บทที่ 912 ความกังวลของประธานกู้
มองยังไงก็เท่าเทียมกับปีศาจแห่งสุขาอ่ะ หรือว่าช่วงเวลาที่จิ่วจิ่วเติบโตขึ้นมา กู้ฮอนในฐานะแม่ของเธอ ได้ล้มล้างมาตรฐานความงามของลูกสาวไปแล้ว?
*
“เฮ้ๆ เฉิงเฉิงดูสิ พ่อไปอยู่ที่นั่นอีกแล้ว หรือว่าเขาจะไข้ขึ้นอีกแล้วหรือเปล่า? วันนี้ตอนกินข้าว ฉันมองเห็นว่าเขามีบางอย่างที่ผิดปกติ แน่นอนว่าแม่เองก็ดูไม่ปกติด้วยเหมือนกัน” หยางหยางดึงเฉิงเฉิงให้มองไปยังวิลล่าปานซาน อย่างตื่นเต้น
“นายไม่สามารถพูดอะไรที่มันน่าฟังได้ใช่ไหมเนี่ย พ่อยังพูดถึงนายด้วยคำดีๆตอนที่อยู่หน้าแม่เลย ไม่ได้ดูข่าวตอนเที่ยงงั้นเหรอ? พ่อไม่ได้เป็นประธานของบริษัทเป่หมิง แล้ว และคนที่มาแทนก็คือแม่ไงล่ะ”
ดวงตาของหยางหยางส่องสว่าง : “แม่เป็นประธานแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็กลายเป็นทายาทที่ร่ำรวยแล้วใช่ไหม? งั้นพวกเราก็จะมีคฤหาสน์ของตัวได้แล้วใช่หรือเปล่า? แล้วพอโตขึ้นพวกเราก็จะมีรถยนต์หรูและสาวงามด้วยใช่ไหม?”
“ตลอดทั้งวันสมองของนายเต็มไปด้วยความคิดพวกนี้สินะ นายคิดว่าการได้รับการยกย่องว่าเป็นทายาทที่ร่ำรวยเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์ล่ะสิ ฉันเข้าใจแม่ ชีวิตพวกเราต่อจากนี้อาจจะไม่ต่างจากที่เป็นในตอนนี้หรอก แต่ว่า อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็ได้นะ” เฉิงเฉิงพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“นายยิ้มอะไร รีบบอกมาเร็วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงงั้นเหรอ?”
“นั่นก็คือแน่นอนว่าพ่อจะอยู่กับพวกเราไปอีกนาน ก่อนหน้านี้เขางานยุ่งมาตลอด ตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยอยู่กับฉันเลย”
“อ่า…พี่เฉิงเฉิง พี่บอกว่าพ่อจะมาที่นี่บ่อยๆแล้วใช่ไหม? จิ่วจิ่วกลัวค่ะ” จิ่วจิ่วพูดพลางแสดงท่าทางให้เห็นถึงความรู้สึกหวาดกลัว
***
บางทีสิ่งนี้อาจจะเรียกว่า การสื่อสารทางจิตวิญญาณระหว่างพ่อลูก ความหวาดกลัวในใจของจิ่วจิ่วที่มีต่อพ่อเป็นสิ่งที่เป่หมิงโม่กำลังกังวลเช่นกัน เขาไม่เคยไม่ต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตนเองที่ลูกสาวตัวน้อยมีต่อเขา
แต่ว่าแม้แต่กับผู้ใหญ่เอง เขายังไม่รู้วิธีง้องอนเลย แล้วนับประสาอะไรกับเด็กหญิงตัวน้อยที่อารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาล่ะ นี่อาจจะถือได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเป่หมิงโม่
แต่โชคยังดีที่ตอนนี้มีเวลาอยู่มากให้ค่อยๆแก้ไข
