บทที่ 908 การแย่งชิงตำแหน่งประธาน
แต่กู้ฮอนกลับไม่สนใจชายคนนี้เลย เห็นท่าทีที่ฉิงฮัวเอาใจและเคารพชายอ้วนท้อมคนนี้ ก็ยิ่งอารมณ์ขึ้น
“ ฉันไม่สนว่าคุณเป็นใครหรอกนะ ทำงานก็ต้องเคารพกฏ ผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาก็ต้องแยกแยะให้ชัดเจน ตอนนี้ ฉันนั่งอยู่ตำแหน่งนี้ ก็คือผู้บังคับบัญชาของคุณ คุณดูคุณนั่งไม่เป็นท่านั่ง ยืนไม่เป็นท่ายืน ถึงเมื่อก่อนคุณจะเคยเป็นคนสนิทของท่านปู่เป่หมิง แต่คุณทำแบบนี้ก็ไม่ถูก แก่จนปูนี้แล้ว เหตุผลแค่นี้ยังไม่เข้าใจอีกเหรอคะ หรือว่าคุณคิดว่ามีความดีความชอบแล้วอยู่เหนือกว่าเจ้านายงั้นเหรอคะ ! ”
ไอ้หมอนี่ที่ฉิงฮัวเรียกว่าลุงฉางชิ่ง ถูกกู้ฮอนพูดจนริมฝีปากสั่นไม่หยุด เขายื่นมือที่สั่นคลอนชี้หน้าของกู้ฮอน :“ ได้ๆ นั้นเธอก็คอยดูแล้วกัน ! ” พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นแล้วโกรธเดินออกไปจากห้องประชุม
“ ลุงฉางชิ่ง ลุงฉางชิ่ง …… ” ฉิงฮัวก็เร่งรีบลุกตามออกไปจากห้องประชุม
เขาวิ่งเร็วตามไปหลายก้าวแล้วขวางอยู่ตรงหน้าของติงฉางชิ่ง : “ ลุงฉางชิ่ง ท่านสงบสติอารมณ์ก่อนครับ ท่านเองอายุก็มากแล้ว ยังจะถือสากับพวกคนหนุ่มสาวอย่างเราไปทำไมกันครับ ผมต้องขอโทษแทนคุณหนูกับท่านตรงนี้ด้วยครับ ”
ติงฉางชิ่งสะบัดมือออก : “ หึ ไม่ต้องมาไม้นี้เลย เมื่อกี้ที่เธอพูดในห้องประชุมนายก็ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอ ได้ ฉันจะไปจากที่นี่เอง เดี๋ยวจะถูกหาว่าใช้อำนาจความดีความชอบอยู่เหนือกว่าเจ้านายอีก ”
พูดจบ เขาก็ปัดฉิงฮัวออก หลังจากนั้นก็โกรธเดินจากไป
***
ฉิงฮัวกลับมาที่ห้องประชุมอีกครั้ง นั่งอยู่ข้างๆของกู้ฮอนแล้วเสียงเบาพูดกับเธอ : “ คุณหนูครับ คุณหนูไปผิดใจกับท่านได้ยังไง ท่านเป็นคนของคุณท่าน ขนาดเจ้านายเองยังต้องไว้หน้าท่านเลยครับ รอเลิกประชุมแล้ว ผมว่าคุณหนูควรไปยกน้ำชาแล้วขอโทษท่านหน่อยนะครับ ”
เห็นชัดว่ากู้ฮอนไม่ได้คิดแบบนั้น :“ ทำไมฉันต้องไปขอโทษเขาด้วย เขาทำผิดก่อน และฉันก็มีอำนาจทำแบบนี้ด้วย อีกอย่าง ฉันอยากจะบอกกับนาย ในเมื่อเป่หมิงโม่ให้ฉันมารับตำแหน่งประธานนี้แล้ว ฉันก็จะทำตามในแบบของฉัน และนายก็ไปบอกเขาด้วย ถ้าหากเขาไม่ชอบก็ให้เขามารับหน้าที่นี่เอง ”
ฉิงฮัวได้ยินแล้ว คราวนี้จะเอายังไงดี ต่างก็ว่า : ผู้ที่เลื่อนขึ้นยศตำแหน่งใหม่ก็อยากสร้างผลงานยิ่งใหญ่ออกมา ไม่นึกเลยว่าเรื่องแรกจะตกมาอยู่ที่ติงฉางชิ่งคนเก่าแก่ของบริษัทเป่หมิงได้
ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ดูท่าแล้ว ตำแหน่งประธานของคุณหนูหลังจากนี้ คงต้องเจออุปสรรคมากมายซะแล้ว
การประชุมได้ดำเนินการต่อ
หลังจากติงฉางชิ่งถูกกู้ฮอนพูดไม่ไว้หน้าโกรธจนเดินออกไป หัวหน้างานระดับบนของบริษัทแต่ละแผนก อย่างน้อยก็รู้จักอีกด้านของเธอ ว่าผู้หญิงคนนี้มองแล้วไม่ได้อ่อนแอเหมือนหน้าตาภายนอกของเธอ ถ้าเธอโกรธขึ้นมา เธอก็สามารถโหดเหี้ยมไม่นับญาติกับใครได้เหมือนกัน
นี่มันเดายากกว่าเป่หมิงโม่ที่ปกติหน้าตาเย็นชาตลอดอีก เพราะเหตุนี้ หลายคนที่คิดจะหาเรื่องของเธอในตอนแรก ได้ตัดความคิดนี้ทิ้งลงบ้างไม่มากก็น้อย
เป่หมิงโม่ช่างเป็นคนเก่งกาจจริงๆ แม้แต่ผู้หญิงข้างกายก็ยังไม่เบา คนอื่นไม่กล้าแตะ ไม่กล้าขาดใจ
แน่นอน เมื่อเทียบกับคนที่เริ่มรู้สึกกลัวกู้ฮอนหน่อยๆแล้ว แต่คนอีกกลุ่มกลับรอดูเธอหน้าแตก แน่นอนว่าคนแรกก็ต้องเป็นเป่หมิงยี่เฟิง
อันที่จริง เขาก็ไม่ได้จะรอดูเธอหน้าแตกหรอก แค่รู้สึกว่าเขาสามารถถือโอกาสนี้ บังคับเธอลงจากตำแหน่งอย่างมีเหตุผลได้ เป็นโอกาสที่ดึงพรรคพวกมาอยู่ด้วย
ก่อนหน้านี้ เขาก็เคยคิดเอาติงฉางชิ่งมาอยู่ฝ่ายของตัวเอง แต่ติงฉางชิ่งภักดีกับปู่มาตลอด และตำแหน่งประธานของเป่หมิงโม่ คุณปูก็เป็นคนสืบทอดด้วยตัวเอง
เพราะฉะนั้น ถึงตัวเองจะเป็นลูกหลานคนโตของตระกูลเป่หมิง ก็ไม่สามารถทำให้ความภักดีของติงฉางชิ่งสั่นคลอนแม้แต่น้อย
หลังจากที่เป่หมิงโม่ยกตำแหน่งประธานให้กับกู้ฮอนแล้ว สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะหลังจากที่เธอได้ผิดใจกับติงฉางชิ่ง
เป่หมิงยี่เฟิงรู้สึกว่าเวลานี้ ควรให้ติงฉางชิ่งรู้ว่าตัวเองอยู่ฝ่ายเดียวกับเขาแล้ว
นึกถึงนี่แล้ว เขาก็ยืนขึ้นอ้าปากพูด :“ ตอนเช้านี้ ทุกคนก็เห็นแล้ว อารองได้ยกตำแหน่งประธานให้กับคุณกู้ฮอนที่อยู่ตรงนี้ อีกทั้งยังได้เปิดแถลงข่าวไปแล้ว แต่ว่าผมไม่เห็นด้วยที่ให้คุณกู้ฮอนมานั่งในตำแหน่งนี้”
เป็นอีกคนที่อยู่ฝ่ายคัดค้าน ทำเอาทุกคนรู้สึกตกตะลึง ใน ขณะเดียวกันสายตาของกู้ฮอนและฉิงฮัวก็มองมาที่เป่หมิงยี่เฟิงโดยไม่ได้นัดหมาย
