บทที่ 915 ลูกชายจัดการเรื่องพ่อ
เฉิงเฉิงเหมือนกับเป่หมิงโม่ สวมชุดสูทสีดำทั้งตัว แต่งทรงผมด้วยน้ำมันเงางาม รองเท้าหนังเป็นประกายวิบแวววาวเช่นกัน เหมือนกับเป็นนักธุรกิจน้อย
หยางหยางโยนชุดสูทที่เขาไม่ชอบทิ้งไปเลย แล้วเปลี่ยนเป็นชุดลายทหารพรางของเด็ก เขาสวมหมวกลายพรางใบน้อยที่เข้ากับชุด แน่นอนว่า แว่นกันแดดอันเล็กเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ลูกชายสองคนหน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง แต่ใส่เสื้อผ้าคนละสไตล์ สิ่งนี้ดูเหมือนจะแตกต่างจากฝาแฝดที่พบเห็นตามท้องถนนโดยทั่วไป เพราะว่าเด็กเหล่านั้นจะใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกัน แม้กระทั่งรูปร่างศีรษะก็ไม่มีความแตกต่างกัน ดังนั้นจึงมักมีเหตุการณ์ที่ต้องขอโทษผิดคน
เด็กน้อยทั้งสองคนเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้เหลือเพียงแค่จิ่วจิ่วแล้ว
***
การเผชิญหน้ากับลูกสาวตัวน้อย การปฏิบัติตัวไม่เหมือนกับเฉิงเฉิงที่มีบทสนทนาของผู้ใหญ่แบบเท่าเทียมกัน แล้วก็ไม่สามารถเหมือนกับหยางหยางที่ใช้คำพูดหวานๆเพื่อให้ทำอะไรบางอย่าง หรือ ใช้ไม้แข็งก่อนแล้วจึงตามด้วยไม้อ่อน
นี่เป็นปัญหาใหม่ที่วางไว้ให้เป่หมิงโม่ต้องเผชิญ
การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงก็ทำให้เป่หมิงโม่รู้สึกปวดหัวมากพอแล้ว และแน่นอนว่า มันคือช่วงเวลาที่ได้เผชิญหน้ากับกู้ฮอน ไม่ว่าจะเป็นซูยิ่งหวั่นหรือเฟยเอ๋อก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยปวดหัวเหมือนกับการดูแลแม่ของพวกเด็กๆเลย
หรือว่าบางทีอาจเป็นเพราะ ยิ่งใส่ใจผู้หญิงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีความรู้สึกเช่นนี้ เพราะว่าตนเองต้องการที่จะเข้าไปใกล้ชิดกับเธอในทุกแง่มุม แต่ก็จะเกิดความกังวลบางอย่างโดยไม่ตั้งใจ
นอกเหนือจากกู้ฮอนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่มีความหวาดกลัวตนเองอยู่ ถึงแม้ว่าทางการแพทย์แล้วพวกเขาจะมีความสัมพันธ์เป็นพ่อกับลูกสาวอย่างแท้จริงร้อยเปอร์เซนต์ก็ตาม
“พ่อ พ่อกังวลเรื่องของน้องสาวใช่ไหมครับ?” เฉิงเฉิงมองเห็นพ่อนั่งนิ่งไม่ขยับ เขาคาดเดาได้อย่างรวดเร็วว่าพ่อคิดอะไรอยู่
