บทที่ 930 ทารกน้อยที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อย่างไรก็ตามกู้ฮอนไม่ค่อยพอใจที่ได้รับคำชมแบบนี้สักเท่าไหร่ ในทางกลับกันเธอยังรู้สึกโมโหมากขึ้นกว่าเดิม
ก็ไม่ใช่หรือยังไง อะไรคือที่พูดว่าในทางหนึ่งเธอต้องคอยดูแลชีวิตของเด็ก ๆ อีกทางก็ต้องกังวลเกี่ยวกับกิจการต่าง ๆ ของบริษัท
เดิมทีเธอก็สามารถที่จะทุ่มเทกับการดูแลเด็ก ๆ ได้อย่างเต็มที่ แต่เป่หมิงเอ้อโม่คนนี้กลับมองไม่เห็นว่าเธอผ่อนคลายและมีอิสระมากขนาดไหน
ความคิดแบบนี้สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงได้กลายเป็นคนที่ขี้อิจฉาริษยาขนาดนั้น
แรงผลักดันทางจิตใจเช่นนี้ทำให้เขาคิดวิธีที่ไม่ค่อยจะฉลาดออกมาได้ และใช้วิธี“หลอกลวง”เพื่อเธอตกลงไปในหลุมพรางของเขา
แต่จะให้เธอพูดสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจพวกนี้ต่อหน้าคนนอกได้ยังไง ถึงแม้จะเป็นเป่หมิงยี่เฟิง เธอก็ไม่สามารถที่จะเปิดปากพูดออกมาได้โดยง่าย
ทั้งตอนนี้คนที่เป็นฝ่ายเริ่มส่งเสริมการทำเรื่องไม่ดีกลับมีท่าทียอมรับในผลงานของเธอ แล้วยังเอ่ยชมเธอฉอด ๆ ราวกับคิดว่าตัวเองมีเหตุผลเต็มที
“ดูไม่ออกเลยว่าประธานกู้จะเป็นผู้หญิงประเภทที่หาตัวได้ยาก” ไม่รู้ว่าคำพูดประโยคนั้นของประธานหลี่มีเจตนาแฝงหรือว่าไม่มีกันแน่
แต่คำพูดนี้ทำให้กู้ฮอนรู้สึกร้อนวาบไปทั่วทั้งใบหน้าทันที คำพูดที่แข็งค้างอยู่ข้าง ๆ ริมฝีปากถูกกลืนกับเข้าไป
ประธานหลี่รู้สึกตัวอย่างรวดเร็วว่าคำพูดที่ตัวเองพูดออกมาเมื่อกี้นี้ค่อนข้างที่จะสองแง่สองง่าม เขาจึงรีบพูดเสริมขึ้นมาทันที “ประธานกู้ ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัวหรือเรื่องธุรกิจ การเสียสละและคุณงามความดีพวกนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ชายอย่างพวกเราต้องเรียนรู้” พูดจบเขาก็หยิบขวดไวน์ที่ผู้เป่หมิงยี่เฟิงนำมาลงไปจนเต็มแก้ว จากนั้นก็หันไปทางกู้ฮอน “แก้วนี้ขอดื่มเพื่อแสดงความนับถือหญิงสาวผู้มากความสามารถเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่”
ระหว่างที่กู้ฮอนและเป่หมิงโม่เข้าร่วมงานเลี้ยงอยู่ที่บริษัทเจียเม้า เด็กทั้งสามคนก็นั่งรถของโม้จิ่งเฉิงกลับมาจากสวนสนุก
ตลอดทางบนถนน เด็กทั้งสามคนดูจะไม่ตกใจกลัวกับเหตุการณ์โจรปล้นในครั้งนี้เลย พวกเขาดูสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจิ่วจิ่ว ตอนแรกหวีหรูเจี๋ยรู้สึกกังวลเล็กน้อย เธอกลัวว่ามันจะกลายเป็นเงามืดในหัวใจของหลานสาวตัวน้อย แต่ระหว่างทางที่นั่งรถกลับ ดูแล้วยายหนูน้อยก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือตึงเครียดแต่อย่างใด ยังสามารถพูดคุยและหัวเราะกับพี่ชายทั้งสองคนได้