เป่หมิงยี่เฟิงเห็นสายตาของทั้งสองคนมองอยู่ที่ตัวเอง ยิ่งรู้สึกว่าควรพูดเรื่องต่อจากนี้แล้ว :“ ทุกคนก็รู้ บริษัทเป่หมิงคือคุณปู่ของผมคุณท่านเป่หมิงเจิ้งเทียนก่อตั้งขึ้นมา และได้เจริญรุ่งเรืองในมือของเป่หมิงโม่อารองของผม แต่ไม่สามารถเป็นเพราะอารองมีคุณต่อบริษัทเป่หมิงแล้ว เขาก็จะทำตามอำเภอใจแล้วยกบริษัทใหญ่โตให้กับคนที่ไม่มีประสบการณ์เลยแบบนี้ได้นะครับ ผมคิดว่าพนักงานในบริษัทเป่หมิงเยอะแยะ พนักงานระดับล่างจนถึงบน ไม่ว่าใครมาเป็นก็เหมาะสมกว่าเธอเยอะเลย ส่วนถ้าอยากจะให้บริษัทเป่หมิงกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งแล้วละก็ ถ้าเป็นอย่างนั้นคนที่จะถูกเลือกก็มีจำกัดมาก แน่นอน ว่าการที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองของบริษัทอย่างผม และในฐานะที่เป็นหลานคนโตของตระกูลเป่หมิงแล้ว ผมคิดว่าผมเองยิ่งเหมาะสมที่จะขึ้นรับตำแหน่งนี้ ”
***
คำพูดของเป่หมิงยี่เฟิงราวกับว่า ‘ นอกจากผมแล้วยังมีใครที่เหมาะสมกว่าอีก ‘ อย่างไรอย่างงั้น ใบหน้าแถมด้วยรอยยิ้ม สายตาค่อยๆกวาดไปทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุม
เห็นพวกเขาบางคนส่งสายตาที่มั่งคงให้กับเขา นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเห็นด้วยกับคำพูดของตัวเอง และหมายถึงเมื่อถึงสุดท้ายก็จะโหลด คะแนนให้กับตัวเอง
แน่นอน ยังมีบางคนที่ก้มหน้าไว้ ขมวดคิ้วคิดหนัก คนพวกนี้คงกำลังช่างน้ำหนักผลดีผลเสียอยู่ว่าควรอยู่ฝ่ายไหนดี ระหว่างหลานชายคนโตสายเลือดตรงของตระกูลเป่หมิง หรือว่าผู้หญิงที่ประธานก่อนหน้าได้แต่งตั้งด้วยตัวเองดี ?
ถึงแม้ความสามารถของเธอจะเทียบไม่ได้กับเป่หมิงยี่เฟิง แต่เธอมีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งอย่าง———เป่หมิงโม่ ถึงเขาจะลงจากตำแหน่งประธานในตอนนี้ แต่ถ้าหากผู้หญิงคนนี้ได้ขึ้นมารับตำแหน่งประธานแล้ว เขาเองก็คงไม่อยู่เฉยโดยไม่สนใจแน่
ถ้าหากไม่เลือกเธอแล้ว ก็จะผิดใจกับคนที่อยู่เบื้องหลังของเธออย่างเป่หมิงโม่ แต่ถ้าเลือกเธอแล้ว ก็จะผิดใจกับเป่หมิงยี่เฟิงได้
ถ้าอย่างนั้นก็รอดูท่าทีคนอื่นก่อนแล้วกัน พอถึงเวลาก็ตามเสียงส่วนใหญ่ก็ได้ แม้จะผิดใจกับฝ่ายใดฝ่ายนึง ก็จะได้มีข้องอ้างที่ดีได้ :“ ทุกคนก็เลือกแล้ว ผมตัวคนเดียวจะทำอะไรได้ ”
ทั้งๆที่เป็นเรื่องภายในของตระกูลเป่หมิงเอง ทำไมต้องให้คนนอกมา ‘เลือกข้าง ‘ด้วย
เฮย …….. นี่ก็คือเกมการค้าซินะ
“ ทำไม ยังมีคนลังเลตัดสินใจไม่ได้งั้นเหรอ ? ผมไม่เข้าใจจริงๆ นี่มันเป็นเรื่องที่กระทบต่อการเป็นอยู่ของบริษัทเป่หมิงเลยนะ ทุกคนยังมีเวลามานั่งคิดนานขนาดนี้ หรือว่าเป็นเพราะยังกังวลความกดดันของอารองผมหรือจะมีเหตุผลอื่น ? ทุกคนวางใจได้ ขอแค่ผมได้ขึ้นมาเป็นประธาน ไม่ว่ามีเรื่องอะไรทุกคนสามารถเสนอออกมาให้หมด”
