บทที่ 913 พ่อที่เหมือนผี
แต่อย่างไรก็ตาม เวลาต่อมามีปีศาจน้อยปรากฏขึ้นบนไหล่ของเธอ ในมือถือส้อมเหล็กสีแดง หางเล็กๆนั้นงอง้าง : “เธอรู้อะไรบ้างเนี่ย กู้ฮอน เธอฟังนะ มีคำกล่าวว่า : เมื่อสุนัขจิ้งจอกแสดงธรรม ให้ระวังห่านของคุณไว้ให้ดี แล้วยังมีอีกคำที่กล่าวว่า : รอยยิ้มซ่อนมีด ฉันมองเห็นว่าเป่หมิงโม่มีแรงจูงใจแอบแฝง อย่าทำหน้าเป็นมิตรใส่เขา!”
นางฟ้าน้อยพูดอีกว่า : “กู้ฮอน อย่าคิดว่าทุกคนจะเลวร้ายแบบนั้นทั้งหมด ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อประโยชน์ของเธอไม่ใช่เหรอ?”
ปีศาจน้อยหยิบส้อมขึ้นมาแล้วขว้างไปที่นางฟ้าตัวน้อย : “ใครให้หล่อนมาทำลายขวัญและกำลังใจกัน กู้ฮอน เขาไม่ได้ทำดีเพื่อเธอเลย ที่เขาทำเช่นนี้เพื่ออยากให้เธอรู้ว่าสุดท้ายแล้วตัวเธอมีความสามารถมากแค่ไหน หลังจากนั้นจะอับอายต่อหน้าคนอื่นๆ…”
เจ้าตัวน้อยสองตัวนี้ ทำให้เธอมึนหัวจนอยากจะเป็นลมจริงๆ
ในเวลานี้เอง ดูเหมือนว่าจมูกของเป่หมิงโม่จะได้ได้กลิ่นอะไรบางอย่าง : “นี่มันกลิ่นอะไรน่ะ หอมดีนะ”
ซวยแล้ว! ทันใดนั้นกู้ฮอนก็นึกขึ้นได้ว่ามีโจ๊กไข่เยี่ยวม้าอยู่บนเตา เป็นเพราะว่ามัวแต่โกรธอีตาโง่คนนี้ ทำให้ลืมเรื่องที่กำลังทำไปเลย
เธอรีบหันหลังกลับวิ่งไปที่ห้องครัว
เป่หมิงโม่เห็นเงาที่รีบร้อนของเธอแล้ว ในที่รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า จากนั้นส่ายหัวเบาๆ แล้วค่อยๆก้าวอย่างมั่นคงเข้าไปในบ้าน
*
กู้ฮอนกลับเข้ามาในครัว โชคดีที่มาทันเวลา โจ๊กยังไม่ล้นออกมา เธอรีบใช้ช้อนคนเบาๆสองสามครั้ง
“กลิ่นหอมไม่เลวเลย ดูเหมือนว่าระยะนี้คุณจะได้เรียนรู้งานฝีมือจากแอนนิอยู่ไม่น้อย ดูแล้ว ถึงคุณไม่ได้เป็นประธาน ก็สามารถเลี้ยงดูตัวเองด้วยการเป็นแม่ครัวที่ร้านอาหารได้”
เสียงของเป่หมิงโม่แพร่กระจายเข้ามาในหูของกู้ฮอนอย่างแผ่วเบา ระดับความชัดเจนนั้น ราวกับเขามาพูดอยู่ข้างๆหูยังไงยังงั้น
สิ่งนี้ทำให้กู้ฮอนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“อย่างนั้นก็ดีสิ คุณกลับมาเป็นประธาน ฉันจะไปเป็นแม่ครัวอยู่หลังร้าน” กู้ฮอนไม่ได้หันไป เธอไม่อยากเห็นมุมปากที่ยกขึ้นของเป่หมิงโม่ในตอนนี้ เพราะเธอไม่อยากจะต้องคาดเดาว่าผู้ชายคนนี้ปิดบังเรื่องชั่วร้ายอะไรไว้ข้างหลัง
“ผมกลับไปเป็นประธานอยู่แล้วล่ะ และแน่นอนว่าผมจะพาลูกๆทั้งสามคนไปด้วย บางทีอาจจะตลอดไปเลยด้วย”
“คุณมันเป็นคนน่ารังเกียจ …” กู้ฮอนอยากจะหยิบหม้อบนเตาขึ้นมาแล้วเทโจ๊กลงไปบนตัวเขาจริงๆ
“หอมจริงๆเลย หอมมากเลย วันนี้แม่ทำอะไรอร่อยๆให้กินเหรอ…เฮ้ พ่อครับ พ่อมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ทำไมไม่มีเสียงอะไรอย่างกับผีเลย”
หยางหยางยืนอยู่ข้างเป่หมิงโม่ ขยี้ตาแล้วเงยหน้ามองเขา
เป่หมิงโม่กลับไม่ได้รู้สึกโกรธ เขายกมือขึ้นแล้วตบไหล่เล็กๆของหยางหยางเบาๆ : “ไม่ใช่เพราะลูกนอนเหมือนหมูตายหรือไง นี่เฉิงเป็นคนปลุกใช่ไหม?”
