บทที่ 941 กฎการสั่งสอนลูก
“หม่ามี๊ หม่ามี๊อย่าโกรธจิ่วจิ่วต่อไปอีกเลยได้ไหมคะ……” เธอเบะปาก คิดหาวิธีที่จะทำให้คุณแม่อารมณ์ดี
บางทีการออดอ้อนในตอนนี้ถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แน่นอนว่าคุณแม่นั้นก็ใจอ่อนกับไม้นี้ของเธอมากที่สุด
เธอคิดแล้วก็โผร่างเล็กๆเข้าไปแนบชิดกับร่างของกู้ฮอนเหมือนกับแผ่นแปะยากอเอี้ยะแผ่นหนึ่ง “ถ้าหม่ามี๊ยังโกรธจิ่วจิ่วอีก จิ่วจิ่วจะเอาตัวติดอยู่กับร่างของหม่ามี๊แล้วไม่ยอมลงไปอย่างนี้ไปตลอด” เธอพูดพลางถูไปมาไม่หยุด
เดิมกู้ฮอนก็ไม่ได้โกรธเธอขนาดนั้น บวกกับเมื่อเหลือบตาลงมองท่าทางงอแงของลูกสาว ภายใต้ความน่ารักยังมีความใสซื่อ อารมณ์โกรธที่เก็บเอาไว้ในใจก็มลายหายไปทั้งหมดในทันที
***
กู้ฮอนมองลูกทั้งสามคนที่ล้อมรอบข้างกายตัวเอง ที่จริงแล้วคิดๆแล้วตัวเองก็รู้สึกว่าน่าเบื่ออยู่บ้างจริงๆ หรือจะพูดว่าเธอกำลังหึงลูกๆหรือ
เป็นอย่างนั้นจริงๆ ลูกๆควรจะอยู่ข้างกายคุณแม่ แต่ทุกครั้งที่ใกล้ชิดกับคุณพ่อมากขึ้นเล็กน้อยก็ล้วนรู้สึกว่ารับไม่ได้ เหมือนกับว่าถูกพวกเขาทิ้งไปโดยสิ้นเชิง
แต่ละก้าวที่เธอเดินผ่านมานั้น ก็เคยถูกคนทิ้งไปไม่น้อย เธอไม่อยากคิดว่าจะต้องถูกลูกชายลูกสาวทิ้งไปในตอนนี้แล้วเหลือเธอเพียงแค่คนเดียว
“หลังจากนี้ไม่ว่าใครจะให้สิ่งของกับพวกลูก ถ้าหากว่าไม่ได้รับความเห็นชอบจากแม่ ล้วนไม่สามารถรับได้ หยางหยาง ลูกต้องระวังเป็นพิเศษเลย ได้ยินหรือไม่” กู้ฮอนรู้สึกว่าตอนนี้ควรจะเน้นย้ำปัญหานี้กับลูกๆแล้ว
ไม่อย่างนั้นเธอก็ยากจะรับประกันได้ว่าครั้งนี้เธอสามารถหยุดยั้งเอาไว้ได้ แล้วถึงตอนที่เธอไม่เห็น ลูกๆจะทำตามอำเภอใจไปหมด แน่นอนว่าที่เธอพูดแบบนี้นั้น หลักๆหมายถึงเป่หมิงโม่ เพื่อที่จะเข้าใกล้ลูก พยายามเพื่อที่จะได้ใจพวกเขา ไอ้หมอนี่ลงแรงไปไม่น้อยเลย ครั้งนี้ถูกห้ามแล้ว ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีครั้งต่อไป
อีกทั้งวิธีที่ใช้ดำเนินการก็ตรงไปตรงมาที่สุดอย่างการใช้เงินฟาด ซึ่งเป็นสิ่งตัวเองทำไม่ได้พอดี
ลงมือได้โหดเกินไปแล้ว เธอเชื่อว่าขอเพียงแค่ลูกๆเอ่ยยื่นเงื่อนไขออกมา เขาทำได้แม้กระทั่งสร้างสวนสนุกแห่งหนึ่งเพื่อพวกเขา