เป่หมิงโม่พยักหน้า นี่นับได้ว่าเป็นหนึ่งในความล้มเหลวไม่กี่ครั้งในชีวิตของเขา แต่เรื่องธุรกิจไม่มีทางเอามาเทียบคนในครอบครัวได้
“พ่อครับ เรื่องนี้มอบให้ผมกับหยางหยางจัดการเถอะ พ่อไปที่รถก่อนเลย แล้วเดี๋ยวพวกเราจะออกไปครับ”
*
เป่หมิงโม่นั่งอยู่ในรถคนเดียว สองมือวางบนพวงมาลัยแบบสบายๆ เงยหน้ามองทะลุผ่านกระจกหน้ารถขึ้นไปก็จะเห็นหน้าต่างห้องใต้หลังคา
ภายในรถเงียบสงบมาก แน่นอนว่าชุมชนแห่งนี้เงียบสงบมาตลอด มันตั้งอยู่นอกเมือง เป็นเมืองในฝันที่หาได้ยาก
เขาเปิดเครื่องเล่น บทเพลงที่ผ่อนคลายทำให้เขารู้สึกสบายอย่างมาก
มันเป็นความรู้สึกที่น่าสนใจมาก ที่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ตนเองจัดการไม่ได้และเป็นลูกสาวของตัวเองแท้ๆที่ไม่สามารถรับมือได้ สิ่งที่น่าตลกไปกว่านั้นคือเรื่องนี้ต้องให้ลูกชายทั้งสองคนมาช่วยจัดการ –โดยที่หนุ่มน้อยทั้งสองคนอายุยังไม่ถึงสิบแปดปีเลยแต่ต้องมาช่วยตนเอง
ก่อนหน้านี้ในบางครั้งที่เขาได้ยินคนบ่นว่าเรื่องที่บ้านเป็นเรื่องจัดการได้ยาก ตอนนั้นตัวเองยังแอบขำอยู่นิดหน่อย ตลกที่แม้แต่เรื่องในบ้านพวกเขายังจัดการไม่ได้ แล้วจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานได้อย่างไร
ในที่สุดปัญหาเช่นนี้ก็มาตกอยู่บนหัวของเขาเอง และเขาเองก็ยังรู้สึกเลยว่า ถึงแม้ว่าตนเองจะสามารถครอบครองโลกธุรกิจ แต่เขาก็คว่ำเรือในคูน้ำของครอบครัวโดยไม่ระวัง
*
หลังจากที่พ่อเข้าไปในห้องใต้หลังคา เฉิงฉิงก็ให้จิ่วจิ่วไปเล่นกับ ‘เบลล่า’ ที่ห้องของกู้ฮอนบนชั้นสอง เธอเล่นกับ ‘เบลล่า’ ไปสักพัก ก็ได้แต่จ้องตากันเพราะไม่รู้จะทำอะไรกันดี
‘เบลล่า’ ขี้เกียจมากขึ้นเรื่อยๆ กระโดดแค่สองสามครั้ง ก็นอนเหยียดขาทั้งสี่ของมันอยู่บนพื้น แล้วแลบลิ้นสีชมพูออกมาหายใจหอบ
จิ่วจิ่วไม่สนใจจะเล่นกับมันอีกต่อไปแล้ว แต่ตอนนี้เธอก็ไปหาป้าแอนนิ หรือป้าเฉียวเฉียวไม่ได้
แล้วในตอนที่กำลังเบื่อนั่นเอง เฉิงเฉิงกับหยางหยางก็เดินจากด้านนอกเข้ามา
“น้องสาว ในนี้น่าเบื่อมากเลยใช่ไหมล่ะ พี่จะพาเธอออกไปเล่นดีไหม?” หยางหยางพูดพร้อมกับยกมือขึ้นลูบคางเล็กๆของตัวเอง ทำท่าแบบดีไซเนอร์มองเธอขึ้นลงรอบหนึ่ง : “เห็นได้ชัดเลยว่ามันไม่ดีแน่ ถ้าเธอจะออกไปข้างนอกด้วยชุดนี้”
จิ่วจิ่วที่กำลังเบื่อ ทันทีที่ได้ยินว่าออกไปเล่นก็พยักหน้าซ้ำๆ : “ดีจัง ดีจัง พี่จะพาจิ่วจิ่วไปเล่นเหรอคะ?”
