บทที่ 860 แย่งคนรักของพ่อไป
พอพูดเสร็จ ก็ได้ยินเสียงที่หยางหยางคุ้นหูจากห้องทำรายการ
สาวสวยก็ได้ขึ้นเวทีพร้อมกับเสียงเพลง
พอพวกเธอขึ้นมายังเวทีแล้ว คนที่อยู่หลังเวทีก็เหลือแต่หยางหยางและจิ่วจิ่ว
“หยางหยาง จิ่วจิ่ว ขึ้นพร้อมกับคุณน้านะ” พอผู้กำกับเลี่ยงพูดเสร็จก็ได้จูงมือหยางหยางและจิ่วจิ่ว ขึ้นไปยังบนเวที
ขณะที่รอประตูทางเข้าใหญ่ของห้องทำรายการเปิดออกมา ทำให้หยางหยางจากที่สงบนิ่งกลายเป็นเริ่มมีความตื่นเต้นขึ้นมามากที่สุด
ผู้กำกับเลี่ยงสัมผัสได้ถึงมือของพวกเขาที่สั่นอย่างรุนแรง
“หยางหยาง พวกเราไม่ได้มาทำรายการสด ไม่ต้องตื่นเต้น ฉันจะอยู่ข้างใน หากเกิดอะไรขึ้น ฉันจะเรียกให้หยุด จิ่วจิ่ว รู้สึกอย่างไร ?”
เธอได้หันไปถามจิ่วจิ่ว
อาจจะเป็นเพราะอายุยังน้อย และมีพี่ชายอยู่ข้าง ๆ เธอกลับไม่มีความกลัวใดใดเลย เธอเงยหน้าขึ้นมาแล้วส่ายหัวให้กับผู้กำกับเลี่ยง
“งั้นพวกเราขึ้นไปบนเวทีเถอะ” พอพูดเสร็จ สามคนก็ได้เดินขึ้นมายังรายการ 《วาสนารัก》
แสงสีมากมาย และเสียงเพลงที่ทำให้คนตื่นเต้น และยังมีเสียงร้องและปรบมือแสดงความยินดี ซึ่งเหมือนกับในทีวีมาก ๆ เลย
ขณะที่สาวสวยประจำตำแหน่งตัวเอง และยังมีที่ว่างอีกหนึ่งที่ ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกประหลาดใจ
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่อยู่ตรงกลางซะด้วย และมีชื่อของกู้ฮฮน ซึ่งทำให้ทุกคนมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นที่สุด
ตลอดจนขณะที่ผู้กำกับพาหยางหยางและจิ่วจิ่วขึ้นมาบนเวที ทำให้บรรยากาศตอนนั้นมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ตอนนี้ ทำให้กล้องทุกตัวหันมาส่องเด็กสองคนที่ถูกนำพาขึ้นมายังบนเวที
และทำให้พิธีกรรายการไม่ทันได้ตั้งใจเลย เพราะว่าผู้กำกับไม่ได้แจ้งอะไรเลย ว่าครั้งนี้จะมีเด็กน้อยมาเข้าร่วมด้วย
แต่ยังดีที่เขามีประสบการณ์ในการเป็นพิธีกร สามารถปิดบังความอึดอัดใจของตัวเองได้
“โอ้วววววว นี่มันคือสถานการณ์อะไรเนี่ยยย แท้จริงแล้วแขกผู้มีเกียรติที่ลี้ลับของพวกเราก็คือเด็กน้อยสองคนนี้นี่เอง ถึงแม้รายการของพวกเราจะมุ่งไปยังคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่บางครั้งก็อาจจะเหนือความคาดหมายจากทุกคนก็เป็นได้ อย่างเช่นในรอบนี้ ดังนั้น ผมขอเป็นตัวแทนผู้ชมทุกท่าน ถามเพื่อนน้อยสองคนนี้สักหน่อย เพราะอะไรถึงมาที่นี่ เพราะที่นี่ไม่ใช่สถานที่ทำรายการของเด็กเลย”
……
หยางหยางไม่ได้ตอบกลับพิธีกรอย่างทันที แต่มองเขาแล้วพูดว่า “คุณเป็นพิธีกรของรายการ 《วาสนารัก》คุณตาลั่วใช่ไหม ? ฉันเป็นแฟนกลับคุณตัวยงเลยนะ ให้ลายเซ็นกับผมหน่อยได้ไหม ?”