โม้จิ่งเฉิงไม่ได้พาเด็ก ๆ กลับไปยังที่พักของตัวเอง แต่พาไปที่ปิ่นฮอนเป่หยวน
หลังจากที่รถจอด หยางหยางที่นั่งอยู่ข้างประตูก็กระโดดลงมาจากรถก่อนคนแรก
จากนั้นเขาก็วิ่งไปที่ประตูบ้านและยกแขนเล็ก ๆ ขึ้น
“ ปัง ปัง…”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
โม้จิ่งเฉิงกับหวีหรูเจี๋ยเองต่างก็พากันลงมาจากรถ เฉิงเฉิงช่วยประคองจิ่วจิ่วลงมา
“ทุกคนกลับมาแล้วเหรอ” คนที่เปิดประตูออกมาต้อนรับทุกคนคือแอนนิ ส่วนคนที่อยู่ข้างหลังของเธอก็คือลั่วเฉียว ในมือของหญิงสาวอุ้มเด็กทารกตัวน้อยที่เพิ่งจะกินอิ่มไว้
“คุณป้า คุณป้าลั่วเฉียว พวกเรากลับมาแล้ว” จากนั้นก็โบกมือให้เด็กทารกที่มองเธอตาไม่กะพริบ “ดีจ้า…”
“อุแว้…” เจ้าตัวน้อยที่นิ่งเงียบมาตลอดร้องไห้ขึ้นมาเสียแล้ว
เส้นสีดำจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าผากของหยางหยางทันที ราวกับว่าเขาเป็นผู้ที่พ่ายแพ้
“หยางหยาง เธอทำให้น้องชายตกใจแล้ว” ลั่วเฉียวพูดพลางรีบปลอบลูกชายตัวน้อยของเธอ
แอนนิก็ยิ้มอย่างขบขัน จากนั้นก็เดินออกไปต้อนโม้จิ่งเฉิงกับหวีหรูเจี๋ย
*
ทุกคนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น แอนนิเตรียมชาและน้ำอัดลมไว้ให้
“ วันนี้ตอนที่เราเห็นพวกคุณถูกจับเป็นตัวประกันในทีวี ฉันกับลั่วเฉียวตกใจแทบแย่ กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกคุณ ” ตอนที่แอนนิกำลังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า ในใจของเธอก็ยังรู้สึกหวาดผวาอยู่หลายส่วน
“ขอโทษจริง ๆ ที่ทำให้พวกเธอต้องเป็นห่วง แต่โชคดีที่มีโม่ ไม่อย่างนั้นฉันเองก็รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง” หวีหรูเจี๋ยถือถ้วยชาไว้ในมือ น้ำเสียงฟังดูผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อตอนเช้า นอกจากความหวาดกลัวของผู้คนในที่เกิดเหตุเมื่อตอนนั้นแล้ว ยังมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่มีแต่ภาพทว่าไม่มีเสียงพวกนั้น รวมไปถึงการพลิกกลับของเรื่องราวที่น่าประหลาดใจหลังจากนั้น ทำให้คนที่อยู่นอกจออดไม่ได้ที่จะทำการค้นหา
และเพราะสาเหตุนี้ เป่หมิงโม่จึงใช้โอกาสตอนที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้พาคนร้ายออกจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และไม่ทันได้ระวังเขาออกมาทางประตูข้างหลัง