“ไม่ใช่พวกเราที่พาเธอออกไปเล่น พูดให้ชัดเจนกว่าเดิมก็คือพ่อจะพาพวกเราออกไปเที่ยว เขารอพวกเราอยู่ที่ชั้นล่างแล้ว รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปกับพวกเรากันเถอะ”
เฉิงฉิงพูดแล้วเดินมาที่หน้าตู้เสื้อผ้า แล้วเปิดตู้เสื้อผ้าของจิ่วจิ่ว
**
ทันทีที่จิ่วจิ่วได้ยินคำว่า ‘พ่อ’ ร่างเล็กๆของเธอก็ตึงเครียดขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ รอยยิ้มบนหน้าเมื่อสักครู่นี้ก็หายไป
“พ่อ” ได้ทิ้งรอยประทับฝังลึกไว้ในใจของเธอ แต่รอยประทับนี้ไม่ได้สวยงามสักเท่าไหร่
ตอนนี้ มันไม่ง่ายเลยหลังจากที่พบกับคนที่เรียกว่าพ่อคนนี้แล้ว ก็จะเกิดความกลัวอย่างไม่มีเงื่อนไขจนต้องวิ่งไปที่ห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
แล้วจะออกไปข้างนอกกับเขาอย่างรวดเร็วขนาดนี้ได้ยังไง
“พี่เฉิงเฉิง…จิ่วจิ่วกลัว” เธอมองเฉิงเฉิงอย่างลำบากใจ
ถ้าพูดว่าสนุก ใครล่ะจะไม่ต้องการ เฉิงเฉิงและหยางหยางต้องกักตัวอยู่ในวิลล่านี้ช่วงปิดเทอม ถึงแม้ว่าจะเข้าออกได้อย่างอิสระ แต่ก็เป็นชีวิตที่ไม่มีรสชาติ
แม่ยุ่งมาก และพ่อเองก็ยุ่งมากเช่นกัน แม้แต่ป้าแอนนิและป้าเฉียวเฉียว พวกเธอก็หยุดไม่ได้ ทั้งครอบครัวมีแต่เด็กน้อยทั้งสามที่เป็นคนเกียจคร้าน
ไม่ต้องพูดถึงจิ่วจิ่วเลย เพราะว่าเธอยังเด็กเกินไป แอนนิไม่อนุญาตให้เธอก้าวเท้าออกจากบ้านแม้แต่เพียงก้าวเดียวด้วยซ้ำ
ตอนนี้เป็นโอกาสเดียวที่เธอจะได้เติมเต็มความปรารถนาเล็กๆของเธอ แต่สิ่งที่จะช่วยเธอให้สำเร็จกลับมาจากคนที่เธอคิดว่าน่ากลัว
หยางหยางหัวเราะแล้วเดินไปอยู่ข้างๆจิ่วจิ่ว เขายื่นมือออกมาแล้วเอาเธอมาไว้ข้างๆตัว : “น้องสาว เธอกลัวพ่อมากเลยใช่ไหม?”
จิ่วจิ่วเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายคนรองแล้วพยักหน้า และพูดอย่างจริงจังมากว่า : “แม่บอกว่าพ่อน่ากลัวมาก ยิ่งไปกว่านั้นตอนกินข้าวหนูก็เห็นแล้ว ทำไมเขาถึงจะพาเราออกไปเที่ยว แทนที่จะเป็นพี่กับพี่เฉิงเฉิงพาจิ่วจิ่วออกไปเล่นล่ะคะ?”
