป แล้วก็ปิดประตูให้สนิท
เธอเดินมาถึงข้างกายของลั่วเฉียว “ขอบคุณเธอนะลั่วเฉียว” จากนั้นก็มองไปที่แอนนิ
ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกซึ้งใจที่บรรยายออกมาไม่ถูก “ฉันโชคดีจริงๆที่มีเพื่อนสนิทที่ดีแบบพวกเธอสองคน”
“ฮอน เธอพูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าเห็นเป็นคนนอกหรือ ตอนที่พวกเราลำบาก เธอก็ยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเราไม่ใช่หรือ เพื่อนสนิทไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันแบบนี้ตลอดเวลาหรอกนะ คุณป้าก็วางใจให้อยู่ที่นี่ได้ นานเท่าไรก็ได้”
กู้ฮอนเรียกจิ่วจิ่วมาข้างกาย “ทารกน้อย คุณยายจะอาศัยอยู่ที่นี่ตลอด หลังจากนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณยายไม่อาจเรียกแม่ว่าหม่ามี๊ได้ รู้ไหมคะ”
จิ่วจิ่วพยักหน้าอย่างแรง “หม่ามี๊ หนูเข้าใจแล้วค่ะ”
จัดแจงให้ลูกเข้าใจเรียบร้อยแล้ว กู้ฮอนก็โล่งใจไปอย่างหนึ่ง
อาหารกลางวันเป็นกู้ฮอนและแอนนิร่วมมือกัน จึงจัดเตรียมเสร็จอย่างรวดเร็ว
กู้ฮอนเข็นคุณแม่มาถึงห้องทานอาหาร เมื่อเห็นอาหารมากมายลานตาเต็มโต๊ะ อารมณ์ของลู่ลู่ก็ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
“นานแล้วที่ไม่ได้เห็นอาหารลานตามากมายขนาดนี้ฮอน อาหารพวกนี้ล้วนเป็นลูกที่ทำหรือ” ลู่ลู่มองไปที่ลูกสาว
“คุณแม่ นี่ล้วนเป็นฝีมือการทำอาหารของแอนนิค่ะ หนูก็แค่ยืนช่วยอยู่ข้างๆนิดหน่อย”
กู้ฮอนพูดแล้วก็หยิบลูกชิ้นหัวสิงโตมาวางในชามของคุณแม่ “นี่เป็นอาหารที่แอนนิเชี่ยวชาญมาก อย่าเห็นว่าเธอใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองซาบาห์นะคะ แต่ฝีมือการทำอาหารจีนยอดเยี่ยมมากเลย”
ลู่ลู่ชิมไปคำหนึ่ง “รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ ใช่แล้ว ทำไมเฉิงเฉิงยังไม่กลับมาอีก”
“ตอนกลางวันเฉิงเฉิงทานที่โรงเรียน ตอนบ่ายเลิกเรียนแล้วหนูจะไปรับเขา ถึงเวลาคุณแม่ก็จะได้พบกับเขาแล้ว”
ลู่ลู่พยักหน้า จากนั้นก็มองไปที่จิ่วจิ่ว ครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “เธอเหมือนกับลูกตอนเด็กจริงๆ”
***
ประโยคไม่รู้ตัวนี้ของลู่ลู่ทำให้กู้ฮอน แอนนิ และลั่วเฉียวล้วนรู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาเล็กน้อย
โดยเฉพาะกู้ฮอนที่รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด เธอคีบผักกวางตุ้งผัดน้ำมันหอยให้กับคุณแม่ชิ้นหนึ่ง “คุณแม่ อย่าคิดไปเองอีกเลยค่ะ รีบกินข้าวเถอะ”
“คุณแม่คะ ตอนบ่ายหนูต้องไปทำงาน คุณแม่ก็พักผ่อนอยู่ที่นี่ พวกเธอล้วนเป็นเพื่อนสนิทของหนู คุณแม่ก็ถือเสียว่าเป็นบ้านได้เลย” กู้ฮอนพูด พลางหยิบกระเป๋าของตัวเอง เดินออกไปจากบ้านพัก