ขณะที่พูดใบหน้าของเขาก็ได้ไปมองยังผู้กำกับเลี่ยง แล้วปล่อยมือ หลังจากนั้นก็วิ่งหาพิธีกรลั่ว
ซึ่งทำให้พิธีกรลั่วไม่ทันตั้งตัวเลย แต่ยังดีที่เขามีประสบการณ์โชกโชน แล้วก็ได้พูดกับผู้ชมที่กำลังดูอยู่ว่า “ทุกคนดูสิ รายการของพวกเราได้รับความนิยมจากผู้คนมากมาย แม้กระทั่งเด็กก็ยังชอบเลย”
พอพูดเสร็จ ด้านล่างเวทีก็ได้มีเสียงหัวเราะขึ้นมา
พิธีกรลั่วก้มหน้ามองหยางหยาง “เซ็นลายเซ็นให้ได้นะ แต่คุณจะต้องบอกกับเราก่อนว่าคุณมาทำอะไร ?”
หยางหยางได้เท้าสะเอว “ก็ให้ลายเซ็นผมก่อนสิ ไม่งั้นก็จะถูกคุณแกล้งแล้วล่ะ ฉันจำได้ว่าก่อนหน้านี้ก็มีแขกผู้มีเกียรติมาขอลายเซ็นคุณ พอเสร็จรายการ คุณก็ไม่ได้ให้เขาเลย ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะ”
เวลานี้ ก็ทำให้เสียงหัวเราะเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
พิธีกรลั่วดูแล้วหยางหยางหลอกยาก ก็เลยหยิบปากกามาจากกระเป๋า “เซ็นให้คุณได้นะ แต่ฉันไม่มีกระดาษ ไม่มีอะไรเลย จะเซ็นตรงไหนถึงดีล่ะ ?”
“ตรงนี้เถอะ” หยางหยางบอก ยื่นมือของตัวเองออกมา
พิธีกรลั่วเซ็นไป แล้วก็ปากก็พูดว่า “คุณดูสิ เป็นครั้งแรกที่ฉันเซ็นชื่อบนมือคนครั้งแรกเลยนะเนี่ย มือที่นุ่มขาดนี้ ฉันไม่กล้าทำให้มันสกปรกเลย”
หยางหยางทำตัวสบาย ๆ “ไม่เป็นไร ฉันไม่กลัวสกปรก แต่คุณทำให้มือกับใจของผมรู้สึกคัน ๆ ไปหมด แต่พูดไปแล้ว ตัวหนังสือของคุณไม่ค่อยจะสวยเลยนะ ระดับความสวยก็ไม่ต่างจาก อูเสี่ยวเอ้อ”
ประโยคนี้ทำให้พิธีกรลั่วจะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะร้องก็ไม่ร้องไห้ “ขอโทษจริง ๆ นะ ตลอดมาฉันก็เขียนบนกระดาษ ไม่เคยมาฝึกฝนบนมือของคุณ แต่ฉันจะอยากถาม ที่คุณพูดเมื่อสักครู่นี้ใครคือ อูเสี่ยวเอ้อ”
“เป็นน้องของฉันเอง” หยางหยางพูดออกมา
“เหอะ ดูไม่ออกจริง ๆ คุณก็ยังเป็นพี่ใหญ่” พิธีกรลั่ว ขณะที่พูดก็ยังโค้งคำนับให้เขา “เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว เอาล่ะ เซ็นเสร็จแล้ว คุณควรจะบอกได้แล้วใช่ไหมว่ามาที่นี่มาทำอะไร ?”
หยางหยางเอามือกลับคืน แล้วก็พยักหน้า “ฉันกับน้องสาวมาในครั้งนี้ ก็เพราะว่าจะหาพ่อใหม่”
“ฉันทำรายการ 《วาสนารัก》มาหลายซีซั่น ทุกคนล้วนต่างมาหาคู่ให้กับตัวเอง วันนี้เป็นครั้งแรกที่ลูกมาหาพ่อใหม่ คุณให้เหตุผลหน่อยได้ไหมว่าเพราะอะไรมาที่นี่มาหาพ่อใหม่ ? ” พิธีกรลั่วตอบหยางหยางด้วยความแปลกใจและเหนือความคาดหมาย
“คุณน้า ฉันอยากจะไปหาพี่ชาย” ตอนนี้จิ่วจิ่วได้ปล่อยมือผู้กำกับเลี่ยง พอพูดกับเธอเสร็จ ก็ได้เดินไปยังด้านหน้าของพิธีกรลั่ว
ความจริงแล้วเขาก็ได้เห็นจิ่วจิ่วแล้ว เขายิ้มแล้วพูดว่า “สาวน้อย ไม่งั้น คุณบอกได้ไหมว่าเพราะอะไรมาหาพ่อใหม่ที่นี่ล่ะ ?”