ที่เขาคาดเดาไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย หยางหยางถูกเฉิงเฉิงปลุกจริงๆ เฉิงเฉิงมีนิสัยตื่นแต่เช้าทุกวัน พอรุ่งสาง เขาก็ตื่นแล้วเรียบร้อย
สักพักก็ได้ยินเสียงรถ เขาวิ่งไปมองที่หน้าต่าง แล้วเห็นพ่อยืนอยู่ที่ปากประตูแล้ว แล้วยิ่งไปกว่านั้น ผ่านไปสักเดี๋ยว แม่ก็ปรากฏตัวอยู่ด้านนอก
ดังนั้นแล้วเฉิงเฉิงจึงปลุกหยางหยางและให้เขาลงไปดู
หยางหยางที่ยังหลับอยู่ จู่ๆก็ถูกเฉิงเฉิงปลุก เลยยังสะลึมสะลือเล็กน้อย
แต่หลังจากที่ลงมายังชั้นล่าง ก็ถูกกลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากห้องครัวดึงดูดให้เดินเข้าไป
เขาไม่ได้คิดไว้เลยว่าพ่อจะมาปรากฏตัวที่นี่
“รีบไปล้างหน้าแปรงฟันเร็ว เดี๋ยวต้องเตรียมตัวกินข้าวแล้ว” โดยไม่รอให้กู้ฮอนเอ่ยปาก เป่หมิงโม่ชิงพูดก่อน
“โอเคครับ โอเค” หยางหยางก้มหัวน้อยๆลง แล้วเดินโซเซไปทางห้องน้ำ
ตามมาด้วย แอนนิ ฉิงฮัว ลั่วเฉียว พวกเขาลงมาจากห้องนอนอย่างไม่ขาดสายจนมาถึงชั้นล่าง
“เจ้านาย คุณมาแล้ว” ฉิงฮัวเป็นคนส่งเสียงทักทายเป่หมิงโม่ก่อน แอนนิและลั่วเฉียวก็พยักหน้าให้เขา
การที่เป่หมิงโม่มาที่นี่ตอนเช้าขนาดนี้ พวกเขาต่างรู้บางอย่างอยู่ในใจ
“กินข้าวกันเถอะ” ตามมาด้วยเสียงทักทายของกู้ฮอน ทุกคนต่างนั่งลงในห้องกินข้าว
“กู้ฮอน หลังจากนี้เธอไม่ต้องตื่นแต่เช้าขนาดนี้มาเตรียมอาหารเช้าแล้วนะ เรื่องพวกนี้มอบให้ฉันทำเถอะ เธอทำงานทั้งวันก็เหนื่อยมากแล้ว จะต้องพักผ่อนให้มากๆ” แอนนิกล่าว ไม่ใช่เพราะว่าเธอเกรงใจ แต่เธอคิดถึงกู้ฮอนด้วยใจจริง
“อืม เธอพูดถูก อย่าเอาเวลามาใช้กับเรื่องนี้มากเกินไปเลย ถ้าหากว่าคุณมีเรี่ยวแรงเยอะก็เอามาคิดดีกว่าว่าจะจัดการกับเป่หมิงยี่เฟิงอย่างไรดี แล้วยังมีถังเทียนจื๋อคนนั้นอีก สองคนนั้นจะเป็นตัวถ่วงที่ใหญ่ที่สุดของคุณ” เป่หมิงโม่พูดต่อ
