บทที่ 888 6 โมงเช้าวันพรุ่งนี้
กู้ฮอนโบกมือไปมาให้กับเฉิงเฉิง “ลูกรัก มีหลายครั้ง สิ่งที่ลูกเห็นก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอกของเรื่องราวหรือสิ่งของ แต่กลับมองไม่เห็นถึงเนื้อแท้ของมัน สิ่งเหล่านี้รอจนลูกเติบโตขึ้นแล้ว หลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆมาก็จะค่อยๆเข้าใจได้เอง จำเอาไว้ว่า หลังจากนี้ไม่ว่าจะตอนไหนก็อย่าถูกเปลือกนอกของสิ่งเหล่านี้ทำให้มึนงงสับสน เอาเถอะ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว หยางหยางก็ขึ้นไปนอนแล้ว ลูกก็รีบไปนอนเถอะ”
“คุณแม่……” เฉิงเฉิงยังอยากจะพูดอะไร แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สามารถพูดมันออกมาได้ ตอนนี้ทำได้เพียงแค่เดินคอตกไปยังหน้าลิฟต์โดยสาร
เมื่อเอนตัวลงนอนบนเตียง หันศีรษะมองผ่านบานหน้าต่างออกไปก็สามารถเห็นแสงไฟสว่างไสวในบ้านพักที่อยู่บนปานซานหลังนั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณพ่อจะทำอะไรอยู่
เมื่อครู่นี้เฉิงเฉิงอยากจะพูดกับคุณแม่มากว่า ที่จริงแล้วสิ่งที่คุณแม่มองเห็นก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอกของคุณพ่อ กลับไม่เคยเข้าใจจิตใจของเขาเลย ความรู้สึกในจิตใจของคุณพ่อนั้นตรงข้ามกับเปลือกนอกของเขาโดยสิ้นเชิง
ในตอนนี้ก็มีเสียงกรนของหยางหยางลอยมาอย่างแผ่วเบา เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเงียบๆ จากนั้นร่างเล็กๆก็ซุกเข้าไปในผืนผ้าห่ม ค้นหาเบอร์โทรศัพท์จากสมุดโทรศัพท์
“ฮัลโหล” เสียงของเป่หมิงโม่ลอยออกมาจากโทรศัพท์
“คุณพ่อ ผมเห็นว่าด้านบนยังเปิดไฟสว่างอยู่ คุณพ่ออยู่ด้านในหรือครับ”
ในตอนนั้นเป่หมิงโม่กำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขก โทรทัศน์กำลังแสดงภาพของจิ่วจิ่วที่ก็อปปี้มาจากฉิงฮัว
***
“อืม หลังจากพ่อจากมา คุณแม่ของลูกเธอ……ตอนนี้น่าจะดีขึ้นเล็กน้อยแล้วสินะ” เขาเอ่ยแล้วแววตาก็เบนไปยังภาพกู้ฮอนที่อยู่บนหน้าจอ ทั้งยังขยายหน้าจอให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อยด้วย
“ดูท่ารูปภาพและตัวจริงจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างเล็กน้อย” เป่หมิงโม่อดไม่ได้ที่จะพึมพำเสียงเบา ราวกับว่ากำลังเอ่ยพูดกับภาพบนหน้าจอ แต่ก็เหมือนพูดอยู่กับตัวเอง
“คุณพ่อ คุณพ่อพูดว่าอะไรนะครับ” เฉิงเฉิงแอบอยู่ในผืนผ้าห่ม จึงได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้ไม่ชัดมากนัก เขาจึงเอ่ยถามซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
“อ่อ ไม่มีอะไร รอบด้านลูกเงียบมาก คงไม่ได้แอบอยู่ในผ้าห่มแล้วโทรศัพท์มาหรอกนะ”
เฉิงเฉิงพยักหน้า เขาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจหรือตะลึงต่อความเฉียบแหลมในการมองทะลุปรุโปร่งของคุณพ่อเลยแม้แต่น้อย “หยางหยางหลับไปแล้ว ผมกลัวว่าจะรบกวนให้เขาตื่น ดังนั้น……”
“ลูกมีอะไรอยากจะพูดกับพ่อหรือ”
การอยู่ร่วมกันมาหลายปีระหว่างพวกเขาพ่อลูก อย่างน้อยก็สามารถมีช่วงเวลาที่จะพูดคุยสัพเพเหระกันได้ ส่วนมากแล้วมีเรื่องแล้วถึงได้สนทนากัน และก็เพราะเช่นนี้ ในทุกๆวันที่เฉิงเฉิงอยู่ข้างกายคุณพ่อนั้นก็เต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆมากมาย
“คุณพ่อ พรุ่งนี้คุณพ่อมีเวลาว่างไหมครับ พรุ่งนี้คุณแม่จะพาพวกผมไปส่งศพคุณยาย น้องสาวก็จะไปด้วย ถ้าหากเป็นไปได้ล่ะก็ พรุ่งนี้…….”