“นั่นเป็นเพราะว่าเราไม่มีเงินยังไงล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าพวกเราออกไปเอง ก็จะไม่มีรถ เดินบนถนนมันเหนื่อยมากเลยนะ ถ้าพ่อพาพวกเราไปเรื่องเงินและรถก็จะหายไปเลยไง”
เฉิงเฉิงที่กำลังฟังอยู่อีกด้าน หยางหยางให้พ่อเป็นเครื่องเอทีเอ็มกดเงินกับคนขับรถม้าไปแล้ว ตอนแรกเขาจะแก้ไขคำพูดของหยางหยางให้เหมาะสม แต่เขาขอยอมแพ้
ช่างเถอะ ยังไงเขาก็ไม่ได้มีเจตนาที่ชั่วร้าย เพียงแค่ต้องการใช้วิธีที่ง่ายที่สุดในการอธิบายให้น้องสาวเข้าใจเท่านั้นเอง ตราบใดที่ยังไม่เกินขอบเขต ก็ปล่อยเขาไป
หลังจากจิ่วจิ่วฟังหยางหยางพูดจบ ดูเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแต่ยังคงลังเลอยู่
“เฉิงเฉิง นายพูดอะไรบ้างสิ” หยางหยางเห็นว่าน้องสาวไม่สนใจในคำพูดของตนอย่างเห็นได้ชัด จึงเรียกเฉิงเฉิงให้มาช่วย
เขามองออกว่าเหตุผลที่พ่อพาพวกเขาออกไปเที่ยวข้างนอกในครั้งนี้ จุดประสงค์หลักคือการพาน้องสาวออกไป ถ้าหากต้องทิ้งเธอไว้ที่บ้าน ไม่แน่ทริปนี้อาจจะล่มก็ได้
เพื่อให้ออกไปเที่ยวได้ เขาจะต้องหาวิธีอำนวยความสะดวกในเรื่องนี้ ถ้าหากเฉิงเฉิงพูดแล้วยังไม่ได้ผลล่ะก็ เขาจะต้องไปหา ป้าแอนนิ แล้วล่ะ
นอกจากแม่แล้ว เธอยังเป็นคนที่น้องสาวเชื่อฟังมากที่สุดด้วย แต่นั่นคือทางเลือกสุดท้ายถ้าไม่มีวิธีแล้วจริงๆ
เรื่องที่หยางหยางจัดการไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วก็ถึงตาตัวเองต้องลงสนามรบ เฉิงเฉิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ด้านล่างต้องดูแลน้องชายน้องสาว ด้านบนต้องคอยเข้าร่วมการติดต่อสื่อสารของพ่อกับแม่…
ช่างเถอะ ใครให้ตัวเองเป็นพี่กันล่ะ เขาเกิดก่อนหยางหยางไม่กี่นาที และยังเป็นเด็กที่เติบโตมาข้างๆพ่อของเขา ยังไงต้องเผชิญกับปัญหานี้ไม่ช้าก็เร็ว
ก่อนอื่นเขาหาชุดกระโปรงสีชมพูตัวเล็กๆในตู้เสื้อผ้าของจิ่วจิ่ว แล้วถือมันมาข้างๆเธอ : “น้องสาว ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะ ที่จริงพ่อไม่ได้กลัวอย่างที่เธอคิดเลย เขาเลี้ยงพี่พาตั้งแต่ยังเด็ก ถึงแม้ว่าบางครั้งจะดุไปบ้าง แต่มันไม่ใช่ความตั้งใจของเขา ในใจของเขารักพวกเราสามคนมากนะ”
***
คำพูดเรียบง่ายไม่กี่คำของเฉิงเฉิง ถึงแม้จะไม่ทำให้จิ่วจิ่วผ่อนคลายลงได้ แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย : “พี่เฉิงเฉิง พี่จะบอกว่าพ่อรักพวกเรามากใช่ไหม?”
“มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ เธอไม่เชื่อคำพูดของพี่ แล้วเธอยังจะไม่เชื่อคำพูดของเฉิงเฉิงงั้นเหรอ?” หยางหยางมองเห็นว่ามีทางออกสำหรับเรื่องนี้แล้ว จึงรีบพูด
“ถ้าอย่างงั้น งั้นพ่อรักแม่หรือเปล่าคะ?”