*
ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุมแล้ว แต่ไฟในห้องนั่งเล่นของวิลล่าที่เชิงเขายังคงเปิดอยู่
กู้ฮอนเอนกายอย่างผ่อนคลายบนโซฟา รีโมทคอนโทรลในมือเปลี่ยนช่องโทรทัศน์อยู่ตลอดเวลา สับสนวุ่นวายพอๆกับอารมณ์ของเธอตอนนี้
กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสับสนวุ่นวายใจไม่ใช่เรื่องการแตกหักของบริษัทเป่หมิง แต่เป็นเพราะตัวของเป่หมิงโม่เองต่างหาก
“กู้ฮอน ดึกขนาดนี้แล้วเธอควรพักผ่อนเสียหน่อยนะ ตอนนี้เธอไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตัวเธอต้องแบกรับตำแหน่งของกลุ่มบริษัทใหญ่ขนาดนี้ ถ้าหากพักผ่อนไม่เพียงพอ มันจะส่งผลกระทบต่อการทำงานในวันถัดไปนะ”
แอนนิเพิ่งเสร็จจากเรื่องของลั่วเฉียว ในตอนที่ลงมาชั้นล่างก็มองเห็นว่ากู้ฮอนยังคงอยู่ที่นี่
กู้ฮอนโยนรีโมทคอนโทรลไว้ข้างๆตัวแล้วถอนหายใจเบาๆ : “ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากพักหรอกนะ แต่ว่านอนไม่หลับน่ะ แอนนิ ขอโทษด้วยจริงๆ ตั้งแต่ที่เธอกลับมาจากเมืองซาบาห์ หลังจากที่ต้องยุ่งกับเรื่องของฉันโดยไม่ได้หยุดแล้ว ก็ต้องมายุ่งกับเรื่องของลั่วเฉียวอีก เธอทำเพื่อพวกเรามากมายขนาดนี้แต่พวกเรากลับทำเพื่อเธอน้อยมาก”
“ดูสิเธอพูดอย่างนี้อีกแล้ว ฉันถือว่าพวกเราเป็นเหมือนญาติกันไปแล้ว เธอว่าการที่เราจะทำเพื่อญาติของเรา ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำอย่างนั้นเหรอ? ยังจะมาเกรงใจอะไรกันอีก ถ้าหากพูดว่าจะต้องขอบคุณกันจริงๆละก็ ฉันต้องขอบคุณพวกเธอถึงจะถูก ฉันเป็นเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับเมืองนี้มาก แต่เพราะว่ามีพวกเธอฉันจึงรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นเพราะพวกเธอ ฉันจึงมีความมั่นใจที่จะเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง สรุปแล้วฉันไม่ได้ช่วยอะไรพวกเธอมากเท่ากับที่พวกเธอช่วยฉันเลย บอกมาเถอะน่า ว่าจริงๆแล้วเรื่องที่รบกวนจิตใจพี่ใหญ่กู้ฮอนผู้ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดของพวกเราคือเรื่องอะไรกันแน่” เธอยิ้มและยื่นมือออกมาตบไหล่กู้ฮอนเบาๆ
ใบหน้าทุกข์ใจของกู้ฮอนหันไปมองแอนนิ : “วันนี้เธอไม่รู้สึกเลยเหรอว่ามันมีอะไรแตกต่างจากเมื่อก่อน?”
แอนนิขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วมองซ้ายขวา : “ฉันไม่เห็นว่ามีอะไรที่ผิดปกติเลยนะ กู้ฮอน เธอกำลังพูดถึงอะไรกันแน่?”
