บทที่ 889 อำลา
ส่วนหลี่เชินพอได้เห็นเด็กๆสามคนปรากฏตัวขึ้นมาก็แสดงออกว่าดีใจอย่างเห็นได้ชัด แต่หลังจากที่เห็นว่าในมือเล็กๆของพวกเขาประคองรูปถ่ายของลู่ลู่ก็มีท่าทางโศกเศร้าขึ้นมา
ห้องโถงเซ่นไหว้ลู่ลู่นั้นจัดเตรียมไว้เรียบร้อยนานแล้ว ภายใต้ช่อดอกเบญจมาศสีเหลืองและสีขาวนั้นมีลู่ลู่นอนอยู่ตรงกลางอย่างสงบ สีหน้าท่าทางยังคงดูอ่อนโยนมีเมตตาเหมือนกับตอนยังมีชีวิตอยู่
กู้ฮอนพาเด็กๆเข้ามายืนล้อมรอบร่างศพของลู่ลู่อยู่ด้านหนึ่งแล้วก็หยุดลง คนอื่นๆมองใบหน้าของเธอด้วยความเคารพแล้วก็ไปยืนอยู่ที่ด้านหลังกู้ฮอนและเด็กๆ
พิธีการอำลาของลู่ลู่นั้นจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้สูญเสียความเคร่งขรึมและสง่างามไป
หัวใจของกู้ฮอนนั้นหนักอึ้งอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ตลอดพิธีการ สมองของเธอคิดถึงท่าทางและน้ำเสียงขณะที่มารดายังมีชีวิตอยู่ซ้ำไปซ้ำมา ภาพเหล่านี้ค่อยๆปรากฏชัดเจนขึ้น
ขณะที่พิธีการอำลากำลังจะสิ้นสุดลงนั้น เสียงจอดรถดังบาดหูของรถยนต์คันหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้องโถงเซ่นไหว้ ถัดมาประตูรถก็ถูกเปิดออก มีคนคนหนึ่งก้าวลงมา
***
คนที่ลงมาจากรถคนนั้นค่อยๆเดินตากฝนที่ตกพรำๆเข้ามาในห้องโถงเซ่นไหว้
รูปร่างสูงสง่าเหยียดตรง แฝงไปด้วยบรรยากาศที่ไม่อาจสั่นคลอนที่มีมาแต่กำเนิด ชุดสูทสีดำที่สวมอยู่บนร่างของเขายิ่งเพิ่มความน่าเกรงขามให้มากขึ้นอีกหลายส่วน
ในมือถือดอกเบญจมาศสีขาวหนึ่งดอก
เขาเดินไปทางศพของลู่ลู่
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า กู้ฮอนและเด็กๆ รวมไปถึงคนอื่นๆที่อยู่ในสถานที่นั้นล้วนหันไปมองทางด้านหลัง
“เป่หมิงโม่……” หลี่เชินเห็นผู้มาเยือนได้อย่างชัดเจนแล้ว แต่นัยน์ตาของเขากลับมีเปลวเพลิงระเบิดออกมา
แน่นอนว่ายังมีถังเทียนจื๋อด้วยอีกคน
“ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ” สุดท้ายแล้ว เขาก็ยังยื่นมือไปขวางอยู่ที่ด้านหน้าเป่หมิงโม่
เพียงแต่การขัดขวางของเขาไม่มีผลใดๆสำหรับเป่หมิงโม่
เป่หมิงโม่เพียงแค่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ปัดแขนของเขาออกไปอีกด้านหนึ่ง
ถังเทียนจื๋อนั้นแอบตะลึงเงียบๆอยู่ในใจ การกระทำดูแล้วเหมือนจะไม่ออกแรงมากนักแต่ภายในกลับแฝงไปด้วยแรงโจมตีอันหนักหน่วง ทำให้เขาไม่สามารถขัดขวางต่อไปได้
“คุณพ่อมาได้อย่างไรกัน ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่ได้แจ้งเขานะ” หยางหยางที่ยืนอยู่ด้านหลังกู้ฮอนนั้นพึมพำเบาๆหนึ่งประโยค จากนั้นก็เหลือบตามองเฉิงเฉิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง “คงจะไม่ใช่นายที่เรียกคุณพ่อมาหรอกนะ”