“อืม พ่อจะดูสถานการณ์ก่อนแล้วกัน” เป่หมิงโม่เหลือบตามองเวลา “ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ ถ้าหากไม่มีแล้วก็รีบพักผ่อนเสียเถอะ”
เฉิงเฉิงพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาประโยคหนึ่ง “ราตรีสวัสดิ์ครับคุณพ่อ ใช่แล้ว พรุ่งนี้ตอนเช้าหกโมง อย่าสายนะครับ” เขาเอ่ยจบก็ตัดสายโทรศัพท์ไป
เพื่อที่จะไปส่งศพคุณยายในวันพรุ่งนี้…….
ข้อศอกทั้งสองข้างของเป่หมิงโม่วางอยู่บนหน้าตัก มือทั้งสองข้างลูบใบหน้าไม่หยุด
ผ่านไปชั่วครู่ก็ลุกขึ้นยืน ค่อยๆก้าวเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้เย็น เปิดประตูหยิบเบียร์ออกมาหนึ่งขวดแล้วก็เดินกลับไปนั่งที่หน้าโทรทัศน์ใหม่ พลางเงยหน้าดื่มเบียร์ลงไปทั้งขวดโดยไม่หยุดพักหายใจ จากนั้นร่างกายก็ล้มลงไปด้านข้าง ทั้งร่างนอนแผ่อยู่บนโซฟา
เขาหยิบโทรศัพท์มือของตัวเองออกมาอีกครั้ง เลือกโทรศัพท์ไปหามารดาของตัวเอง
“โม่ ลูกสบายดีใช่ไหม” เสียงของมารดาลอยออกมาจากในโทรศัพท์ นี่ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่หายไปนานขึ้นมาชั่วขณะ
ปกติแล้ว ช่วงเวลานี้หวีหรูเจี๋ยควรจะไปพักผ่อนนานแล้ว จุดนี่เป่หมิงโม่รู้ชัดเป็นอย่างมาก แต่เขารู้สึกว่ามีความจำเป็นจะต้องโทรศัพท์หาเธอ
“พรุ่งนี้กู้ฮอนจะพาเด็กๆไปส่งคุณแม่ของเธอเป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้หกโมงเช้าออกเดินทางจากบ้านพักครับ”
“โม่ ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหน พรุ่งนี้ลูกจะไปไหม” หวีหรูเจี๋ยรีบเอ่ยถาม”
“ดูสถานการณ์ก่อนครับ” เป่หมิงโม่เอ่ยจบก็วางสายโทรศัพท์ไป
“โม่โม่……” หวีหรูเจี๋ยเอ่ยเรียกชื่อลูกชายทางโทรศัพท์ แต่สิ่งที่ตอบกลับเธอมามีเพียงแค่สายไม่ว่าง
เสียงของเป่หมิงโม่ที่ได้ยินจากทางโทรศัพท์นั้นมีท่าทางหมดอาลัยตายอยากอย่างเห็นได้ชัด น่าจะพบกับปัญหาอะไรเข้า
แต่สำหรับเขาแล้วยังมีปัญหาที่ยากเกินความสามารถของเขาอีกหรือ
หลังออกจากศาลมาแล้ว หวีหรูเจี๋ยก็อยากจะหาโอกาสพูดคุยกับลูกชายตัวเอง แต่จนปัญญาที่เขาไม่เปิดโอกาสใดๆให้ตัวเอง
ตอนนี้ก็ดันมาได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ของลูกชายจากในโทรศัพท์อีก จึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงขึ้นมา
“หรูเจี๋ย ถ้าหากว่าคุณไม่วางใจแล้วล่ะก็ ก็โทรศัพท์ไปถามดูสิ” โม้จิ่งเฉิงจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอในตอนนี้ได้อย่างไรกัน