คิดไม่ถึงเลยว่าเป่หมิงโม่ที่แต่ก่อนเกือบจะไม่แยแสเฉิงเฉิง ตอนนี้กลับมีความสนใจต่อลูกๆมากกว่าตัวเองเล็กน้อย
ว่ากันตามเหตุผลแล้วนี่ควรจะเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง แต่ว่ากู้ฮอนนั้นกลับไม่ได้คิดแบบนี้เลยแม้แต่น้อย เธอรู้สึกว่าการกระทำแบบนี้ของเป่หมิงโม่ ไอ้หมอนี่นั้นไม่ใช่เพราะว่าเขาชื่นชอบลูกจริงๆ แต่ทำเพื่อพาลูกๆออกไปจากโลกของตัวเธอเอง
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการหรอกหรือ นับตั้งแต่แรกเริ่มก็เป็นเช่นนี้ การพบกันระหว่างพวกเขานั้นก็เพื่อลูกเท่านั้นเอง แม้ว่าในภายหลังระหว่างพวกเขาจะผ่านอะไรมาไม่น้อย แต่เธอมักจะรู้สึกว่าเขามีจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์ใจ
หรือจะบอกว่าเธอจิตใจอ่อนไหวเกินไปกัน ถูกเขาทำร้ายมากเกินไป ดังนั้นถึงได้มีความคิดแบบนี้…….
“หม่ามี๊ หม่ามี๊กำลังคิดอะไรอยู่คะ” จิ่วจิ่วเบิกตากลมโตมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็น
กู้ฮอนรู้ว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองคิดจนใจลอยไปแล้ว เธอยื่นมือออกไปตบศีรษะลูกสาวเบาๆ “หม่ามี๊ไม่ได้คิดอะไร เมื่อครู่นี้ทำให้ลูกตกใจแล้วใช่ไหม ขอโทษจริงๆนะคะ นั่นก็เป็นเพราะว่าหม่ามี๊รักหนูมากจริงๆ กลัวว่าพวกลูกแต่ละคนจะไปจากข้างกายหม่ามี๊”
“คุณแม่ครับ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน พวกเราจะไม่ไปจากคุณแม่หรอก ชั่วชีวิตนี้จะอยู่กับคุณแม่ตลอดเลย” หยางหยางนั้นชำนาญในการโอ๋ให้เธออารมณ์ดี เขาเขยิบเข้าไปข้างกายกู้ฮอน “คุณแม่ ผ่อนคลายจิตใจสักเล็กน้อย ถ้าหากว่าคุณแม่ไม่อยากให้พวกเราพบกับคุณพ่อล่ะก็ พวกเราไม่ไปเจอก็ได้”
เธอคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่า หยางหยางจะคาดเดาความคิดของเธอได้แม่นขนาดนี้ เพียงแต่ว่าเธอไม่สามารถพูดชัดเจนขนาดนั้นได้
“เจ้าเด็กหน้าเหม็น แม่หมายความอย่างนั้นที่ไหนกัน เพียงแต่อาศัยโอกาสนี้บอกกับพวกลูกสักหน่อยว่า หลังจากนี้ถ้าหากว่ามีคนแปลกหน้ามอบสิ่งของให้กับลูกนั้นไม่สามารถรับได้เข้าใจไหม หยางหยาง ลูกว่าแม่เป็นคนใจแคบขนาดนั้นเลยหรือ…….”
หยางหยางตอบโดยไม่ต้องคิด “ใช่!”