เฉิงเฉิงนั้นไม่ได้ตอบกลับ แววตามองตามฝีเท้าเป่หมิงโม่ที่เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าศพของคุณยายตลอด
เขาโค้งกายลง วางดอกไม้ที่อยู่ในมือไว้รวมกับดอกอื่นๆ หลังจากนั้นก็โค้งกายสามครั้ง
เป่หมิงโม่ยืดตัวขึ้นอีกครั้ง มองไปที่ลู่ลู่พลางเอ่ยว่า “คุณป้า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเรียกคุณอย่างนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ผมรู้สึกเป็นทุกข์อย่างมากสำหรับการจากไปอย่างกะทันหันของคุณ……”
ในตอนนี้ก็มีเสียงหัวเราะเบาๆลอยมาจากด้านหลังของเขา “เหอะ เป็นทุกข์อย่างมากหรือ ผมว่าคุณคงดีใจที่สามารถกำจัดตัวถ่วงไปได้คนหนึ่งมากกว่า ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อแล้ว แม้จะตัดสินให้คุณพ้นผิดแล้ว แต่ผมก็ยังเชื่อว่าคุณเป็นคนทำให้ลู่ลู่ต้องตายอยู่ดี”
หวีหรูเจี๋ยที่ได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าลูกชายของตัวเองเป็นฆาตกรแล้วก็ไม่ยอม สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย หันหน้าไปเอ่ยกับเขาว่า “หลี่เชิน ฉันเคารพที่คุณเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดกู้ฮอน และเป็นผู้ชายที่ลู่ลู่รักมากที่สุด การจากไปของเธอสำหรับคุณแล้วคงสะเทือนใจไม่น้อย แต่ก็ไม่สามารถใช้เหตุผลนั้นมาชี้ว่าลูกชายของฉันเป็นฆาตกรได้นะ เมื่อวานคุณก็อยู่ในศาลด้วย สรุปแล้วเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ ฉันคิดว่าในใจก็คุณก็ไม่ใช่ว่าไม่ชัดเจนนะ”
“เหอะ นี่เรียกว่า ‘สละเบี้ยเพื่อปกป้องพระราชาเอาไว้’ ต่างหาก คิดว่าผมไม่เข้าใจหรือ ผมรู้เพียงแค่ว่าลู่ลู่เสียชีวิตเพราะทานอาหารที่เขาเอาไปให้ ไม่ว่าพวกคุณจะอำพรางกันอย่างไรก็ปิดความผิดของพวกคุณไม่ได้หรอก” หลี่เชินเอ่ยถึงตรงนี้แล้วก็ถลึงตาใส่หวีหรูเจี๋ยอย่างดุร้าย “ภัยพิบัติทั้งหมดนี้นั้นล้วนเกิดขึ้นเพราะคุณ ดังนั้น คุณก็อย่าคิดที่จะทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง”
คำพูดโหดเหี้ยมของหลี่เชินทำให้โม้จิ่งเฉิงและเป่หมิงโม่ระแวดระวังตัวขึ้นมาหลายส่วน
“คุณจะทำอะไร! อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่าการตายของคุณพ่อผม รวมไปถึงเรื่องราวบางอย่างหลังจากนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับคุณ ผมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคุณมากไปกว่านี้เพราะเห็นแก่ที่คุณเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดกู้ฮอน ถ้าหากว่าคุณกล้าแตะคุณแม่ของผมแล้วล่ะก็ ผมจะไม่ยอมให้คุณได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอย่างแน่นอน ตอนที่คิดบัญชีเก่าและบัญชีใหม่ก็อย่าโทษว่าผมเย็นชาไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน!”