สาเหตุที่เขาออกไปจากทางข้างหลังได้อย่างราบรื่นก็เพราะรู้ว่าเมื่อตำรวจจับกุมพวกโจรได้สำเร็จ เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะพากันไปล้อมอยู่ที่ตรงนั้น และออกันอยู่ตรงประตูหลัก
ตอนที่ลั่วเฉียวกับแอนนิได้รู้ว่าคนแก่ทั้งสองคนกับพวกเด็ก ๆ ได้รับการช่วยเหลือออกมาแล้ว พวกเธอก็อยากจะรู้ว่าความจริงแล้วเบื้องหลังของเหตุการณ์นี้คืออะไรขึ้นกันแน่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลั่วเฉียว เธอเหมือนทารกน้อยที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างไรอย่างนั้น เอาแต่รอคอยการกลับมาของเด็ก ๆ ไม่หยุด แน่นอนว่าเธอไม่ได้หวังจะได้ยินในสิ่งที่เธออยากได้ยินจากปากของเป่หมิงโม่ เรื่องพวกนี้ต้องพูดออกมาจากปากของพวกเด็ก ๆ เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเธอได้กำหนดเป้าหมายไว้แล้ว ซึ่งก็คือหยางหยาง
สำหรับเด็กคนนั้นแล้ว เพียงแค่เธอเพิ่มความโปรดปรานเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาก็จะพูดทุกอย่างออกมาโดยไม่รู้จักจบจักสิ้น
***
ภายในคฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเป็นอย่างมาก ผู้ใหญ่สี่คนและเด็กสี่คนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่นๆด้านหน้าดินทะเล
ทำไมถึงเป็นเด็กสี่คนไม่ใช่เด็กสามคนน่ะเหรอ เฉิงเฉิง หยางหยาง จิ่วจิ่ว…และแน่นอนว่ายังมีเด็กอีกคนหนึ่ง เพียงแต่เขากำลังหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของลั่วเฉียว
ผิวที่ดูสะอาดสะอ้านเป็นสีชมพูจาง ๆ เส้นผมนุ่มลื่นเป็นประกายเงางามสีน้ำตาลอ่อน ดูสุขภาพดียิ่งกว่าเส้นผมที่ผ่านการใช้ยาสระผมมาหลายร้อยเท่า
ดวงตาของเขาปิดสนิท ขนตาเป็นแพยาว อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าเล็ก ๆ ดูน่ารักเป็นอย่างมาก ไม่ได้รับยีนหยาบกร้านของฉิงฮัวมาแม้แต่น้อย แต่เป็นการส่งต่อพันธุกรรมที่เป็นที่ต้องตาต้องใจคนของลั่วเฉียวมา
“หยางหยาง เรากำลังจับคิดจะทำอะไร อย่าทำให้น้องเล็กตกใจกลัวสิ” ลั่วเฉียวดุหยางหยางที่กำลังจะทำอะไรบางอย่าง ไม่ยื่นมือออกไปบีบแก้มของทารกน้อย ก็ดึงมือเล็ก ๆ ที่กำแน่นเป็นกำปั้น หรือเป็นการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างอื่นที่เธอคาดไม่ถึง
หยางหยางเหลือบมองไปที่ทารกน้อยแล้วขมวดคิ้ว “ป้าลั่วเฉียว ผมก็แค่มองเท่านั้น ไม่ได้คิดจะแตะอะไรจนทำให้เขาบุบสลายตรงไหนเสียหน่อย”
ลั่วเฉียวสงสัยตาคมกริบให้หยางหยาง “ไม่แตะก็ดี แต่ถ้าแตะจนบุบสลายคงเรียกได้ว่าสายไปแล้ว ถึงตอนนั้นใครจะชดใช้ให้ป้า เราจะชดใช้ให้ป้าได้ไหม”