กู้ฮอนมองเป่หมิงยี่เฟิงแล้วเงียบมาตลอดจนถึงตอนนี้ รอดูการแสดงของเขาในห้องประชุมแห่งนี้ อันที่จริงไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากพูดอะไร
แต่เธอคิดว่าตัวเองนอกจากได้รับการแต่งตั้งจากปากของเป่หมิงโม่เองแล้ว ก็ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรอีก
“ เป่หมิงยี่เฟิง นี่นายพูดจาเหิมเกริมไปหรือเปล่า ? บริษัทเป่หมิงไม่ได้ต้องการคนที่ไม่ทำงานทำการคอยแต่ผลาญเงินของบริษัทหรอกนะ ”
พูดจบ เป่หมิงโม่ก็ได้เดินเข้ามาจากนอกห้องประชุม เหมือนความเร็วปกติที่ผ่านมา ช้าแต่ก็ยังดูเจิดจ้า
ท่าทางในตัวที่ทรงพลังมาตั้งแต่เกิด ทำเอาทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมเห็นการปรากฎตัวของเขาแล้วต่างก็ตกตะลึงตามๆกัน
พวกคนที่เดิมที่มีใจเข้าข้างเป่หมิงยี่เฟิง เริ่มกลัวอย่างห้ามใจไม่ได้
สีหน้าของพวกเขาก็เริ่มซีด ในขณะที่ไม่กล้าสู้หน้าเป่หมิงโม่แล้วยังก้มหน้าลงต่ำ
ในเวลานี้ นัยน์ตาได้หมุนอย่างรวดเร็ว นี่คือกำลังคิดหาวิธีรับมือหลังจากนี้หรือกำลังรอให้เป่หมิงยี่เฟิงเผชิญหน้ากับเขาอยู่ ?
และอีกพวกที่ ‘ยืนทั้งสองฝ่าย ‘ ที่ ‘ตามเสียงส่วนใหญ่ ‘ พวกนั้น ราวกับว่าได้คำตอบสุดท้ายแล้วต่างก็มองไปทางกู้ฮอน
เขารู้ดี การปรากฏตัวของเป่หมิงโม่ในครั้งนี้ก็เพื่อมาปกป้องกู้ฮอน เห็นเขาเดินเข้ามาจากประตูแล้ว ไม่แน่ใจว่าเขามายืนอยู่นานเท่าไหร่แล้วได้ยินอะไรบ้าง
หรือแม้กระทั่งความขัดแย้งระหว่างกู้ฮอนกับติงฉางชิ่งในเมื่อกี้ เขาก็อาจจะรู้หมด จนสุดท้ายติงฉางชิ่งก็โกรธจนเดินจากไปโดยไม่ได้กลับมา เขาก็ไม่ได้ไปห้าม และนี่ก็แสดงท่าทีชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ
เป่หมิงยี่เฟิงดูจะสบายใจเฉิบ :“ อุ้ย อารองมีเวลาวางมาที่นี่ได้ยังไงครับ ? หรือว่าอารองกับคุณกู้ฮอนกำลังแสดงละครคนเบื้องหน้าเบื้องหลังให้เราดูครับ ? ผมคิดแล้วเชียว คุณอาคงไม่ยอมปล่อยตำแหน่งประธานเป่หมิงหลุดมือไปง่ายๆแบบนี้หรอก มีอะไรอยากจะพูดหรืออยากจะทำก็ทำและพูดออกมาเลยครับ คนกันเองทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมาไม้นี้หรอกครับ ”
***
เป่หมิงโม่เดินไปหากู้ฮอนใบหน้ายิ้มขึ้น : “ ไม่รู้ว่าผมเองที่เป็นคนก่อเรื่องหรือว่าคุณก่อเรื่องกันแน่ การประชุมเย็นวานนี้ ก็แค่ให้พวกคุณทำความรู้จักกับประธานคนใหม่ให้มากขึ้น ผมรู้ว่าระหว่างก่อนหน้านี้ที่ผมไม่อยู่ในช่วงนี้ ระหว่างพวกคุณกับเธอไม่เคยทำงานร่วมกันเลย แต่ผมนึกไม่ถึงว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ หรือว่าพวกคุณไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตาเลยใช่มั้ย ? ”