หน้าผากของกู้ฮอนปรากฏเส้นเลือดปูดออกมาสองสามเส้น เจ้าเด็กหน้าเหม็นคนนี้ไม่ไว้หน้าตัวเองเลยจริงๆ
“คุณแม่…….ออมมือด้วยครับ…….” ใบหน้าเล็กของหยางหยางเหยเก หน้าตาบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด และสิ่งที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ก็คือมือข้างนั้นที่เพิ่มขึ้นมาบนใบหูของเขา
***
หลายวันถัดมา เป่หมิงโม่ก็ไม่ได้มาปรากฏตัวที่บ้านพักของฉิงฮัวอีก เขาไม่ได้ไปเยี่ยมลูกๆอีก สถานที่ที่สามารถพบเขาได้ทุกวันมีเพียงแค่บริษัทเป่หมิง
ทุกครั้งที่กู้ฮอนมาถึงห้องทำงานก็ล้วนเกือบจะเห็นเงาร่างของเขา
เพียงแต่ว่า เขาไม่ได้นั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของตัวเอง วางท่าทางก้มหน้าก้มตาในการทำงาน อีกทั้งสวมชุดสูทเนี้ยบกริบที่สง่างามเป็นอย่างมากเหมือนกับแต่ก่อนที่เป็นประธานบริษัทของที่นี่
รองเท้าหนังลูกวัววาววับที่ตัดเย็บด้วยมือจากอิตาลีเกือบจะสามารถสะท้อนเงาออกมา
เขานั่งอยู่บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ทำจากท่อนไม้ขนาดเล็กข้างโต๊ะน้ำชา บนโต๊ะมีชุดชาป้านจื่อซาที่เขามักจะใช้บ่อยๆวางอยู่ชุดหนึ่ง
กลิ่นหอมเย็นที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจลอยมาจากภายในป้านชา
นอกจากนี้แล้ว บนโต๊ะน้ำชายังมีอาหารว่างอันวิจิตรบรรจงที่ทานคู่กับน้ำชาอยู่หลายอย่าง
ละเลียดชิมชาไปพลาง ทานอาหารว่างไปพลาง ท่าทางสบายอกสบายใจอย่างเห็นได้ชัด
เหมือนว่าเขาจะมองว่าการมาที่นี่เป็นการใช้วันหยุดในการพักผ่อนครั้งหนึ่ง
หลังจากเห็นกู้ฮอนเข้ามาแล้ว เขาก็วางถ้วยชาลง จากนั้นก็พยักหน้าให้กับเธอด้วยท่าทางที่เป็นสุภาพบุรุษ นี่ถือว่าเป็นการทักทายเธอ
เห็นท่าทางที่เป่หมิงโม่แสดงออกมาเช่นนี้แล้ว กู้ฮอนนั้นทำได้เพียงแค่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เธอจะต้องถูกทำให้โกรธจนบ้างอย่างแน่นอน
การทำงานในวันวันหนึ่งเริ่มขึ้นทั้งอย่างนี้ สิ่งต่างๆที่วางอยู่เบื้องหน้ากู้ฮอนนั้นคือสิ่งที่ไม่มีวันจัดการได้จบสิ้น นอกจากนี้ ฉิงฮัวยังจะแจ้งเรื่องอื่นๆให้เธอเพิ่มเติมเล็กน้อย ด้านหน้าเธอมีการ์ดเชิญสีแดงวางไว้หลายใบไปจนถึงหลายสิบใบ
นอกจากงานเลี้ยงแบบค็อกเทลของบริษัทอื่นๆ ก็ยังต้องเข้าร่วมนิทรรศการภาพศิลปะส่วนตัวของใครบางคน ยังมีแม้กระทั่ง…….
สรุปแล้วล้วนเป็นปาร์ตี้ที่ผู้คนชั้นสูงมักจะเข้าร่วม
นี่ทำให้กู้ฮอนรู้สึกว่าเวลาของตัวเองนั้นไม่พอใช้เลยแม้แต่น้อย แต่ตอนที่ตัวเองเป็นผู้ช่วยก็ไม่เคยเห็นว่าไอ้หมอนี่จะถูกเรื่องเหล่านี้รบกวนเลย
หรือว่าการเป็นประธานบริษัทก็มีกลยุทธ์ในการทำงานหรือคู่มือการเข้าสังคมโดยเฉพาะกัน
เธอเกือบจะเริ่มให้คำนิยามใหม่กับ “ระเบิดสีแดง (ได้รับการ์ดแต่งงาน หรือ ถูกเชิญเข้างานแต่ง) ” แล้ว
เธอพลิกการ์ดสีแดงประเภทต่างๆในมือไม่หยุด เหมือนกับการพลิกไพ่โป๊กเกอร์รอบหนึ่ง สำหรับเรื่องที่จะลงไพ่ใบไหนนั้น เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรจริงๆ
มีความหุนหันพลันแล่นอยากจะถามเป่หมิงโม่อยู่อย่างหนึ่ง แต่ก็ถูกแช่แข็งเอาไว้ เธอไม่อยากให้เขาหาข้ออ้างอะไรมาประชดประชันตัวเองได้
เธอกัดริมฝีปากเบาๆ สุดท้ายแล้วเบนสายตาของตัวเองออกไปจากร่างของเป่หมิงโม่
“ฉิงฮัว”
ท้ายที่สุด เธอก็ยังคงตัดสินใจขอความเห็นจากฉิงฮัว เขาติดตามอยู่ข้างกายเป่หมิงโม่มานานที่สุด น่าจะเข้าใจวิธีการปฏิบัติของเป่หมิงโม่โดยธรรมชาติ
เมื่อได้ยินเสียงเรียก ฉิงฮัวก็วางงานที่อยู่ในมือ เงยหน้ามองกู้ฮอน “คุณผู้หญิง ไม่ทราบว่ามีอะไรจะสั่งหรือครับ”
นี่……..