*
โม้จิ่งเฉิงดูแลหวีหรูเจี๋ยอยู่ที่โรงพยาบาล จนถึงตอนบ่ายหวีหรูเจี๋ยก็ค่อยๆได้สติขึ้นมา
หลังจากเธอลืมตาขึ้นมาแล้วก็เห็นโม้จิ่งเฉิงนั่งอยู่ที่ข้างเตียงตัวเอง
“จิ่งเฉิง ฉันอยู่ที่ไหนหรือคะ” ลมหายใจของหวีหรูเจี๋ยในตอนนี้อ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้ายังคงซีดขาว
“ตอนนี้คุณอยู่ในโรงพยาบาล คุณหมอตรวจร่างกายให้คุณแล้ว อาการเก่าของคุณกำเริบอีกแล้ว เพียงแต่ต้องพักที่นี่สักหลายวันถึงจะดีขึ้น” โม้จิ่งเฉิงเอ่ยพลางจับมือของหวีหรูเจี๋ยเบาๆแล้วยิ้มบางๆให้กับเธอ
“หรูเจี๋ย คุณรู้ไหมว่า หลังจากที่โม่รู้ว่าคุณหมดสติไปก็เป็นฝ่ายเข้ามาช่วยเหลือ ทั้งยังอุ้มคุณออกมาจากโรงแรมตลอดทาง แล้วขับรถพาคุณมาส่งด้วย หลังจากถึงโรงพยาบาลแล้ว ห้องพักผู้ป่วยนี้ก็เป็นเขาที่จัดการให้เรียบร้อย ผมมองออกนะว่า โม่ เด็กคนนี้ แม้ว่าภายนอกจะแสดงออกว่าไม่เป็นห่วงคุณอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อคุณเกิดเรื่องจริงๆ เขาก็ยังสนใจคุณ”
ใบหน้าขาวซีดของหวีหรูเจี๋ยเผยรอยยิ้มน้อยๆ ในเวลาเดียวกันเธอก็น้ำตาไหลริน
หยาดน้ำตาของเธอนั้นแฝงไปด้วยความสำนึกผิดในเรื่องผิดพลาดที่ตัวเองได้กระทำกับลูกชายในอดีต นอกจากนั้นแล้วก็รู้สึกยินดีที่ลูกชายปฏิบัติเช่นนี้กับตัวเองในวันนี้
*
ทานอาหารกลางวันแล้ว เจียงฮุ่ยซินก็เอ่ยกับหยางหยางว่า “หยางหยาง ย่าอยากไปเยี่ยมคุณยายของเธอ เธอกับเฉิงเฉิงไปมาแล้วไม่ใช่หรือ ตอนบ่ายเธอก็พาย่าไปเยี่ยมเธอหน่อยเถอะ”
“ได้ครับ” หยางหยางตอบรับคำอย่างสบายๆ
เจียงฮุ่ยซินพาหยางหยางและคนรับใช้คนหนึ่งถือของบำรุงเล็กน้อยมาที่โรงพยาบาล แม้ว่าหยางหยางจะเคยไปมาครั้งเดียว แต่ก็ยังคงจำเส้นทางได้อย่างชัดเจน
ไม่นานก็หาห้องพักผู้ป่วยของลู่ลู่พบ
“คุณยายครับ ผมกับคุณย่ามาเยี่ยมคุณยายแล้ว” หยางหยางเอ่ย พลางผลักประตูเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย
“เอ๋ ทำไมคุณย่าไม่อยู่แล้วล่ะ” หลังจากหยางหยางเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยแล้วก็เห็นเพียงแค่ห้องที่ว่างเปล่าห้องหนึ่ง อีกทั้งบนเตียงผู้ป่วยยังมีเครื่องนอนที่พับเก็บเรียบร้อยวางไว้ ราวกับว่าไม่เคยมีใครอยู่มาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
“ขออนุญาตสอบถามค่ะ พวกคุณมาหาใครหรือคะ” ในตอนนั้นเอง มีคุณหมอเข็นรถตรวจวินิจฉัยของโรงพยาบาลผ่านมาคนหนึ่ง
เจียงฮุ่ยซินหันหน้าไปยิ้มให้กับเขาบางๆ “สวัสดีค่ะคุณหมอ พวกเรามาเยี่ยมคนไข้ค่ะ” เธอเอ่ย พลางชี้ไปในห้องที่ว่างเปล่า “ขอสอบถามหน่อยค่ะว่าผู้ป่วยไปที่ไหนหรือคะ