“ต้องเป็นเรื่องของผู้ชายตัวเหม็นคนนั้นอยู่แล้ว เธอน่าจะรู้แล้วว่า วันนี้เขาประกาศต่อหน้าสื่อทุกคนว่าให้ฉันเป็นประธานของตระกูลเป่หมิง ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นเขาหรือพวกเธอเองก็ตาม หรือแม้แต่ในในของฉันต่างก็รู้อย่างชัดเจนว่าฉันไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะกับงานนี้ ประการที่สอง เธอรู้ไหมว่า นี่คือแผนชั่วร้ายของเขา เพื่อทำให้ตัวเขาสบายมากขึ้นและจากนั้นจะได้ใกล้ชิดกับเด็กๆ”
แอนนิหัวเราะเล็กน้อยหลังจากที่ฟัง : “แล้วนี่มีอะไรให้บ่นล่ะ ความสามารถของเธอมีขีดจำกัด แต่สามารถฝึกฝนด้วยการปฏิบัตินี่นา เขาไม่ได้ส่งฉิงฮัวมาคอยช่วยเธอเหรอ นอกจากนี้ ถ้าความสามารถของเธอมันแย่ แล้วจะได้ใบอนุญาตทนายความได้ยังไง? และจากจุดนี้พูดได้ว่าเธอมีศักยภาพอย่างมาก เพียงแต่ว่าเธอไม่ได้สนใจเรื่องที่เกี่ยวกับบริษัทเป่หมิงเท่านั้นเอง มาพูดเรื่องเธอกับเขาเถอะ ฉันรู้สึกว่าตอนนี้เธอน่าจะหึงเขาอยู่นะ”
“หึงเหรอ? ฉันจะไปหึงอะไรเขา เขาคิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นแหละ ถึงยังไงฉันก็ไม่สนใจเรื่องของเขาหรอก” กู้ฮอนแสดงท่าทางไม่แยแส
แอนนิหัวเราะเบาๆ “เธอนี่นะ ปากไม่ตรงกับใจ”
***
กู้ฮอนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เธอหันหน้าไปมองแอนนิ : “ฉันปากไม่ตรงกับใจงั้นเหรอ? เธอพูดมาสิว่าฉันปากไม่ตรงกับใจตรงไหน?”
“กู้ฮอน เธอพูดว่าเธอไม่ได้หึงเป่หมิงโม่ แต่ครั้งนี้เขาต้องการที่จะมาพักผ่อนอยู่กับพวกเด็กๆ ในใจของเธอรู้สึกอึดอัดแล้วก็หึงด้วยใช่ไหม?”
“ฮึ่ม ฉันเจรจาเรื่องนี้กับเขาเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ฉันเป็นประธานบริษัทแล้ว เขาจะให้ลูกทั้งสามคนอยู่กับฉัน ตอนนี้เด็กๆเป็นของฉัน และฉันเป็นแม่ของพวกเขานะ”
“การคิดแบบนี้ของเธอมันผิดโดยสิ้นเชิงเลย เธอคิดเพียงแต่ว่าเธอเป็นแม่ของพวกเขา และต้องการปกป้องพวกเขาเป็นอย่างดี คอยดูแลให้อยู่ภายใต้ปีกของเธอ แต่กลับไม่สนใจเลยว่า เป่หมิงโม่คือพ่อของพวกเขา พวกเด็กๆก็ต้องการความรักจากพ่อเช่นกันนะ”
กู้ฮอนเม้มริมฝีปากอย่างดูถูกเหยียดหยาม : “เขาจะมีความรักของคนเป็นพ่อได้ยังไง เขาทำงานยุ่งตลอดทั้งวัน ตลอดมาไม่เคยสนใจไยดีพวกเด็กๆ สิ่งเหล่านี้คือความจริง ฉันไม่ได้กล่าวหาเขา”
“ดูเธอสิ ยังจะพูดว่าไม่มีอคติ นี่แหละใช่เลยล่ะ เธออนุญาตให้ตัวเธอเปลี่ยนแปลงได้เท่านั้น แต่กลับลิดรอนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงของเขา เธอพูดถูกตอนนั้นเขายุ่งอยู่กับงานตลอดเวลา แต่เธอยอมรับหรือเปล่าว่า เฉิงเฉิงเป็นเด็กที่ได้รับการศึกษาอย่างดี ในหลายๆด้าน และมันดีกว่าผลการศึกษาของหยางหยางที่มีเธอฐานะแม่คอยตามก้นเฝ้าดูตลอดทั้งวันเสียอีก”