กู้ฮอนลังเลเล็กน้อย ถ้าหากว่าต้องเอ่ยถามที่นี่แล้วล่ะก็ จำเป็นต้องให้เป่หมิงโม่ได้ยินด้วย ถึงตอนนั้นก็ยังคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเขาแดกดันถากถางรอบหนึ่ง
แน่นอนว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือหาเหตุผลข้อหนึ่งให้เขาจากไป
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็เบนสายตาไปที่เป่หมิงโม่ “ผู้ช่วยเป่หมิง คุณไปดูสถานการณ์ความก้าวหน้าของโครงการของพวกเขาที่แผนกออกแบบและแผนกวิศวกรรมสักรอบ”
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีอะไรจะพูดคุยก็หาหัวข้อมาพูด แม้ว่าเป่หมิงโม่จะไม่รู้ว่าเธอหาฉิงฮัวมีวัตถุประสงค์อะไร แต่สามารถมั่นใจได้ว่าเธอต้องการให้ตัวเองจากไป
ในเมื่อผู้อื่นไม่ต้องการให้ตัวเองรู้ อย่างนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นกังวลแทนเธอ
เขาวางถ้วยชาในมือลง “ประธานกู้ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
***
ฉิงฮัวเห็นว่าเจ้านายเดินออกไปจากห้องทำงานแล้วถึงได้เอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยว่า “คุณผู้หญิง คุณอยากถามอะไรผมหรือครับ ทำไมจะต้องให้เจ้านายออกไปด้วย”
เมื่อถูกคนเปิดโปงอุบายแล้วก็รู้สึกอึดอัดจริงๆ กู้ฮอนยิ้มให้ฉิงฮัวอย่างกระอักกระอ่วน จากนั้นก็โบกการ์ดเชิญที่อยู่ในมือไปมาที่ด้านหน้าของฉิงฮัว “นายดูสิ ฉันเพิ่งจะเข้ารับตำแหน่ง งานในมือของตัวเองยังทำได้ไม่สำเร็จ จะมีเวลาไปปาร์ตี้ได้อย่างไรกัน ฉันเห็นว่าในนี้มีบริษัทใหญ่ๆอยู่มากมายก็เลยกังวลว่า ถ้าหากไม่ไปจะทำให้พวกเขาไม่พอใจ ถึงตอนนั้นก็จะส่งผลกระทบกับชื่อเสียงและบารมีของบริษัทเป่หมิง แบบนั้นก็ไม่ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นนายช่วยฉันดูหน่อยว่าควรจะตอบรับคำเชิญของบริษัทไหนถึงจะค่อนข้างเหมาะสม”
ฉิงฮัวก็มีสีหน้าลำบากใจเช่นกัน “คุณผู้หญิง ผมเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยคนหนึ่งเท่านั้น สำหรับเรื่องพบปะสังสรรค์ทางด้านธุรกิจนั้น ผมก็ไม่ทราบชัดเจน ยิ่งไม่กล้าที่จะตัดสินใจเองโดยพลการ ถ้าหากว่าตัดสินใจไม่ได้แล้วล่ะก็ ปรึกษากับเจ้านายอาจจะดีกว่านะครับ”
กู้ฮอนได้ยินแล้วก็พอดีเลย เดิมไม่อยากถามเป่หมิงโม่ถึงได้มาถามฉิงฮัว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเตะบอลส่งกลับมาอีก