“คุณไม่ต้องยุ่งหรอกค่ะ เรื่องพวกนี้ฉันรู้ว่าอะไรควรไม่ควร นอกจากนี้ พวกเขาเป็นเพียงแค่ตัวขวางทางเจริญของคุณ มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ฉันคือประธาน ฉันจะทำในสิ่งที่ฉันต้องการจะทำ” กู้ฮอนไม่ต้องการฟังน้ำเสียงของผู้นำที่สั่งสอนผู้ใต้บังคับบัญชาของเป่หมิงโม่เลยจริงๆ
**
เป่หมิงโม่ยักไหล่ แล้วแสดงท่าทางไม่แยแส : “โอเค ถ้าอย่างนั้นคุณอยากจะทำอะไรก็ทำตามที่ต้องการเถอะ แต่ว่าผมยังมีคำพูดสุดท้ายที่อยากจะบอกว่า ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลเป่หมิง คุณน่าจะรู้วิธีจัดการของผม ดังนั้นผมหวังว่าหลังจากนี้คุณจะคิดให้ดีก่อนที่จะทำงานอะไรก็ตาม อย่าหุนหันพลันแล่นเกินไป”
ที่จริงถึงเป่หมิงโม่ไม่พูด ในใจของกู้ฮอนก็เข้าใจในจุดนี้อย่างมาก แต่ทันทีที่ได้พบกับเป่หมิงโม่ ตัวเธอเองไม่สามารถต้านทานความอึดอัดใจนี้ได้
ทุกคนนั่งล้อมรอบโต๊ะทานข้าว กู้ฮอนเสิร์ฟอาหารสำหรับหกคนเท่านั้น มีเพียงแค่ตรงหน้าเป่หมิงโม่คนเดียวเท่านั้นที่ว่างเปล่า “วันนี้คุณมาอย่างกะทันหัน ดังนั้นเลยไม่มีส่วนของคุณค่ะ ถ้าหากว่าคุณหิวจะออกไปหาอะไรกินที่แผงขายน้ำเต้าหู้ด้านนอกชุมชนก็ก็ได้นะคะ” เธอพูดอย่างเย็นชาจบแล้วก็นั่งลงในตำแหน่งของตนเองและก้มหน้าก้มตากิน
มองดูโต๊ะที่ว่างเปล่าตรงหน้าของตนเอง แต่กลับได้กลิ่นหอมกรุ่นโชยมาถึงตัวเขา เป่หมิงโม่ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน
“เจ้านาย…ถ้างั้น…ถ้างั้นคุณทานของผมก่อนไหมครับ” ฉิงฮัวลองถามหยั่งเชิง จากนั้นค่อยๆดันของตัวเองไปข้างหน้าเบาๆ
เป่หมิงโม่มองไปที่ฉิงฮัว แล้วมุมปากก็โค้งขึ้นนิดๆ : “ไม่ต้องหรอก นายยังต้องไปทำงาน ตอนนี้ฉันหยุดพักเหมือนนกกระเรียนป่า กินน้อยๆก็ได้”
จากนั้นสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปที่เด็กทั้งสามคน : “วันนี้พวกลูกๆเตรียมจะทำอะไรบ้าง?”
กู้ฮอนหันไปมองเป่หมิงโม่ด้วยความระมัดระวังอย่างมากทันที : “คุณจะทำอะไร?”