เมื่อหวีหรูเจี๋ยโทรศัพท์กลับไปอีกครั้งก็ได้ยินว่าอีกฝ่ายปิดโทรศัพท์ไปแล้ว
***
โม้จิ่งเฉิงตบไหล่ของหวีหรูเจี๋ยเบาๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้น ช่วงนี้โม่เขาก็แค่พบเจอกับเรื่องเล็กน้อยแล้วรู้สึกว่าไม่ได้ดั่งใจเท่านั้นเอง รอผ่านช่วงระยะเวลาตอนนี้ไปแล้ว ผมคิดว่าเขาจะต้องถอยกลับไปตั้งหลักใหม่อย่างแน่นอน ผมมองออกว่าเขาไม่ใช่คนประเภทที่จะล้มลงอย่างไม่มีวันลุกขึ้นมาได้อีกเพราะเรื่องๆหนึ่ง ใช่แล้ว เมื่อครู่นี้เขาพูดอะไรกับคุณในโทรศัพท์หรือ”
หวีหรูเจี๋ยพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “โม่โทรศัพท์มาบอกว่า……”
ยังไม่รอให้เธอเอ่ยต่อก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นมา
เพียงแต่ว่าเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์นี้ไม่ใช่ของหวีหรูเจี๋ย แต่เป็นโม้จิ่งเฉิง
“เป็นกู้ฮอน พูดได้ว่าโม่เด็กคนนี้กับกู้ฮอนนั้นถือว่าเป็นคู่กันจริงๆ คุณดูสิ กระทั่งโทรศัพท์พวกเขาก็โทรมาก่อนหลังกันครู่เดียว” มุมปากของโม้จิ่งเฉิงมีรอยยิ้มบางๆ
“ฮัลโหล ลูก ดึกขนาดนี้แล้วโทรหาพ่อบุญธรรมมีเรื่องอะไรหรือ” เขากำลังอยากจะพูดว่าเมื่อครู่เป่หมิงโม่ก็โทรศัพท์มาแล้ว แต่เมื่อเห็นหวีหรูเจี๋ยที่โบกมือให้เขาไม่หยุดก็เข้าใจว่าหมายถึงอะไร คำพูดที่มาถึงริมฝีปากก็ถูกกลืนกลับลงไปทั้งอย่างนั้น
เพียงแต่ว่ากู้ฮอนไม่ได้รู้สึกถึงอะไร เธอเอ่ยต่อว่า “พ่อบุญธรรม เมื่อครู่นี้หนูก็โทรศัพท์หาคุณป้าหวีหรูเจี๋ย แต่ได้ยินว่าสายไม่ว่าง ดังนั้นจึงโทรศัพท์มาหาพ่อบุญธรรมแทน”
“อ่อ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง เธอก็แค่อยากจะโทรศัพท์หาโม่เท่านั้นเอง” โม้จิ่งเฉิงเพิ่งจะพูดถึงตรงนี้ก็เห็นว่าหวีหรูเจี๋ยขยิบตาใส่เขาไม่หยุด น่าจะเป็นเรื่องที่เขาไม่ควรพูดแบบนี้
แต่เมื่อคำพูดพูดออกไปแล้วก็ไม่สามารถดึงกลับคืนมาได้อีก
“อ่อ” กู้ฮอนรับคำเสียงเบาหนึ่งประโยค แต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อ
แต่ว่าโม้จิ่งเฉิงกลับพูดต่อไปโดยไม่สนอะไรว่า “เพียงแค่โทรศัพท์ของเขานั้นอยู่ในสถานะปิดเครื่องตลอดเวลา ลูกก็รู้ว่านับจากโม่ออกมาจากศาลแล้ว คุณป้าหวีหรูเจี๋ยของลูกก็เป็นห่วงเขามาตลอด ฮอน ถ้าลูกรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนแล้วล่ะก็ รบกวนลูกบอกกับเขาทีว่า คุณแม่ของเขาเป็นห่วงมาก ถ้าหากว่าได้ล่ะให้โทรศัพท์หาสักครั้ง”