เธอไม่เชื่อหรอกว่าฉิงฮัวไม่มีความสามารถนี้ ไม่อย่างนั้นเป่หมิงโม่จะให้ความสำคัญและให้เกียรติเขาขนาดนี้ได้อย่างไร
“ฉิงฮัว นายไม่ต้องถ่อมตัวขนาดนี้ก็ได้นะ นายติดตามอยู่ข้างกายเป่หมิงโม่มานานขนาดนี้ แม้กระทั่งเรื่องนี้จะไม่รู้ได้อย่างไรกัน ชี้แนะฉันสักหน่อยเถอะนะ”
ฉิงฮัวหน้าอมทุกข์ เห็นว่าตัวเองไม่มีหนทางผลักออกไปได้แล้วก็ทำได้เพียงแค่กัดฟันตัดสินใจแทนกู้ฮอนสักครู่
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรในเหตุการณ์คืนวันนั้น แต่สภาพการณ์ส่วนใหญ่นั้นก็รู้อยู่บ้าง
ไม่ว่าในฐานะบริวารหรือเพื่อนฝูง เขาล้วนหวังเป็นอย่างมากว่ากู้ฮอนกับเป่หมิงโม่จะสามารถอยู่ด้วยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นกระจกแตกกลับประสานกันอีกครั้ง (เปรียบเทียบกับสามีภรรยาที่พลัดพรากจากกันไป หรือทะเลาะกัน แล้วกลับมาคืนดีกันดังเดิม) หรือว่าอะไร
แรกเริ่มเขาไม่อยากจะพูด เพียงแค่อยากสร้างโอกาสให้พวกเขาครั้งหนึ่งก็เท่านั้น ไม่อย่างนั้นดูสองวันมานี้ สองคนนี้อยู่ในห้องทำงานเดียวกันกลับสนทนากันน้อยมาก
อีกทั้งล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานทั้งนั้น
*
“คุณชายเป่หมิง ผู้ช่วยเป่หมิงมาครับ” เครื่องเพจเจอร์บนโต๊ะทำงานของเป่หมิงยี่เฟิงดังขึ้น
ผู้ช่วยเป่หมิง…….
เป่หมิงยี่เฟิงได้ยินชื่อเรียกนี้แล้ว มุมปากก็อดไม่ได้ที่จะยกขึ้นเล็กน้อย นับตั้งแต่การประชุมในครั้งนั้น ก็ยังไม่ได้พบหน้ากับเขาอีกเลย
แน่นอน เขาไม่มีความสนใจไปสืบเรื่องที่เป่หมิงโม่มาเป็นผู้ช่วย
วันนี้มาเยือนอย่างกะทันหัน ดูท่าว่าจะมีเรื่องอะไรล่ะมั้ง หรือไม่ก็ตอนนี้เขาหาเวลาว่างได้แล้ว เริ่มหาปัญหาของตัวเองแล้ว?
ตอนที่เป่หมิงยี่เฟิงกำลังจะแจ้งด้านนอกว่าให้เป่หมิงโม่เข้ามาได้นั้น ถังเทียนจื้อที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ลุกขึ้นยืน “เขามาแล้ว ผมว่าผมหลีกเลี่ยงก่อนสักหน่อยดีกว่า ระหว่างผมกับเขาพบหน้ากันก็ไม่มีอะไรจะพูดคุย ผมก็ไม่ได้วางแผนว่าจะทำให้สิ่งของใดๆของคุณที่นี่เสียหาย คุณน่าจะเข้าใจความหมายของผม”
เป่หมิงยี่เฟิงพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นคุณก็หลบออกไปก่อนชั่วคราวดีกว่า เพียงแต่ว่าเขาอยู่ที่หน้าประตูแล้ว คุณออกไปก็ต้องพบเขาอยู่ดี”
ถังเทียนจื้อคิ้วขมวด หลังจากมองไปรอบด้านแล้วก็เอ่ยว่า “ผมจะอยู่ที่ห้องครัวเล็กๆสักครู่ก็แล้วกัน