คำถามนี้ ดูเหมือนจะทำให้เฉิงเฉิงอึดอัดใจเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วเบาๆ คิดอยู่ชั่วครู่จึงพูดว่า : “พ่อต้องรักแม่แน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเราสามคนจะมาจากไหนกันล่ะ ยิ่งไปกว่านั้น น้องดูตรงนั้นสิ” เขาพูดพร้อมกับพาจิ่วจิ่วไปยังใต้หน้าต่างที่สามารถมองเห็นวิลล่าปานซานได้ และชี้ไปตรงหน้า : “บ้านหลังนั้นพ่อซื้อให้แม่”
“ว้าว! ใหญ่มากเลย สวยมากด้วยค่ะ งั้นทำไมพวกเราถึงไม่ไปอยู่ที่นั่นล่ะคะ?” จิ่วจิ่วถามต่อ
“ไม่ใช่เพราะแม่ไม่อยากไปหรอกนะ พี่จะบอกให้ ที่นั่นมันใหญ่มาก พวกเราแต่ละคนจะมีห้องของตัวเอง ด้านนอกยังมีสวนและน้ำพุด้วย สรุปแล้ว ที่นั่นใหญ่กว่าที่นี่หลายเท่า”
พูดถึงเรื่องนี้แล้วในใจของหยางหยางก็เกิดความเอนเอียง และบ่นพึมพำหลายครั้งว่าทำไมแม่ถึงไม่พาพวกเขาไปอยู่ที่นั่น
“หยางหยาง นายไม่ต้องพูดแล้ว ที่แม่ไม่ต้องการย่อมมีความคิดของแม่เอง”
จิ่วจิ่วมองดูบ้านหลังนั้นแล้วเริ่มเพ้อฝัน : “อยากไปดูบ้านหลังนั้นจังเลย”
“น้องสาว อย่าเพิ่งคิดเรื่องไปดูบ้านเลย เปลี่ยนชุดแล้วออกไปเล่นกับพวกเราก่อนเถอะนะ เวลาไม่คอยใครนะ” หยางหยางทนรอแทบไม่ไหวที่จะได้ออกไปเที่ยวเล่น
“อื้ม…” จิ่วจิ่วก้มหน้าลง ถ้าจะออกไปเล่น ก็ต้องไปกับพ่อ แต่ว่าตัวเองก็อยากจะออกไปเล่นข้างนอกกับพี่ชายสองคนจริงๆ
หยางหยางขยิบตาให้เฉิงเฉิงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็พูดอย่างเฉยเมยสุดๆว่า : “เฉิงเฉิง เพราะว่าน้องไม่ไป ถ้าอย่างนั้นพวกเราเอา ‘เชี่ย’ ไปด้วยก็พอแล้วล่ะ ให้เธออยู่ที่นี่คนเดียวแล้วกัน เฮ้อ นายรู้รึเปล่า ฉันได้ยินมาว่าที่สนามเด็กเล่นเพิ่มของเล่นที่สนุกมากมาใหม่ด้วยล่ะ”
พูดจบเขาก็แสร้งทำท่าจะเดินออกไป
“พี่รอจิ่วจิ่วเปลี่ยนชุดก่อนได้ไหมคะ” ในที่สุดจิ่วจิ่วที่ต่อสู้กับอุดมการณ์มานานก็ตัดสินออกไปเที่ยวกับพวกพี่ชาย
สาเหตุหลักก็คือ เธอเพิ่งจะได้ยินว่า ถ้าหากว่าเธอไม่ไป พวกเขาจะเอา‘เบลล่า’ไปด้วย ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น ถึงแม้ตนเองจะอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่มีใครอยู่ด้วย
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีพี่ชายสองคน เธอไม่อยากที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป
“ดีมาก พวกเรารอเธอที่ประตูนะ เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าไวๆล่ะ พวกเราจะไปทักทายป้าแอนนิ” ในใจหยางหยางรู้สึกขบขัน ในที่สุดแผนการเล็กๆของตนเองก็สำเร็จ
เขากับเฉิงเฉิงทำมือเป็นสัญลักษณ์ OK หลังจากนั้นจึงออกจากห้องไปก่อน
“ก๊อกก๊อก…” ประตูห้องของลู่เฉียวถูกเคาะ
แอนนิและลู่เฉียวกำลังเฝ้าดูทารกน้อยนอนหลับ
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู แอนนิรีบเปิดประตู และเห็นหยางหยางยืนอยู่ที่ประตู
“หยางหยาง เธอแต่งตัวแบบนี้จะไปที่ไหนงั้นเหรอ?”