“ ป้าลั่วเฉียว คุณเป็นแม่ได้ยังไง แม้แต่ลูกของตัวเองก็ดูแลไม่ได้เหรอ ยังให้คนอื่นชดใช้ให้อีก…โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย…” ยังไม่ทันรอให้หยางหยางพูดจบ ลั่วเฉียวก็ยื่นมือไปบิดหูของเขาทันที
ไม่รู้ว่าวันนี้คู่หูคู่นี้ของหยางหยางไปก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้ ตอนที่ถูกโจรจับเป็นตัวประกัน ก็ถูกหัวหน้ากลุ่มโจรบิดเสียหลายที คิดไม่ถึงเลยว่ากลับมาแล้วก็ยังหนีไม่พ้นจากเคราะห์กรรม ถูกลั่วเฉียว ‘ลงมืออย่างอำมหิต’
ถ้าหูเล็ก ๆ ของหยางหยางพูดได้ละก็ มันจะต้องสาปแช่งหยางหยางอย่างแน่นอน เพราะทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณนายน้อยของมัน ใครให้เขาเป็นพวกปากไม่มีหูรูด
“ป้าลั่วเฉียว ปล่อยมือทีเถอะ…”
“หยางหยาง เมื่อกี้นี้เราพูดอะไรออกมา ยังไม่ขอโทษป้าอีก”
“ป้าลั่วเฉียว ผมผิดไปแล้ว ป้าเป็นคนที่สวยที่สุดในโลก สวยยิ่งกว่าแม่ของผมอีก…”
ทันทีที่เด็กชายพูดประโยคนี้ ลั่วเฉียวก็เม้มริมฝีปากและยิ้ม จากนั้นจึงปล่อยมือ “ครั้งนี้เป็นการลงโทษเล็กน้อย ดูซิว่าเราจะกล้าพูดจาไร้สาระอีกไหม”
เดิมทีเธอคิดว่ามอบบทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับหยางหยางก็เพียงพอแล้ว ในบรรดาเด็กสามคนนี้ หยางหยางดูไม่เป็นโล้เป็นพายมากที่สุดแล้ว ถ้าลูกชายตัวน้อยของเธอโตขึ้นอีกนิด เขาจะต้องได้รับการสืบทอดนิสัยมาจากเด็กคนนั้นอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็คงวุ่นวายเป็นอย่างมาก
ดังนั้นต้องถือโอกาสตอนที่เรื่องเลวร้ายพรรค์นั้นยังไม่เกิดขึ้น กำจัดมันให้สิ้นซากเสียก่อน วิธีการที่ดีที่สุดก็คือการทำให้หยางหยางเลิกพูดจาไร้สาระ
ใบหูเล็ก ๆ ของหยางหยางได้รับการปลดปล่อยแล้ว เด็กชายรีบยกมือขึ้นจับหูที่ถูกบีบจนแดงอีกครั้ง น้ำร่างกายเล็ก ๆ ก็ถอยห่างจากลั่วเฉียวอย่างรวดเร็ว
“ป้าลั่วเฉียว ลงมือเบา ๆ หน่อยไม่ได้เหรอ วันนี้หูของผมเผชิญเคราะห์กรรมมามากแล้ว” หยางหยางโอดครวญ
“ถ้าเราไม่มากวนการนอนของน้อง ป้าจะบิดหูเราไหม ตัวเองทำผิดแล้วยังโทษคนอื่นอีก” ลั่วเฉียวตอบกลับไปโดยไม่อ้อมค้อม
“ผมเพิ่งจะหนีเอาชีวิตรอดมาจากพวกโจรได้ ป้ายังมาทำแบบนี้กับผม ไม่มีความเห็นใจกันสักนิด ผมเริ่มกังวลชีวิตหลังจากนี้ของเจ้าหนูน้อยนี่แล้ว…”
“เยี่ยมไปเลยหยางหยาง ปล่อยเราไปเรายังไม่คิดจะสำนึกบุญคุณ ยังมาว่าป้าเสีย ๆ หาย ๆ อีก ดูสิว่าป้าจะจัดการเรายังไง!” ลั่วเฉียวว่าพลางแทบจะรอไม่ไหว เข้าไปบิดหูอีกข้างของหยางหยางอย่างแรงอีกครั้งทันที