“กู้ฮอน คุณอย่าตื่นตระหนกนักเลย ผมเป็นพ่อของพวกเขานะ จะทำอะไรพวกเขาได้ คุณไปทำงานอย่างสบายใจได้เลย”
ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม เฉิงเฉิงและหยางหยางไม่มีเรื่องต้องทำ พวกเขาพากันส่ายหัว สำหรับแล้วจิ่วจิ่ว ในข้อนี้ยิ่งไม่มีอะไรทำ
“พ่อ พ่อจะพาพวกเราออกไปเที่ยวหรือเปล่าครับ?” หยางหยางตาเป็นประกาย เขาไม่ใช่คนที่สามารถอยู่เฉยๆได้แม้เพียงชั่วขณะ
โดยไม่รอให้เป่หมิงโม่พูด กู้ฮอนก็พูดขวางไว้ทันที : “ไม่ได้ ลูกทำการบ้านปิดเทอมเสร็จแล้วหรือไง ถึงคิดแต่จะเล่นทั้งวัน”
“แม่ครับ ผมทำการบ้านเสร็จแล้วครับ” เฉิงเฉิงพูด เขาเริ่มทำการบ้านทันทีที่ปิดเทอม นอกจาก การบ้านพวกนี้ไม่มีอะไรยากเกินที่จะทำได้ เขาใช้เวลาเพียงสองสามวันก็ทำเสร็จแล้ว
แต่หยางหยางไม่เป็นเช่นนั้น ยิ่งเป็นปิดเทอมด้วยแล้ว จึงเอาแต่เล่นทั้งวัน ดังนั้นการบ้านจึงแทบจะไม่ขยับ
หยางหยางเอียงคอมองเฉิงเฉิงแว้บหนึ่ง : “แล้วยังไงล่ะ ทำการบ้านเสร็จก็ไม่เห็นต้องอวดเลย”
“หยางหยาง ถ้าลูกยังทำไม่เสร็จก็คือลูกทำไม่ถูกนะ จะพูดแบบนี้กับเฉิงเฉิงไม่ได้ ลูกต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนถึงจะได้รับอนุญาตให้ออกไปเที่ยวได้!”
กู้ฮอนรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อวานเพิ่งจะพูดกับแอนนิถึงปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กๆ ยังไม่ทันจะถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง หยางหยางก็ทำให้ตนเองต้องเสียหน้าอีกแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าเขา เธอจะรักษาของตนเองไว้ได้อย่างไร
“แม่ครับ ครั้งนี้ให้ผมออกไปเที่ยวเถอะนะครับ กลับมาแล้วผมจะทำการบ้านทันทีเลย” หยางหยางมองไปที่กู้ฮอนด้วยสายตาอ้อนวอน เคล็ดลับนี้ เขาทดลองใช้แล้วไม่เคยพลาด
ทุกครั้งที่แม่ไม่อนุญาตให้เขาทำอะไรก็ตาม หยางหยางก็จะใช้ “ท่าไม้ตาย” นี้เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย ว่าแล้วก็ต้องโทษความรักของกู้ฮอนที่มีต่อลูก ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วเธอจะรู้ดีแก่ใจว่าผลลัพธ์จะไม่เป็นไปตามที่ใจหวัง แต่เธอยังคงทำตามความปราถนาของลูกชาย
บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่กู้ฮอนมักเอาความคิดที่มีต่อหยางหยางไปฝากความหวังไว้กับเฉิงเฉิง
**
แต่ว่าครั้งนี้ “ท่าไม้ตาย” ของหยางหยางดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลนัก ท้ายที่สุดแล้วกู้ฮอนยืนยันหยางหยางว่าต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนถึงจะออกไปเที่ยวเล่นได้
ในช่วงเวลานี้ เป่หมิงโม่ แอนนิ ลั่วเฉียวและฉิงฮัวนั่งอยู่โดยไม่แสดงความเห็นใดๆมาโดยตลอด และสังเกตการณ์เผชิญหน้าระหว่างสองแม่ลูก
