บทที่ 921 เป็นอย่างที่เด็กนั่นพูดไว้
หยางหยางไม่ได้สนใจว่าคำพูดของตนเองทำให้หัวหน้ากลุ่มโจรโมโหขึ้นมาอีกครั้งแล้ว เด็กชายยังเอาแต่พูดไม่หยุดจนดูคล้ายกับพระถังซัมจั๋ง
“พวกคุณปล้นสวนสนุกก็ไม่โอเคอยู่ แต่ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปปล้นห้องขายตั๋วสิ เงินอยู่ที่นั่นทั้งนั้น พวกคุณคิดว่าจะทำกำไรอะไรได้จากการปล้นที่นี่อย่างนั้นเหรอ ตอนที่เข้ามาก็ไม่ยอมดูให้ดี ๆ ตั๋วของที่นี่เป็นแบบเหมารอบ แค่ใบเดียวก็สามารถเล่นได้ทั้งวัน ดังนั้นไม่จำเป็นจะต้องพกเงินมาเยอะ ๆ ก็ได้”
***
หัวหน้ากลุ่มโจรถูกคำพูดนั้นทำให้รู้สึกหัวร้อนไม่น้อย แต่พอคิดให้ละเอียดแล้ว คำพูดของไอ้เด็กนี่ก็ฟังดูมีเหตุผล
แต่ตอนนี้พวกเขาเป็นคันธนูที่วางอยู่บนสาย จะไม่ยิงก็ไม่ได้ ถึงแม้ว่าในใจจะแอบพูดว่าซวยแล้ว แต่ก็เหมือนโบราณว่าไว้ ‘คนรักมันรักจะขโมย ไปอยู่ที่ไหนก็ขโมยได้ทั้งนั้น ’ ทำเรื่องเสียใหญ่โตขนาดนี้แล้ว จะให้กลับไปมือเปล่าก็คงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้างนอกก็ยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกลุ่มหนึ่งเดินอยู่เต็มถนน
นี่อาจนับได้ว่าเป็นการเดินเข้ามาสู่ทางตันแล้วจริง ๆ ดูท่าแล้ววันนี้คงทำได้แค่กระโดดกำแพงหนีตายเหมือนสุนัข
“ไอ้หนู ที่แกพูดมาก็พอมีเหตุผล แต่ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว คงไม่สามารถกลับไปมือเปล่าได้ อีกอย่างพวกเราก็อยากให้พวกแกไปกับเราด้วย”
พูดจบเขาก็หันกลับไปพูดกับคนที่มาด้วยกันพวกนั้น “พวกเอ็งมานี่ ขอดูหน่อยสิว่าได้กันมาเท่าไหร่”
พวกโจรทั้งหมดหยุด ‘งาน’ ที่อยู่ในมือ กอบของทั้งหมดเอาไว้ แล้วห่อไปไว้ข้างหน้าลูกพี่ใหญ่
รับมาแล้วก็โยน ‘เสียงซวบซาบ’ ที่ ‘เก็บเกี่ยว’ มาได้พวกนั้นโยนเข้าไปในถุงอย่างไม่ใส่ใจ
ได้มาเกือบครึ่งถุง
เขามองไปที่ ‘ผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่’ ที่ได้มาอย่างน้อยนิดแล้วก็อดที่จะหนังตากระตุกไม่ได้ เป็นอย่างที่เด็กนั่นพูดไว้จริง ๆ ดูท่าแล้วการมาปล้นที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวจะเป็นเรื่องที่ผิดพลาดเป็นอย่างมาก
“ลูกพี่ พวกเราควรทำยังไงต่อดี” พวกกลุ่มโจรหันไปมองคนเป็นหัวหน้าอย่างสิ้นหวัง
สองชั่วโมงก่อนหน้า ตอนที่พวกเขาเริ่มแย่งชิงของมาจากคนคนพวกนี้ได้ก็รู้สึกภาพภูมิใจเป็นอย่างมาก คิดฝันไปว่าในที่สุดก็สามารถก้าวผ่านการเป็นลูกจ๊อกไปเป็นผู้มีอิทธิพลได้แล้ว จากนั้นก็ได้แต่งงานกับสาวสวยที่ร่ำรวยเงินทอง แล้วเดินไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต…