กู้ฮอนไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เป่หมิงโม่เพิ่งมาเมื่อครู่นี้ เธอรับคำเสียงเบา “ได้ค่ะพ่อบุญธรรม ถ้าหากว่าหนูพบกับเขาล่ะก็ จะบอกให้เขาโทรศัพท์หาคุณป้าหวีหรูเจี๋ยนะคะ”
เมื่อได้ยินคำตอบของกู้ฮอน โม้จิ่งเฉิงก็ทำมือเป็นสัญลักษณ์ OK พร้อมกับยิ้มให้หวีหรูเจี๋ย จากนั้นก็เปลี่ยนไปพูดอย่างจริงจังว่า “ใช่แล้วฮอน ลูกโทรศัพท์มามีเรื่องอะไรหรือไม่”
“พรุ่งนี้หนูจะพาเด็กๆไปฝังศพคุณแม่ พวกคุณเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของคุณแม่ในชั่วชีวิตนี้ ดังนั้นหนูอยากจะเชิญพวกคุณไปส่งเธอเป็นครั้งสุดท้ายด้วยค่ะ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้พวกคุณจะมีเวลาว่างหรือไม่”
“ว่างสิ ว่างสิ พวกเราสามารถได้รู้จักกับคุณแม่ของลูกในชีวิตนี้ครั้งหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นพรหมลิขิตของทั้งสองฝ่าย ในฐานะเพื่อน พวกเราจะไปส่งเธอเป็นครั้งสุดท้าย พ่อคิดว่า เธอเห็นพวกเราไปส่งเธอบนสรวงสวรรค์แล้วจะสามารถไปสู่สุคติได้ ใช่แล้ว พรุ่งนี้กี่โมงหรือ”
“หนูวางแผนจะพาเด็กๆออกเดินทางประมาณหกโมงค่ะ” กู้ฮอนพูด
โม้จิ่งเฉิงพยักหน้า “ได้ พวกเราจะออกเดินทางตามเวลา”
เมื่อวางสายโทรศัพท์ โม้จิ่งเฉิงกับหวีหรูเจี๋ยล้วนมีสีหน้าจริงจัง ทั้งคู่นั่งอยู่บนโซฟา ชีวิตคนเราล้วนต้องผ่านทุกข์สุขการพบปะและจากลา
แม้ว่าจะพบเจอมานับไม่ถ้วนแล้ว และก็เคยคิดว่าถ้าหากเปลี่ยนเป็นตัวเองจะเผชิญหน้าอย่างไร แต่ว่าความคิดก็เป็นเพียงแค่ความคิด รอจนความจริงปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว หัวใจที่มีการเตรียมตัวรับมือแต่เนิ่นๆนั้นก็ยังถูกกระทบอยู่ดี
อีกทั้งยังเจ็บปวดกว่าที่จินตนาการเอาไว้ด้วย สามารถพูดได้เลยว่าหัวใจเจ็บปวดรวดร้าวอย่างที่สุด
***
รุ่งเช้า เมื่อดวงอาทิตย์ที่เพิ่งจะโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าส่องแสงสว่างบาดตา ท้องฟ้าในเมือง A ก็เริ่มมีสายฝนโปรยปรายลงมา
เป็นเวลากว่า 60 วันที่ในที่สุดเมือง A ก็ได้ต้อนรับสายฝน
ฝนที่ตกพรำๆค่อยๆนำพาความร้อนที่แผดเผาที่สะสมมาหลายวันให้หายไป ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นล้วนจิตใจเบิกบานอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน
แต่สำหรับกู้ฮอน โม้จิ่งเฉิง และหวีหรูเจี๋ยนั้น พวกเขากลับมีความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง
พวกเขาทั้งหมดหกคน นั่งรถเก๋งสองคัน บนศีรษะมีดอกไม้สีขาว เคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด
กู้ฮอนขับรถพาเด็กๆไปตามเส้นทางเบื้องหน้า เฉิงเฉิงและหยางหยางนั้นอยู่ที่ด้านหลังริมประตู จิ่วจิ่วนั่งอยู่ตรงกลาง พวกเขาล้วนช่วยกันถือรูปภาพของลู่ลู่
ในภาพขาวดำนั้นเธอมีรอยยิ้มอ่อนโยนมีเมตตาบางๆประดับอยู่
ด้านหลังพวกเขามีรถของโม้จิ่งเฉิงและหวีหรูเจี๋ยขับตามมาติดๆ
หน้าบ้านพัก แอนนิ ฉิงฮัว และยังมีลั่วเฉียวที่อุ้มทารกน้อยที่เพิ่งถือกำเนิดได้ไม่นานเอาไว้
“ฮอน ขอโทษด้วยจริงๆที่พวกเราไม่สามารถไปกับพวกเธอได้ รอเด็กโตกว่านี้อีกหน่อย พวกเราจะต้องให้ดอกไม้ช่อหนึ่งกับคุณป้าอย่างแน่นอน แม้ว่าฉันจะรู้จักกับเธอเป็นเวลาไม่นาน แต่ภายในระยะเวลาสั้นๆนี้ ก็นับถือเธอเป็นคุณแม่ของตัวเองแล้ว
กู้ฮอนยื่นหน้าออกมาจากกระจกรถ “ขอบคุณพวกเธอนะ มีเพื่อนๆอย่างพวกเธอ คุณแม่ของฉันก็ดีใจเพื่อฉันแล้ว”
เธอโบกมือให้พวกเขาในทันที จากนั้นรถก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป
“ทำไมโม่ยังไม่มาอีก” หวีหรูเจี๋ยที่นั่งอยู่ในรถก็วิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เช้าวันนี้ เธออยากจะโทรศัพท์ไปเร่งเขา เพียงแต่ว่าโทรศัพท์ฝั่งนั้นยังคงมีข้อความว่าฝ่ายตรงข้ามปิดเครื่อง
“หรูเจี๋ย ไม่ต้องเป็นห่วง ในใจของโม่รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว” โม้จิ่งเฉิงขับรถไปพลาง เอ่ยปลอบใจไปพลาง
คนที่รู้สึกวิตกกังวลเหมือนกับหวีหรูเจี๋ยก็คือเฉิงเฉิงที่อยู่ในรถคันแรก ตลอดทาง เขาหันไปมองนอกหน้าต่างไม่หยุด หวังว่าในสถานที่แห่งหนึ่ง คุณพ่อจะขับรถเข้ามารวมกลุ่มกับพวกเขา
แต่ว่าสุดท้ายแล้วเมื่อไปถึงฌาปนสถานก็ยังคงไม่เห็นเงาร่างของคุณพ่อ
คนที่รอคอยนั้นไม่มา แต่คนที่ไม่คาดหวังว่าจะเห็นกลับรอคอยด้วยความเคารพอยู่ที่นี่นานแล้ว
เมื่อรถของพวกกู้ฮอนปรากฏขึ้นที่ฌาปนสถานก็เห็นคนสองคน หนึ่งแก่หนึ่งวัยรุ่นยืนอยู่ที่หน้าประตู
นั่นก็คือหลี่เชินและถังเทียนจื๋อ
กู้ฮอนเห็นพวกเขาทั้งสองคนแล้วคิ้วก็อดไม่ได้ที่จะขมวดเป็นปม
เพียงแต่ จะพูดอย่างไร คุณแม่ก็ยังมีใจให้กับหลี่เชิน ยิ่งไปกว่านั้นในภายหลังก็ถือว่าได้มีความทรงจำที่สวยงามร่วมกันช่วงหนึ่ง
ส่วนโม้จิ่งเฉิงและหวีหรูเจี๋ยนั้น พวกเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากมายเมื่อเห็นการมาถึงของหลี่เชิน เพียงแต่จับมือกันเป็นมารยาทเหมือนกับเพื่อนเก่าได้กลับมาพบกันเท่านั้นเอง