คราวนี้เป่หมิงโม่ระเบิดโทสะแล้วจริงๆ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หลี่เชินก็แตะโดนเกล็ดย้อนของเขาเข้าแล้ว ถ้าหากว่าหลี่เชินกระทำการใดที่ไม่เป็นผลดีต่อหวีหรูเจี๋ยแล้วล่ะก็ อย่างนั้นเป่หมิงโม่ก็จะลงมืออย่างไร้ความปรานีจริงๆ
***
“พอได้แล้ว! ที่นี่เป็นห้องโถงเซ่นไหว้คุณแม่ของฉัน ไม่ใช่สถานที่ที่ให้พวกคุณมาทะเลาะกัน ถ้าหากว่าพวกคุณยังอยากจะทะเลาะกันอีกล่ะก็ อย่างนั้นฉันก็ขอเชิญให้พวกคุณออกไปทะเลาะกันข้างนอก อย่าให้คุณแม่ฉันที่ตายไปแล้วก็ไม่สงบ!”
กู้ฮอนนั้นอดไม่ได้ที่จะเกิดโทสะ มาจนถึงตอนนี้แล้วระหว่างพวกเขายังไม่ลืมที่จะทะเลาะกันเพราะเรื่องไร้สาระพวกนั้นอีก
เมื่อเธอระเบิดโทสะออกมาก็ทำให้หลี่เชินและเป่หมิงโม่หยุดลง
นี่ก็ทำให้พิธีการอำลาลู่ลู่สามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างราบรื่น
กู้ฮอนไม่ได้ประกอบพิธีฝังร่างของคุณแม่ไว้ในหลุมศพ แค่เลือกที่จะเผาแทน
“ถ้าหากว่าอาการป่วยของแม่ดีขึ้นแล้ว แม่จะต้องไปเที่ยวรอบโลกอย่างแน่นอน เพื่อชดเชยความเสียใจที่มีในชีวิตนี้ ถ้าหากว่าแม่ตาย อย่างนั้นก็โปรยกระดูกของแม่ที่ทะเลเสียเถอะ เพราะว่าพวกมันก็สามารถพาแม่ไปทั่วทุกแห่งบนโลกได้เช่นกัน”
นี่คือคำพูดที่คุณแม่เคยพูดกับเธอตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
ชั่วชีวิตนี้ของเธอหยุดอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่งนานมากเกินไป จนทำให้เสียเวลาไปมากมาย บวกกับในภายหลังที่ป่วยจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อไปช่วงหนึ่ง
*
ทะเล ให้กำเนิดชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน ที่แห่งนี้ได้รับการสรรเสริญจากชีวิตมากมาย พื้นผิวน้ำภายใต้ฝนตกพรำๆนั้นสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
ลมทะเลอ่อนโยนพัดผ่านใบหน้าของกู้ฮอน ให้ความรู้สึกสบายเหมือนกับที่มารดาเคยใช้มือลูบตัวเอง แต่ว่าในวันนี้ คุณแม่กลับกลายเป็นเถ้ากระดูกหนึ่งกำมือที่อยู่ภายในกล่องที่อยู่ในมือของตัวเอง
เรือลำสีขาวพาเธอและคุณแม่มุ่งหน้าออกไปสู่ส่วนลึกของทะเล
เรือลำนี้มีเป่หมิงโม่เป็นผู้ขับเคลื่อน นี่เป็นของขวัญที่คุณพ่อมอบให้เขาในอายุ 18 ตอนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ เรือลำนี้ถูกจอดทิ้งไว้ที่ท่าเรือส่วนตัวของตัวเองมาโดยตลอด
จนกระทั่งหลังจากที่คุณพ่อเสียชีวิตไปแล้ว เขาถึงได้คิดถึงเรือลำนี้ขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจครั้งหนึ่ง มันถูกจอดทิ้งเอาไว้อยู่ที่ท่าเรือนานมากเกินไปแล้วจริงๆ
เพียงแต่โชคดีที่มีคนรับผิดชอบดูแลซ่อมแซมตลอด ตัวเรือไปจนถึงอุปกรณ์ต่างๆนั้นแทบจะเหมือนกับของใหม่ทั้งหมด
ครั้งนี้ เขาตัดสินใจใช้เรือลำนี้ส่งลู่ลู่ในช่วงเวลาสุดท้าย นี่ก็รวมถึงความรู้สึกพิเศษหนึ่งด้วย
บนเรือนอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีเด็กๆ โม้จิ่งเฉิงและหวีหรูเจี๋ย แน่นอนว่ายังมีหลี่เชินและถังเทียนจื๋อด้วย
แม้ว่าระหว่างพวกเขาและเป่หมิงโม่ทั้งสองฝ่ายยังมีความสัมพันธ์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แต่เพื่อที่จะอำลา พวกเขาก็ยังคงขึ้นเรือมาด้วย เพียงแต่ว่ายังคงรักษาระยะห่างระหว่างพวกเขากับคนอื่นๆ
สีอ่อนของน้ำทะเลค่อยๆเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น คลื่นน้ำก็ไม่สงบอีกแล้ว ตัวคลื่นขึ้นๆลงๆกระทบเข้ากับตัวเรือไม่ขาดสาย เรือลำเล็กก็ดูเหมือนกับใบไม้ใบหนึ่งที่กระเพื่อมไม่หยุดท่ามกลางกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก
มือของเป่หมิงโม่นั้นจับหางเสือของเรือแน่น
“ฮอน เธอเข้ามาเถอะ ลมทะเลด้านนอกแรงแล้ว ระวังจะเป็นหวัดได้” หวีหรูเจี๋ยเอ่ยกับกู้ฮอนที่ยืนอยู่ตรงรั้วบริเวณท้ายเรือ
แต่เธอกลับไม่มีท่าทางขยับเขยื้อนใดๆ ตอนนี้เธอเหม่อมองไปที่ผืนน้ำทะเล ภายในสมองปรากฏภาพที่เกี่ยวข้องคุณแม่
แน่นอนว่ายังคิดถึงภาพที่ได้พบเจอกับคุณแม่เป็นครั้งแรก ทั้งยังมีบ้านเก่าทรุดโทรมจนดูไม่ได้หลังนั้น สถานที่ที่ตัวเองถือกำเนิด
เรื่องราวในอดีตที่ถาโถมเข้ามาในหัวใจนั้นทำให้หยาดน้ำตาของเธอรินไหลเป็นสายอาบแก้มไม่หยุด ร่วงหล่นกระทบลงกับกล่องบรรจุอัฐิที่อยู่ในมือจนกระเซ็นขึ้นมาเป็นประกายหยาดน้ำตา
หลังจากเรือถูกขับเคลื่อนให้ลอยอยู่บนผืนน้ำสองชั่วโมงกว่า ก็มองไม่เห็นชายฝั่งอีกแล้ว รอบด้านมีแต่น้ำทะเลที่ไกลสุดลูกหูลูกตา พวกมันบรรจบกับท้องฟ้า เหมือนกับว่าเพียงแค่มุ่งหน้าไปถึงจุดสิ้นสุด พวกเขาก็จะสามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้าสีครามได้
ตอนนี้เองที่เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นของมอเตอร์ดับลง ถัดมาก็มีการทอดสมอจากบนเรือลงไปในน้ำ
***
“ตึงๆๆ…..” เป่หมิงโม่เดินลงมาจากแท่นบังคับทิศทางบริเวณหัวเรือ
เขาหมุนกายเดินเข้าไปในห้องโดยสาร หยิบผ้าคลุมผืนหนึ่งแล้วก็เดินไปที่ท้ายเรืออีกครั้ง แล้วค่อยๆคลุมมันลงบนร่างของกู้ฮอน ทั้งยังเอ่ยเสียงเบาว่า “กู้ฮอน พวกเราถึงจุดหมายแล้ว”
ในเวลาเดียวกัน คนอื่นๆที่อยู่ในห้องโดยสารล้วนเดินออกมา
เรือลำเล็กยังคงโคลงเคลงไปมา โม้จิ่งเฉิงและหวีหรูเจี๋ยดูแลเด็กๆทั้งสามคน
“หม่ามี๊……คุณยายจะเดินทางท่องเที่ยวแล้วหรือคะ” เสียงอ่อนเยาว์ของจิ่วจิ่วดังขึ้นที่ข้างหูของทุกคน
เธอยังเด็ก ยังไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดว่าการเสียชีวิตนั้นมีความหมายว่าอย่างไร จำได้เพียงแค่สิ่งที่คุณแม่เคยพูดกับตัวเองว่า นี่คือการเดินทางครั้งสุดท้ายที่ไกลที่สุดในชีวิตของคนคนหนึ่ง