แล้วหัวหน้ากลุ่มโจรจะไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้เชียวเหรอ ตอนนี้ปัญหาอยู่ตรงหน้า ได้เงินมาตั้งมากมายแล้ว ก็ควรที่จะคิดหาวิธีออกไปให้ครบทั้งสามสิบสอง
นัยน์ตาของเขาหมุนกลอก หันกลับไปมองพวกหยางหยาง
หัวหน้ากลุ่มโจรยกยิ้มชั่วร้าย ร้ายจนหยางหยางหนาวสั่นไปทั้งแผ่นหลัง “ในเมื่อพวกคุณได้เงินมาแล้วทำไมถึงยังไม่หนีไปอีก รอตำรวจมาจับหรือยังไง”
“พวกเราหนีแน่ แต่จำเป็นต้องพาพวกแกไปด้วย”
“ไปด้วย ไปด้วยอะไร ผมไม่อยากเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับพวกคุณหรอกนะ” พูดถึงตรงนี้ดวงตาของเขาก็พุ่งตรงไปที่ถุงใส่เงิน “แต่ถ้าพวกคุณแบ่งให้ผมสักสอบแปดล้าน บางทีผมอาจจะลองคิดดู”
ประโยคนี้อย่าว่าแต่พวกโจร เพราะแม้แต่หน้าผากของเฉิงเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ หยางหยางยังปรากฏเส้นสีดำ นี่มันเวลาไหนกันแล้ว หมอนี่ยังหลงใหลในทรัพย์สินเงินทองแบบนี้อยู่อีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำการค้ากับพวกโจร
“หึหึ เจ้าหนูนี่ฝีปากไม่เลว แต่ต่อให้พวกเราให้เงินสิบแปดล้านกับแกจริง ๆ ร่างเล็ก ๆ ของแกก็คงจะยกมันไปไม่ไหว” หัวหน้ากลุ่มโจรถูกเด็กชายที่อยู่ตรงหน้าทำให้รู้สึกไม่ค่อยพอใจแล้ว
“ทำไมจะไม่ไหว นี่มันยุคไหนแล้ว ยังจะใช้เงินสดอยู่อีก ใส่เงินนั่นลงไปในบัตรก็ได้แล้ว เรียกได้ว่ามีบัตรในมือแค่ใบเดียว ก็สามารถไปเที่ยวสุขาวดีได้หนึ่งรอบ…โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย…
หยางหยางยังคงพูดไม่หยุด เพียงแต่หัวหน้ากลุ่มโจรหมดความอดทนที่จะฟังคำพูดไร้สาระของเขาแล้ว เขายื่นมือไปจับหูเด็กชายไว้
พวกแกจับผู้ใหญ่กับเด็กที่เหลือสี่คนนี่ไว้ วันนี้ให้พวกมันหนีไปกับพวกเราด้วย
พวกโจรรีบเข้ามาดึงพวกโม้จิ่งเฉิง หวีหรูเจี๋ย เฉิงเฉิง และจิ่วจิ่วขึ้นมาจากพื้นทันที
“พวกแกคิดจะทำอะไร ถ้าอยากได้ตัวประกันก็จับฉันไปคนเดียวก็พอแล้ว ปล่อยเด็ก ๆ กับเธอไปซะ! ถ้าพวกแกยอมทำตามฉันจะให้เงินพวกแกอีกก้อน”
โม้จิ่งเฉิงใช้โอกาสนี้พูดข้อเสนอกับพวกโจร
หวีหรูเจี๋ยอยากจะปกป้องเด็กที่อยู่ข้าง ๆ ทั้งสองคนอย่างสุดความสามารถ เธอพูดกับจิ่วจิ่วไม่หยุดว่า “เด็กดี มีย่าอยู่ที่นี่ไม่มีอะไรต้องกลัว เดี๋ยวก็มีคนมาช่วยแล้ว”
เธอได้ยินคำพูดเมื่อกี้นี้ของโม้จิ่งเฉิงแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดการพาเด็ก ๆ ออกไปให้พ้นจากอันตราย
เห็นคุณย่าพูดแบบนี้ เฉิงเฉิงก็ทำได้เพียงพูดปลอบน้องสาวกับเธอ