สีหน้าของเขาดำย้อยลงมาทันที
เป่หมิงยี่เฟิงไม่กลัวคำขู่ของเขาแล้วถอยไปง่ายๆหรอก หรือพูดอีกอย่าง สีหน้าของเขาในตอนนี้ ตัวเองก็เห็นจนชินแล้ว
เขามองหน้าเป่หมิงโม่แล้วยิ้มขึ้นบางๆ : “ ตำแหน่งประธานเป่หมิงไม่ใช่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นได้ง่ายๆ จากที่ท่านปู่มาถึงอา ต่างก็เป็นคนที่มีความสามารถทั้งนั้นถึงจะอยู่ได้ และนี่ก็ถือว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาตลอด แต่ว่ามีสิทธิ์อะไร พอหลังจากอาแล้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาหล่ะ เราต่างก็รู้อยู่แก่ใจดี คุณกู้ฮอนที่อาเลือกมาเธอไม่มีความสามารถพอ ถ้าหากเธออยู่ในตำแหน่งนี้ บริษัทเป่หมิงหลังจากนี้จะกลายเป็นยังไง ? หรือว่าจะปล่อยให้บริษัทที่คุณปู่สร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงทั้งชีวิตพังทลายในมือเธองั้นเหรอ ? แต่กับผมมันต่างกัน ผมเป็นหลานชายคนโตของตระกูลเป่หมิง และความสามารถของผมก็อยู่เหนือกว่าเธอ อาว่าผมเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากกว่าหรือเปล่า และอีกอย่าง บริษัทเป่หมิงจะตกอยู่ในมือของคนนอกได้ยังไง ถ้าหากคุณปู่รับรู้ได้ ท่านก็คงไม่อยากเห็นภาพแบบนี้หรอกมั่งครับ ”
พอได้ยินเป่หมิงยี่เฟิงเอ่ยถึงพ่อ แววตาของเป่หมิงโม่ก็ได้กลายเป็นหนามน้ำแข็งขึ้นในทันที เขาจ้องเป่หมิงยี่เฟิงอย่างดุร้าย กล้ามเนื้อแก้มสองข้างรัดจนแน่น
มือทั้งสองข้างกำหมัดไว้แน่นมีเสียง ‘กึกๆๆ ‘ ดังออกมา เขาอยากจะเข้าไปชกเป่หมิงยี่เฟิงสักตั้งให้กระอักเลือดไปเลย
แน่นอนว่าฉิงฮัวสังเกตเห็นท่าทีของเขาแล้ว รีบลุกไปห้ามเจ้านาย แล้วใช้แรงดึงเขาไว้ เพื่อยับยั้งการกระทำของเขาที่จะเกิดขึ้น
ถึงเป่หมิงโม่จะถูกดึงขวางร่างเอาไว้ แต่ก็อ้าปากพูด :“ นายอย่ามาเอ่ยถึงท่าน นายมันไม่คู่ควร ”
เป่หมิงยี่เฟิงดูออกว่าเขากำลังโกรธกริ้วมาก แต่เขากลับไม่รู้สึกกลัวเลย ในเมื่อมวยยกนี้ไม่ช้าก็เร็วยังไงก็ต้องชก
เขาสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเดิม แล้วยักไหล่แบบมือทั้งสองข้างเหมือนจะไม่แคร์ : “ อารองครับ นี่อารองโกรธจนสติเลอะเลือนไปหรือเปล่า ผมเป็นหลานขายคนโตของตระกูลเป่หมิงนะครับ ตั้งแต่เล็กจนโต ท่านปู่ก็รักผมมาก ทำไมผมจะเอ่ยถึงท่านไม่ได้ ”