“นี่ไม่ใช่เพราะว่าเขามีเงินหรือไง เธอพูดถึงแต่ฉัน เธอลองดูสิไม่ว่าจะเป็นเฉิงเฉิง หยางหยาง หรือว่าจิ่วจิ่ว ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อพ่อไม่มีอะไรเลยนอกจากความกลัว แต่ที่มีต่อฉันก็ไม่เหมือนกันแล้ว มันเป็นความรัก” เมื่อกู้ฮอนพูดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มแห่งชัยชนะก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้า
“เธอก็แค่ไม่ได้สังเกตมัน ที่พวกเขาดีต่อเธอมีสองแบบ แบบแรก คือสำหรับเฉิงเฉิงแล้ว เธอเป็นแม่ที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนตั้งแต่ยังเล็ก เขาอยู่ใกล้ชิดเธอเพราะต้องการได้รับความรักของแม่ที่ขาดหายไป แบบที่สอง สำหรับหยางหยาง นิสัยที่ชอบอยู่กับเธอก็เป็นความรักอีกรูปแบบหนึ่งของเธอกับเขา แต่เธอไม่เห็นเหรอว่า ความก้าวหน้าของ หยางหยางในตอนนี้เป็นผลมาจากเป่หมิงโม่ แล้วสำหรับจิ่วจิ่วล่ะ ก็ดึงเอาทิศทางของเธออย่างรุนแรงมาทั้งหมดยังไงล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น เธอหมายความว่า ความสำเร็จของเด็กๆเป็นของเป่หมิงโม่คนสารเลวนั่น ความผิดพลาดทั้งหมดก็โทษมาที่ฉัน ฉันเป็นแม่ที่ใส่ใจทุมเททำงานหนักเพื่อพวกเขา แต่สุดท้ายไม่ได้อะไรดีเลยงั้นสิ” ใบหน้าของกู้ฮอนแดงก่ำด้วยความโกรธทันที
ที่จริงแล้ว มีแม่ที่ถูกพูดเช่นนี้แล้วไม่โกรธ ถึงแม้ว่าตนเองจะทำผิดพลาดมากมายอีกครั้ง เพราะนั่นก็เป็นความรักของแม่ เป็นภารกิจตลอดกาลที่มีค่ามากกว่าสิ่งใด
“กู้ฮอน ไม่มีใครพูดว่าวิธีดีๆที่เธอทำต่อพวกเด็กๆจะทำร้ายพวกเขาเลยนะ ทั้งหมดที่ฉันพูดถึงก็คือ เธอเองก็มีส่วนที่ทำไม่ถูก เป่หมิงโม่ก็มีส่วนถูกเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเด็กๆก็เป็นของพวกเธอทั้งสองคน นั่นจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนๆเดียวจะผูกขาดพวกเขาใช่ไหมล่ะ การเติบโตของเด็กๆไม่ใช่เพียงแค่การอิงด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อให้พวกเขาเติบโตอย่างมีสุขภาพที่แข็งแรง ต้องอาศัยความพยายามของเธอและเป่หมิงโม่ถึงจะถูก และในตอนนี้เป่หมิงโม่เริ่มทำกระบวนการนี้แล้ว พวกเรามาคอยดูว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร บางทีมันอาจจะไม่เลวร้ายเหมือนที่เธอคิดก็ได้นะ”
“จุ๊ๆๆ…แอนนินอกเหนือจากที่เธอจะทำอาหารได้เยี่ยมแล้ว ดูแล้วฝีปากของเธอยังไม่เลวอีกด้วย ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกพ่อบุญธรรมว่านอกจากจะให้เปิดร้านอาหารแล้ว ให้เปิดชั้นเรียนการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาอีกด้วย เธอคิดว่ายังไงบ้าง?”