จิ่วจิ่วก็ได้คิดถึงเรื่องที่หยางหยางพูดกับตัวเองไว้เมื่อวาน “พ่อของฉันทั้งแก่ทั้งเลว ฉันมาหาคนรักให้แม่ และทิ้งเขาไป”
ประโยคนี้ทำให้พิธีกรลั่วรู้สึกมีเส้นดำ ๆ ผ่านบนหัว “หืมม ? ดังนั้นคุณจะแย่งคนรักของพ่อไป ?”
หยางหยางและจิ่วจิ่วพยักหน้าอย่างเข้าใจ หลังจากนั้นก็พูดพร้อม ๆ กันว่า “ไม่ผิดเลย ”
พอคำนี้พูดออกมา เลยทำให้ทั้งห้องมีแต่ความเงียบงัน หลังจากนั้นก็เต็มไปด้วยเสียงปรบมือ
“เพื่อนน้อย ฉันรู้สึกสนใจกับตัวพ่อของรคุณนะ ไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร ?”
……
ขณะที่พิธีกรเขาถามชื่อคุณพ่อกับหยางหยาง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
“ฉันทำไมไม่รู้ว่าการทำคอลัมน์นี้มีซื้อหนึ่งแถมหนึ่งล่ะ ?”
“ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ?” พิธีกรรู้สึกแปลกใจ
“ใช่แล้ว พวกเรามาหาคุณพ่อใหม่ ทำไมจะต้องพูดถึงชื่อพ่อคนเก่าล่ะ หรือว่าจะหาแม่คนใหม่ให้เราด้วยล่ะ ?” หยางหยางถาม
“นี่…….” ทันใดนั้นพิธีกรก็ไร้คำพูดออกมา ในเวลาเดียวกันก็ทำให้ทั้งห้องส่งหัวเราะออกมา และก็เสียงปรบมือ
แต่พิธีกรก็มากด้วยประสบการณ์ เขาก็ได้คิดคำพูดออกมาว่า “เพื่อนน้อย อย่าเข้าใจผิดไปเลย ที่ฉันถามชื่อของพ่อคุณ ก็เพราะว่ามองออกจากคำพูดที่คุณพูดไงล่ะ พวกคุณไม่ใช่ชอบคุณพ่อของพวกคุณ และคงไม่ดีกับแม่ของคุณด้วย พวกเราเป็นรายการบริหารประชาชน ไม่เพียงแต่ช่วยผู้ที่อ่อนแอกว่า ในเวลาเดียวกัน ก็ยังจะประณามคนที่ทำร้ายคนอ่อนแอ ทำให้พวกเขารู้จักมโนธรรมเสียบ้าง และยังได้รับการประณามจากสังคม”
ครั้งนี้ ทำให้หยางหยางขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้มีความคิดเห็นกับเป่หมิงโม่สักเท่าใด โดยเฉพาะการใช้ชีวิตของตัวเอง เขาไม่เคยทำให้ขาดหายไปเลย
พิธีกรได้เห็นหยางหยางมีความสงสัยอยู่ ก็เลยเอามือไปตบไหล่เบา ๆ แล้วพูดอย่างตั้งใจว่า “เพื่อนน้อย คุณกำลังคิดว่าหากฉากนี้เผยแพร่ออกไป คุณพ่อของพวกคุณจะทำให้คุณแม่และคุณมีชีวิตที่ไม่ดีใช่ไหม ? คุณอารับรองพวกคุณเอง พวกเรามีฐานสังคมที่ใหญ่ หากพวกเขาคิดจะทำร้ายแม่และพวกคุณแล้วล่ะก็ พวกเราจะให้เขามีชีวิตที่ไม่ดี”
หยางหยางยักคิ้วขึ้นมา หลังจากนั้นก็ก้มหัว ขาก็วาดเป็นรูปวงกลม “ความจริงแล้วฉันไม่ได้เป็นห่วงเรื่องการพูดชื่อหรอกนะ เขาจะทำให้พวกเราเป็นอย่างไร เพียงแต่……”
“เพียงแต่อะไร ? ในเมื่อเขาไม่ได้บังคับหรือทำร้ายข่มขู่พวกคุณ เพราะอะไรพูดออกมาไม่ได้ล่ะ ? อ๋ออออ ฉันเข้าใจแล้ว น่าจะเป็นความกตัญญูของพวกคุณที่มีต่อเขา เป็นสิ่งที่ยากมากเลยนะ ในเมื่อเด็กน้อยไม่กล้าที่จะพูดออกมา พวกเราก็จะไม่บังคับพวกเขาแล้ว” พิธีกรพูดเสร็จ ก็โค้งตัวลงมาพูดกับหยางหยางเบา ๆ ว่า “เพื่อนน้อย คุณจะบอกคุณอาด้วยเสียงเบา ๆ ได้ไหมว่าคุณพ่อของคุณคือใคร ? แต่คุณวางใจเถอะ พวกเขาจะไม่ได้ยินเสียงที่เราพูดด้วยกันนะ”