แน่นอนว่ายังไม่มีอาหารวางบนโต๊ะตรงหน้าเป่หมิงโม่
แต่ยังไงก็ตามเฉิงเฉิงเป็นพี่ชาย การพิจารณาของเขานับได้ว่ามีความถี่ถ้วน ด้านหนึ่งคือปัญหาการทำการบ้านทำให้หยางหยางไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ อีกด้านหนึ่งคือน้องสาวจิ่วจิ่วที่ยังคงมีความหวาดกลัวต่อพ่ออยู่ไม่น้อย
เขาจึงเริ่มเอ่ยว่า : “พ่อครับ วันนี้พวกเราจะไม่ออกไปข้างนอกครับ” จากนั้นจึงพูดกับกู้ฮอนว่า : “แม่ครับ ผมจะคอยกำกับหยางหยางทำการบ้านให้เสร็จครับ”
ในเวลานี้ กู้ฮอนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แล้วยื่นมือออกมาลูบแก้มเล็กๆของลูกชายอย่างใกล้ชิด : “ลูกรัก ยิ่งโตยิ่งรู้ความจริงๆเลย” จากนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าและมองไปที่ หยางหยาง : “ลูกเห็นแล้วหรือยัง เฉิงเฉิงยอมทิ้งโอกาสยอมทิ้งโอกาสที่จะออกไปเที่ยวแล้วมาทำการบ้านกับลูก ถ้าลูกสามารถมีความพยายามได้สักครึ่งหนึ่งของเฉิงเฉิง แม่เองก็เบาใจ”
ได้ยินแม่พูดถึงตัวเองเช่นนี้แล้ว ถึงแม้ว่ายังเป็นเด็ก แต่ใบหน้าเล็กๆของหยางหยางก็อายจนแทบทนไม่ไหวแล้ว แม่พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร แปลว่าตัวเขาน่ารังเกียจสู้เฉิงเฉิงไม่ได้ใช่หรือเปล่า?
จิตใจของเด็กนั้นเปราะบางมาก ถึงแม้จะเป็นเด็กที่ดื้อรั้นก็ตาม เขาล้วนแต่มีด้านที่เปราะบาง ไม่ต้องพูดถึงหยางหยางเลย
เขารู้สึกว่าตอนนี้ความรักของแม่ที่มีต่อเฉิงฉิงอยู่เหนือตัวเองไปแล้ว เธอไม่รักเขาอีกแล้ว ความรู้สึกหดหู่และเศร้าใจนั้นก็เหมือนตัวเองนั่งอยู่ตรงมุมเล็กๆคนเดียว และมีความมืดอยู่รอบตัว ผู้คนเดินผ่านหน้าเขาไปทีละคน แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นเขาเลย แล้วในเวลานี้ลมหนาวเย็นยะเยือกก็พัดผ่านมา…
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวดใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า สุดท้ายแล้วหยางหยางก็โยนช้อนในมือจมหายไปในชาม กระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งหายไป
“หยางหยาง…” แอนนิต้องการจะหยุดเขา แต่ถูกกู้ฮอนที่โกรธร้องห้าม
“แอนนิ ไม่ต้องห่วงเขา เพราะก่อนหน้านี้ตามใจเขามาตลอด ทำให้ตอนนี้เขามีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ปล่อยให้เขาไตร่ตรองคนเดียวเถอะ”
พูดเสร็จเธอก็เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา หลังจากนั้นก็รีบกินให้หมดแล้วออกจากห้องกินข้าว
แม้แต่ฉิงฮัวก็รีบกินจนเสร็จแล้วตามออกไป
จากนั้นก็ได้ยินเสียงรถยนต์ที่ด้านนอกไกลออกไปเรื่อยๆ
เวลานี้เอง ลั่วเฉียวที่ไม่ได้เปล่งเสียงอะไรเลยมาโดยตลอดก็เอ่ยปาก พูดกับเฉิงเฉิงและจิ่วจิ่วว่า : “พวกเราไปดูหยางหยางหน่อยนะจ๊ะว่าเป็นยังไงบ้าง แม่ของพวกเราก็จริงๆเลย ไม่ไว้หน้าหยางหยางสักนิด”