การเล่นที่ดูไร้สาระระหว่างลั่วเฉียวกับหยางหยาง บรรยากาศกลับมาคึกคักมีชีวิตชีวาเหมือนเดิม สำหรับหยางหยางแล้ว ลั่วเฉียวก็แค่แกล้งขู่เขาเท่านั้น ในใจเธอยังคงชอบเจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้อยู่
บางทีนี่อาจจะเป็นอะไรที่เรียกว่าคนประเภทเดียวกันย่อมอยู่ร่วมกันละมั้ง ในบ้านหลังนี้ มีเพียงหยางหยางกับลั่วเฉียวเท่านั้นที่อารมณ์ดีเป็นที่สุด แน่นอนว่าเป็นชีวิตประจำวันแบบประเภทที่ว่าเรื่องใหญ่ไม่มีเรื่องเล็กไม่ขาด
แอนนิไม่ได้รู้สึกโมโหอะไรกับเด็กและผู้ใหญ่สองคนนี้ เธอเพียงแค่ถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า จากนั้นก็พูดกับผู้อาวุโสทั้งสองคนที่กำลังยิ้มอยู่เช่นกันว่า “ไม่รู้ว่าจะจัดการสองคนนั้นยังไงแล้วจริง ๆ ”
“ฮ่า ฮ่า ฉันชอบชีวิตแบบนี้นะ ดูสนิทสนมอย่างเป็นธรรมชาติดี”
“คุณโม้ อย่าพูดแบบนี้สิ ถ้าจะต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปหลาย ๆ วันคุณคงรับไม่ได้แน่ ๆ เจ้าเด็กหยางหยางคนนี้เสียงดังเกินไป ” ลั่วเฉียวเริ่มบ่นออกมา แต่กลับไม่ได้พูดว่าเธอไม่ชอบ ก่อนหน้านี้พวกเธอเป็นผู้ใหญ่ จึงไม่สามารถลงไปโต้เถียงจุก ๆ จิก ๆ กับพวกเด็ก ๆ ได้
แต่ตอนนี้มีผู้อาวุโสอยู่ในบ้าน เธอจึงสามารถทิ้งภาระที่แบกไว้ แล้วกลับไปทบทวนความรู้สึกของการตั้งแต่ที่เธอออกจากบ้านโดยไม่ที่ไม่ร่ำลา ก็ไม่ได้ติดต่อกับคนในครอบครัวอีก ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากกลับไปพบพ่อแม่ เพียงแต่สภาพของเธอตอนนี้ไม่สามารถกลับไปพบพวกท่านได้จริง ๆ
หากอยู่ ๆ เธอเดินเข้าไปบอกพวกท่านว่าเธอได้แต่งงานมีลูกไปแล้ว จินตนาการไม่ออกเลยว่าพ่อกับแม่จะมีปฏิกิริยายังไง
ครอบครัวของพวกเขาค่อนข้างที่จะอนุรักษนิยม ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องที่ลั่วเฉียวเข้าไปคลุกคลีอยู่ในแวดวงธุรกิจการแสดง ก็พอที่จะทำให้พ่อแม่ของเธอโมโหขึ้นมาแล้ว
หลังจากที่ลั่วเฉียวทอดถอนใจด้วยความอบอุ่น เธอก็ตัดสินใจว่าจะไม่คิดเรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่มีความสุขพวกนี้อีกต่อไป
“คุณโม้ ทำไมคุณไม่บอกเราว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่คุณต้องเผชิญหน้ากับพวกโจร ความจริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกเรามองเห็นคุณปรากฏตัวขึ้นบนจอภาพ ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียง เป่หมิงโม่พูดอะไรกันแน่ พวกเราอยากรู้เรื่องพวกนี้เอามากๆ”
ลั่วเฉียวกอดลูกน้อยที่กำลังหลับสนิทไว้ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะโยนความสงสัยที่ถูกปล่อยค้างไว้ในสมองออกมา