หยางหยางไม่ใช่เพราะใจที่กตัญญู แต่เขาคิดถึงจิ่วจิ่วที่อยู่บนเวที หากพูดชื่อของคุณพ่อออกไป หากน้องสาวยังมีความรู้สึกต่อคุณพ่อที่ไม่ดีอยู่ ก็คงจะเกิดเรื่องแน่นอน
ซึ่งไม่ใช่การขายหน้าต่อผู้คนหรอกหรือ และหลังจากคนน้องสาวก็คงจะเป็นเรื่องตลกสำหรับใครหลาย ๆ คน
หยางหยางที่อยู่ในเวลานี้ ก็เป็นครั้งแรกที่คิดคำนึงถึงจิ่วจิ่ว
แต่ ณ ตอนนี้ พิธีได้นำไมค์ออกไป หยางหยางก็คิดว่าจิ่วจิ่วน่าจะฟังไม่ชัดเจน
เขาก็ได้หันไปหาหูของพิธีกร หลังจากนั้นได้พูดเสียงเบา ๆ ว่า “พ่อของคุณชื่อเป่หมิงเย่โม่”
พอพูดออกมาสามคำ ก็เห็นใบหน้าของพิธีกรเปลี่ยนไป ใบหน้าก็กลายเป็นหินขึ้นมาทันที
ทั้งร่างกายก็โค้งง้ออยู่ไม่เปลี่ยน
หลังจากนั้นเขาจึงมีลมหายใจออกมา แล้วก็มองไปยังใบหน้าของเด็กคนนี้ สายตาของเขากลับเต็มไปด้วยสายตาที่กลัว
อาจจะเป็นเพราะว่าต่อให้ตีตายยังไงเขาก็ไม่เชื่อ ผู้กำกับหาเด็กสองคนมานี้ที่แท้แล้วล้วนมีเบื้องหลังที่ลึกซึ้งยิ่งนัก
……
ชื่อเสียงของเป่หมิงโม่ ไม่ใช่มีชื่อเสียงในด้านธุรกิจ แต่มีชื่อเสียงดังมากในเมือง A ราวกับเสียงสายฟ้า
ทำให้พิธีกรคิดไปถึงเลยจริง ๆ เด็กน้อยที่ยืนอยู่ต่อหน้าตัวเอง ที่แท้แล้วเป็นลูกของเป่หมิงโม่
สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงอีกก็คือ เด็กสองคนที่มาในวันนี้ มีจุดประสงค์ทำลายเป่หมิงโม่
แต่ต้องรู้ไว้ว่า มีคนมากมายแค่ไหนที่ใฝ่ฝันที่อยากจะสร้างสัมพันธ์กับเป่หมิงโม่ แม้กระทั่งการถือรองเท้าให้
“คุณอา คุณเป็นอะไรหรือ ? ” หยางหยางที่เห็นพิธีกรมีท่าทางไม่เหมือนกับเมื่อสักครู่นี้เลย เหมือนกับอะไรทำให้เขาตกใจ
พิธีกรยิ้มแข็ง ๆ ใส่ หยางหยาง “ไม่ ไม่มีอะไร พวกเราเริ่มอัดรายการเถอะ”
ขณะที่พูด เขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา
ยังดีที่มีพิธีกรที่มีประสบการณ์มากมาย ในระยะเวลาอันสั้นก็ได้จัดการกับอารมณ์ตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม หลังจากนั้นก็ยกมือโบกให้กับทุกคน “ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่รายการ 《วาสนารัก》ตอนนี้เราจะเริ่มรายการกันแล้ว……”
ตามด้วยเสียงเพลง ผู้กำกับก็ได้ให้หยางหยางและจิ่วจิ่วขึ้นแทนตำแหน่งของกู้ฮอน
ผู้ชมก็ไม่ได้รู้สึกถึงอะไรที่ผิดปกติ เสียงเพลงก็ทำให้บรรยากาศครึกครื้นมากยิ่งขึ้น
เดิมทีจะมีการอัดรายการประมาณชั่วโมงกว่า ๆ แต่หากดูตามพิธีกรคนนี้แล้ว เหมือนเวลาผ่านไปเป็นปีเลยทีเดียว
ระยะการทำงาน ผู้คนในห้องส่ง เหมือนกับถูกเด็กสองคนนี้ทำให้หัวเรา ทำให้บรรยายมีความครึกครื้นมากยิ่งขึ้น