แอนนิยกมือขึ้นชกกู้ฮอนเบาๆ จากนั้นพูดโกรธๆว่า : “เธออยากจะให้ฉันเหนื่อยตายใช่ไหม”
***
วันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น ลมอันบริสุทธิ์พัดเข้ามาจากหน้าต่างด้านนอก อ่อนโยนและสดชื่น ราวกับได้พัดเอาความหดหู่ใจออกไปทั้งหมด
ในห้องครัวมีกลิ่นหอมโชยออกมาตามลม ค่อยๆกระจายไปทุกห้องภายในบ้าน
“ติ๊งต่อง…” เสียงกริ่งที่ดังกังวาน ได้ส่งเสียงเข้าไปในหูของกู้ฮอนที่กำลังง่วนอยู่ในครัว
พอลองคิดดูว่าใครจะมาแต่เช้าตรู่ขนาดนี้ได้ บางทีอาจจะเป็นชายหนุ่มที่มาส่งนมทุกวันก็เป็นได้?
เธอหรี่ไฟให้เบาที่สุด เช็ดมือบนผ้ากันเปื้อน พลางเดินออกมาข้างนอก
เสียงกริ่งดังขึ้นที่ประตูอีกสองครั้ง
“มาแล้วมาแล้ว” กู้ฮอนพูดพร้อมกับเปิดประตู “ทำไมถึงเป็นคุณ?”
มองเห็นเป่หมิงโม่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่ประตู
และยังคงสวมชุดเหมือนกับตอนทำงาน เขาสวมชุดสูทสีดำหรูหราทั้งตัว และยังมีรองเท้าหนังที่ขัดจนส่องประกายกับแดดยามเช้าจนเป็นแสงแวววาว
ถ้าหากจะบอกว่าเขามีสิ่งที่เปลี่ยนไปนิดหน่อย นั่นก็คือใบหน้าของเขา ที่ไม่ใช่ “ความเกลียดชังที่ฝังลึก” เหมือนอย่างที่เคยเป็น
เขาเห็นเป็นกู้ฮอนเปิดประตู รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นที่มุมปาก : “เป็นอะไรไป หรือว่าผมไม่ควรมาในเวลานี้?”
“ไม่ว่าจะเวลาไหน คุณก็ไม่ควรมา” กู้ฮอนไม่ได้ยินดีต้อนรับ ถึงแม้ว่าแอนนิจะคุยกับเธออย่างมีเหตุมีผลเมื่อคืนนี้ แต่เมื่อเธอเห็นอีตาเป่หมิงโม่คนนี้ เธอก็รู้สึกโกรธ
พูดอีกอย่างก็คือ บางทีเธออาจจะไม่ได้รำคาญเขา แต่ดูเหมือนจะกลายเป็นนิสัยไปแล้ว
เป่หมิงโม่ไม่ได้โกรธ และมุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย : “ผมชอบมองเวลาคุณโกรธอย่างนี้แหละ ดื้อรั้นแต่ยังนุ่มนวล”
“เพี้ยนไปแล้ว!” กู้ฮอนชำเลืองมองเขา แล้วแอบคิดว่า : ผู้ชายคนนี้รู้จักใช้คำพูดเพราะๆมาหลอกล่อให้ประทับใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือจะเป็นอย่างที่แอนนิพูดว่าเขาได้เริ่มสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลงแล้ว?
ให้ตายเถอะ จู่ๆผู้ชายคนนี้ก็พูดคำพูดเหล่านี้ออกมา ตัวเองรู้สึกไม่เคยชินกับมันเลยจริงๆ
ในตอนนี้เอง เหมือนกับมีนางฟ้าตัวน้อยปรากฏบนไหล่ของเธอ หล่อนแนบอยู่ข้างหูของตนเอง : “กู้ฮอนเอ๋ย กู้ฮอน ทุกคนทำหน้าเป็นทุกข์กับเธอและบอกให้เธอปรับตัว ตอนนี้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปแล้วเป็นสีหน้าที่มีความสุข และไม่มีการปรับตัวอีกแล้ว เธอรู้ว่าไม่ดีก็ยังจะทำหรือไง อย่าทำให้ความปรารถนาดีของทุกคนต้องเสียเปล่าสิ”