กู้ฮอนไม่ได้ตอบอะไร แต่เป็นเป่หมิงโม่ที่ย่อกายลงมา “ใช่แล้ว คุณยายจะเดินทางไกลแล้ว พวกเรามาส่งคุณยายที่นี่”
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพ่อลูกได้พบกันอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะนุ่มนวล แต่โทสะในห้องโถงเซ่นไหว้เมื่อครู่ของเขานั้นทำให้จิ่วจิ่วตกใจไม่น้อย
อีกทั้ง คุณแม่ยังหยิบรูปถ่ายของผู้ชายคนนี้แล้วบอกว่า เขาเป็นปีศาจแห่งสุขา มาโดยตลอด ความคิดแบบนี้เกือบจะฝังรากลึกอยู่ในสมองเล็กๆของเธอแล้ว
แม้ว่าในภายหลังเฉิงเฉิงและหยางหยางจะพยายามให้เธอลืมสิ่งเหล่านี้ไปอย่างสุดความสามารถ แม้ว่าจะมีผลลัพธ์ที่ก้าวหน้าไปเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สามารถขุดรากถอนโคนออกไปได้
เมื่อเห็นบิดาย่อตัวลงมาพูดกับตัวเองนั้นจิ่วจิ่วก็ยังคงยากที่จะยอมรับได้เสียทีเดียว อีกทั้งยังมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรู้สึกไม่สบายท้องตามมาด้วยในทันที
เพียงแต่ในครั้งนี้เธอไม่รีบร้อนอยากเข้าห้องน้ำ แต่หลังจากมีอาการคลื่นไส้อยู่พักหนึ่ง “อุ๊บ…..”
จิ่วจิ่วนั้นเมาเรือเล็กน้อย หลังจากนั่งเรือไปสองชั่วโมงกว่าก็มีอาการเมาเรือแล้ว
ส่วนผลสุดท้ายที่พ่อ ได้รับจากเธอก็คือถูกลูกสาวตัวน้อยอาเจียนรดร่างกาย
ถัดมาจิ่วจิ่วก็หลบไปอยู่ด้านหลังโม้จิ่งเฉิงอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย เธอมีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมากเกินไปแล้ว เธอไม่อยากถูกเขากินไปทั้งแบบนี้ แล้วก็กลายเป็นอุนจิ
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว ก็ยังคงเป็นเฉิงเฉิงที่การกระทำรวดเร็ว เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาจากกระเป๋าแล้วรีบยื่นไปที่ด้านหน้าของคุณพ่อ “คุณพ่อ น้องสาวไม่ได้ตั้งใจ เธอ เธอเพียงแค่มีอาการเมาเรือเล็กน้อย……”
เป่หมิงโม่รับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดสิ่งสกปรกที่อยู่บนร่างกายและใบหน้าออกอย่างลวกๆ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย “ไม่เป็นไร ลูกรู้ไหมว่าครั้งแรกที่พ่อนั่งเรือ ก็อ้วกใส่คุณปู่ของลูกเหมือนกับเธอนี่แหละ”
“ว้าว คุณพ่อก็เคยทำเรื่องแบบนี้ด้วย คุณพ่อก็ถ่อมตัวเกินไปแล้ว คุณพ่อดูพวกเราสิล้วนไม่มีอาการเมา……เรือ……” เมื่อเอ่ยพูดออกมา หยางหยางก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป น้ำเสียงของเขาต่ำลงเรื่อยๆ จากนั้นก็มองไปที่บิดาของตัวเองอย่างระมัดระวัง ถ้าหากว่าพูดจนคุณพ่อบันดาลโทสะขึ้นมา บนเรือเล็กๆลำนี้ก็ไม่มีใดให้หลบซ่อน นอกจากกระโดดลงจากเรือ เพียงแต่แบบนั้นก็จะเป็นการให้อาหารปลากุ้ง…….