ตอนนี้หยางหยางยังอยู่ในมือหัวหน้ากลุ่มโจร ร่างเล็ก ๆ ของเขาพยายามที่จะดิ้นให้หลุด “ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉัน ล่วงเกินฉันแบบนี้พวกแกไม่มีทางพบจุดจบที่ดีแน่ รู้ไหมว่าพ่อฉันเป็นใคร”
แม้ว่าจะเห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าหัวหน้ากลุ่มโจรนั้นดุร้ายเป็นอย่างมาก แต่ท่าทีที่เขามีต่อหยางหยางกลับไม่เป็นเช่นนั้น คล้ายกับผู้ใหญ่หยอกเด็กซน ๆ หรือไม่ก็แมวเล่นกับหนูอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ว่าพ่อของแกจะเป็นใคร ถึงยังไงก็ไม่ใช่หลี่กางแน่ ๆ ฮ่า ๆ …”
“พ่อของฉันคือปีศาจแห่งสุขา! เขาสามารถทำให้พวกแกกลายเป็นพ่อได้” ตอนที่หัวหน้ากลุ่มโจรกำลังหัวเราะออกมายกใหญ่ จิ่วจิ่วก็ตะโกนรับคำหยางหยาง
“ปีศาจแห่งสุขา…ฮ่า ๆ ปีศาจแห่งสุขาไม่ใช่คนดูแลห้องน้ำหรือไง…ฮ่า ๆ …”
ทันใดนั้นเองบรรยากาศที่ปกคลุมไปด้วยความหวาดกลัวถูกทำลายด้วยเสียงหัวเราะ
เห็นลูกพี่ใหญ่หัวเราะ พวกลูกน้องก็หัวเราะขึ้นมาบ้าง
ในขณะที่พวกโจรกำลังหัวเราะกันอย่างกำเริบเสิบสาน พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยข้างนอกกลับไม่รู้ว่าพวกเขาหัวเราะทำไม เพียงแต่ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากข้างใน
ประตูบานเดียวที่ขวางกั้นโลกภายนอกซึ่งถูกปิดสนิทมาตลอดถูกเปิดขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะนั้น
เป่หมิงโม่เดินเข้าไปเงียบ ๆ
เขาเดินไปหยุดอยู่ไม่ไกลจากพวกโจรนัก ดูเหมือนว่าความสนใจของพวกโจรเหล่านี้จะจับจ้องไปที่หยางหยางและจิ่วจิ่ว อีกทั้งยังหันหลังให้ประตู ไม่มีใครสนใจสักนิดว่ามีคนเข้ามาแล้ว
เขาเข้ามาตอนที่หยางหยางกำลังหยอกล้ออยู่กับหัวหน้ากลุ่มโจร ดังนั้นได้ยินสิ่งที่จิ่วจิ่วพูดกับพวกโจรเขาก็หมดแล้ว
โดยเฉพาะประโยคที่ว่า ‘พ่อ ของฉันคือปีศาจแห่งสุขา’ ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจจริง ๆ กู้ฮอนเป็นแม่ เธอก็นับได้ว่าเกลียดเขา แต่เขาไม่อยากให้เธอจัดเรียงลำดับแบบนี้ต่อหน้าลูก ๆ ตอนนี้เป็นอย่างไร เขากับลูก ๆ กลายเป็นตัวตลกของคนอื่น
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโมโห เรื่องช่วยคนสำคัญกว่า
เขาส่งเสียงกระแอม พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาอย่างหน้าประหลาดตามปกติของเขา “มีอะไรน่าสนุกอย่างนั้นเหรอ”
ตอนที่พวกโจรกำลังหัวเราะจนหายใจไม่ทัน ทันใดนั้นก็ได้ยินคำพูดประโยคนี้ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทำให้พวกเขากลับมาระแวดระวังในทันที
มีสองคนที่ที่ปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วพิเศษ พวกเขาหมุนตัว
เห็นเพียงว่าข้างหน้าของพวกเขามีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล ตอนที่ถูกสายตาเย็นชาคู่นั้นมองมา ก็รู้สึกเย็นเยียบไปทั่วทั้งแผ่นหลัง ยังดีที่ข้างหายยังมีพี่น้องอยู่ด้วยกันหลายคน จึงสามารถดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
“แก แกเป็นใคร อย่าเข้ามานะเว้ย ไม่อย่างนั้นพวกเราฆ่าตัวประกันแน่!” พวกเขาใช้มือสั่น ๆ เขย่าตัวเด็กชายที่อยู่ในมือต่อหน้าเป่หมิงโม่
“ฉันเป็นใคร พวกแกไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะรู้ ตอนนี้ฉันจะให้ทางรอดกับพวกแก รีบปล่อยพวกเขาซะ ไม่อย่างนั้นแกได้เสียใจทีหลังอย่างแน่นอน”
เดิมทีเป่หมิงโม่ก็มีออร่าของคนที่เป็นราชา บวกกับคำพูดพวกนั้นก็ยิ่งทำให้เขาดูมั่นคงและน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
นี่ไม่ใช่การหารือ แต่เป็นคำสั่ง
“คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าสั่งให้ฉันปล่อยคน เห็นไหมว่าพวกเรามีกันหกคน” พูดพลางก็เขย่าตัวเด็กชายที่อยู่ในมือไปมา “อย่ามาวางอำนาจบาตรใหญ่ที่นี่ ระวังฉันจะทำให้แกเลือดออกก่อน”
***
ตอนที่กลุ่มโจรกำลังพูดกับเป่หมิงโม่อย่างโมโห นักท่องเที่ยวใจกล้าที่ยืนอยู่ใกล้ประตู เห็นว่าความสนใจของคนร้ายต่างพุ่งตรงไปที่ชายคนนั้น
นี่เป็นโอกาสดีในการหลบหนีที่พบเจอได้ยาก ในเมื่อมีคนยอมเสี่ยงอันตรายแทนพวกเขาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกรงใจละนะ ต่างพากันวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต
“หยุดวิ่งได้แล้ว ถ้ายังวิ่งอีกจะฆ่าให้หมด!” เมื่อกลุ่มโจรเห็นว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็รู้ทันทีว่าไม่สามารถที่จะข่มขู่ให้กลัวได้อีกแล้ว พูดแบบนี้ก็เป็นแค่การขยับปากอย่างตรงไปตรงมา
พวกโจรยังคิดแบบนี้ แล้วนับประสาอะไรกับคนที่กำลังหนีเอาชีวิตรอด ล้วนแต่หวังว่ามีคนมารับคมมีดแทนตนกันทั้งนั้น แค่หนีไปได้ก็โชคดีมากแล้ว ระยะทางไปที่ประตูก็เหลืออีกไม่กี่เมตร
หลังจากที่เหตุการณ์วุ่นวายนั้นเกิดขึ้น ก็แทบไม่คนหลงเหลืออยู่ที่ห้องโถงชมวิวแล้ว
หลังจากหนีออกไปได้แล้ว ก็พากันไปให้พ้นเขตอันตรายอย่างรวดเร็วตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
เบิกตามองห้องที่ยังเต็มไปด้วยคนเมื่อครู่นี้ พากันวิ่งออกไปหมดภายในไม่กี่นาที นอกจากรองเท้าไม่กี่คู่ที่เหลืออยู่บนพื้นแล้ว ยังมีถ้วยชามแก้วตะเกียบกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด
หัวหน้ากลุ่มโจรขมวดคิ้วแน่นพลางมองสภาพระเกะระกะภายในห้อง เป็ดที่ต้มสุกแล้วพวกนั้นพากันบินหนีไปหมดแล้ว
สีหน้าของเขาเขียวคล้ำ ดวงตาเต็มไปด้วยไฟโทสะ ออกห่างจากเป่หมิงโม่ที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่พูดอะไร แล้วแผดเสียงคำรามใส่อีกฝั่ง “พวกแกนี่มันไร้ประโยชน์จริง ๆ แค่รักษาประตูก็ทำไม่ได้ ดูสิว่าตอนนี้เหลือใครบ้าง ฉันจะเอาพวกมันไปเรียกค่าไถ่”
“ลูก ลูกพี่เป็นคนบอกให้พวกเรามาที่นี่นี่นา…นอกจากนี้ยังไม่ได้หนีไปจนหมดด้วย ตอนนี้พวกเรายังมีห้าคนนี้ เมื่อกี้ไอ้แก่นั่นก็พูดไม่ใช่เหรอว่ามันจะให้เงินพวกเรา” สีหน้าของพวกโจรที่ถูกต่อว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม หนึ่งในนั้นยังรวบรวมความกล้าตอบกลับไปด้วยเสียงเบา
“พูดเหลวไหลอะไรของพวกแกไอ้พวกระยำ” หัวหน้ากลุ่มโจรแทบอยากจะใช้มีดในมือฟันไอ้คนที่มันเปิดโปงตัวเองจริง ๆ
แต่ทำอย่างไรได้เขาลูกน้องน้อยเกินได้ แม้ว่าจะฆ่าไปหนึ่งคนก็ไม่ทำให้สถานการณ์โดยรวมกลับมา
ในเมื่อเรื่องมันเดินมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ต้องมาไล่เอากับคนแก่คนหนุ่มห้าคนนี้แล้ว
หัวหน้ากลุ่มโจรได้ยินคำพูดเมื่อกี้ที่เป่หมิงโม่พูดกับพวกลูกน้องได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่เขายังนับได้ว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์โชกโชน เห็นคนที่มาไม่มีสีหน้าหวาดกลัว ทั้งยังมีออร่าไม่ธรรมดา ดูท่าแล้วคนคนนี้จะไม่เหมือนกับพวกคนธรรมดาทั่วไป แต่คนที่มีฐานะก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมาก
นอกจากนี้หัวหน้ากลุ่มโจรยังมองไปพลางคิดไปพลาง เพราะยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกคุ้น เหมือนกับว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน
หลังจากที่เขาโมโหใส่พวกลูกน้องไป พอหันมาหาเป่หมิงโม่ก็เปลี่ยนเป็นอีกสีหน้าหนึ่ง “ผมขอนับถือในความกล้าของคุณ” พูดพลางหันไปชี้คนแก่สองคนและเด็กอีกสามคน “พวกนี้เป็นคนในครอบครัวของคุณใช่ไหม ไม่ทราบว่าคุณเดินทางไหน แล้วชื่อของคุณคือ…”
เป่หมิงโม่หรี่ตามองหัวหน้ากลุ่มโจร ความดุร้ายพุ่งทะยานออกมาจากร่าง “ฉันเดินทั้งบนทางสีขาวและสีดำ ส่วนชื่อของฉัน แกไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะถาม ฉันต้องการให้พวกแกปล่อยคนไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วพวกแกจะต้องเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน”