บทที่ 952 คิดบัญชีในภายหลัง
กู้ฮอนกลับมาสงบลงภายใต้การปลอบประโลมของแอนนิ แม้ว่าเธอจะยังรู้สึกหวาดผวาจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม
เธอมองไปที่แอนนิ “ฉันอยู่ที่นี่นานเท่าไรแล้ว”
แอนนิก้มหน้ามองนาฬิกาชั่วครู่ “น่าจะสี่ชั่วโมงกว่าแล้ว”
ตัวเองนอนอยู่ที่โรงพยาบาลนี้สี่ชั่วโมงกว่าแล้ว…….
แอนนิประคองร่างเธอให้ลุกขึ้นพิงกับพนักผิงหลังที่ยกขึ้นมา จากนั้นก็ยกซุปที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วมาวางไว้ที่โต๊ะด้านหน้าเธอ “รีบดื่มซุปเสียเถอะ”
กู้ฮอนหันหน้าไปยิ้มให้กับเธอบางๆ “ขอบคุณนะ” เอ่ยแล้วก็หยิบช้อนเตรียมจะดื่ม
แต่ในตอนนี้เองที่เธอหยุดการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน พลางหันไปมองรอบด้าน
“ฮอน เธอกำลังหาอะไร ให้ฉันช่วยเธอไหม”
“เป่หมิง เป่หมิงโม่ ตอนที่เธอมาเจอเขาไหม” แม้ว่าเธอในตอนนั้นจะมีสติพร่าเลือน แต่ก็สามารถจำได้อย่างชัดเจนว่าเขาปรากฏตัวขึ้นมาในตอนที่ตัวเองตกอยู่ในอันตรายมากที่สุด
เงาร่างนั้น เสียงนั้น ยังมีกลิ่นเฉพาะตัวอย่างมิ้นท์อ่อนๆบวกกับกลิ่นยาสูบเล็กน้อยนั่น……..
“เขาหรือ ตอนที่ฉันมาเขาก็ไม่อยู่แล้ว หรือไม่เขาก็อาจจะมีเรื่องอื่นที่ต้องไปทำก็ได้ เธอไม่ต้องเป็นห่วง เป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว เธอรีบดื่มซุปเสียเถอะ” แอนนิจงใจพูดด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก นี่ก็เป็นการกำชับจากฉิงฮัว แน่นอนว่าก็เป็นเจตนาของเธอเช่นกัน
ในใจของกู้ฮอนนั้นมากน้อยก็ยังคงเป็นห่วงเขา แต่เพื่อที่จะไม่ให้แอนนิเป็นห่วง เธอจึงดื่มซุปคำแล้วคำเล่าจนหมด
แอนนิเห็นแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ “ตอนนี้เธอสงบจิตสงบใจนอนพักที่นี่สักคืนหนึ่ง วางใจได้เลย เด็กๆเข้านอนหมดแล้ว ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าเธออยู่ที่นี่ เรื่องของบรรดาผู้ใหญ่อย่างเรานั้นไม่คุ้มค่าที่จะให้เด็กๆต้องมากังวลกับพวกเราด้วย”
ค่ำคืนนี้ แม้กู้ฮอนจะยังรู้สึกว่าศีรษะปวดอยู่ แต่ก็ยังคงพักผ่อนได้ไม่เต็มที่ สมองฉายภาพเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนกลางวันรอบแล้วรอบเล่า
หวาดกลัว มีโทสะ เป็นกังวล……..
ท่ามกลางความรู้สึกที่ซับซ้อน เธอเพิ่งจะได้นอนหลับไปนิดหน่อยยามฟ้ารุ่งสาง
ส่วนแอนนิก็อยู่เป็นเพื่อนข้างกายเธอตลอดทั้งคืน พวกเธอพร้อมใจกันรักษาความเงียบสงบ ใครก็ไม่รบกวนใคร
ตอนที่กู้ฮอนตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็รู้สึกว่าร่างกายไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เธอพลิกตัวลงจากเตียง เปิดผ้าม่านในห้องพักผู้ป่วย แสงอาทิตย์อันอบอุ่นส่องเข้ามาในห้อง ส่องมาที่ร่างกายเธออย่างอบอุ่น
ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกสบายอย่างมากขึ้นมาชั่วขณะ ในเวลาเดียวกันก็ลบความกดดันที่ปกคลุมอยู่บนร่างกายตัวเองเมื่อวานนี้ออกไปจนหมด
กู้ฮอนออกจากโรงพยาบาลโดยมีแอนนิอยู่เป็นเพื่อน
ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูโรงพยาบาล เธอพูดกับแอนนิว่า “เธอกลับไปก่อนเถอะ อยู่เป็นเพื่อนฉันมาทั้งคืนแล้ว ก็ควรจะกลับไปพักผ่อนดีๆสักหน่อย เธอไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ฉันพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว และจะแวะไปดูบริษัทเป่หมิงสักหน่อย เธอก็รู้ว่าตอนนี้ฉันเป็นประธานบริษัทแล้ว บริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าหากว่าไม่มีฉัน จะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายกันยกใหญ่อย่างแน่นอน ถึงเวลาก็จะถูกไอ้หมอนั่นจับจุดอ่อนเอาได้”
แอนนิเห็นสีหน้ากู้ฮอนดีกว่าเมื่อคืนไม่น้อยก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้า “อย่างนั้นเธอก็อย่าทุ่มเทสุดความสามารถมากเกินไป จะพูดอย่างไรสุขภาพก็เพิ่งจะฟื้นตัวรู้หรือไม่ ยังมี…….”
กู้ฮอนยิ้มบางๆ พยักหน้าไม่หยุด “เข้าใจแล้วๆ ฉันจะต้องเชื่อฟังเธออย่างแน่นอน ฮ่า ดูท่าว่าจะต้องหาชายหนุ่มให้เธอเร็วๆสักคนถึงจะดี จับเธอผูกเอาไว้แน่นๆ แบบนี้ใบหูของพวกเราถึงจะโล่งสบาย”
***
ค่ำคืนนี้สำหรับกู้ฮอนนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว วิตกกังวลและตึงเครียด
คนที่นอนไม่หลับเหมือนกันกับเธอยังมีอีกคนหนึ่งก็คือเป่หมิงโม่ เขาถูกทหารสามนายพาตัวมาจากโรงพยาบาล
มีผู้คนไม่น้อยที่เคยเห็นเป่หมิงโม่ทางโทรทัศน์ แต่วันนี้กลับเห็นว่าเขาถูกทหารสามนายรอบล้อมให้อยู่ตรงกลางเดินออกไปข้างนอก ภาพภาพนี้ทำให้ผู้คนมากมายรู้สึกตกตะลึงว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
คนบางคนถึงกับหยุดเดินแล้วพากันหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปเอาไว้
หน้าประตูโรงพยาบาลมีรถทหารจอดอยู่คันหนึ่ง คนที่อยู่ในนั้นเห็นเป่หมิงโม่ออกมาก็รีบลงมาจากด้านในคนหนึ่ง เปิดประตูหลังออก
หลังจากทหารทั้งสามนายรวมถึงเป่หมิงโม่เข้าไปนั่งในรถทั้งหมดแล้ว นายทหารที่รับผิดชอบเปิดประตูก็ปิดประตูลงอีกครั้ง ก่อนจะจากไปภายใต้สายตาของผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ และกลืนหายไปในค่ำคืนอันมืดมิด
นับตั้งแต่เป่หมิงโม่ขับรถฝ่าวงล้อมออกมาจากเกาะหูซินแล้ว นี่เป็นการตบหน้าเจ้าหน้าทหารทั้งหมดที่ประจำการอยู่ที่นี่ครั้งหนึ่ง
อย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า คนคนเดียวที่ในมือไม่มีอาวุธกลับวิ่งไปกลับจากเกาะหูซินแห่งนี้ได้ ทั้งยังแทบจะไม่ได้รับการหยุดยั้งใดๆเลยด้วย
เกาะหูซินก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานรัฐ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาก็ทำให้ผู้คนมากมายตกใจมากกันเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเมื่อตรวจพบคนหมดสติจำนวนสองคนใน คฤหาสน์ตึก C
คนหนึ่งก็คือผู้อำนวยการโกวที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน ส่วนอีกคนก็คือเลขาติดตามข้างกายของเขา นี่ทำให้แวดวงการเมืองและฝ่ายทหารล้วนตกใจในทันที
ผู้นำทุกฝ่ายมีท่าทีมีโทสะต่อเรื่องนี้ โดยเฉพาะฝ่ายทหารที่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก รวมถึงรู้สึกว่าคนเหล่านี้กระทั่งเกาะเล็กๆเกาะหนึ่งก็ยังดูแลไม่ได้ เป็นกลุ่มคนที่ไร้ความสามารถกลุ่มหนึ่งจริงๆ
ทางฝ่ายทหารนั้นก็เป็นแพะรับบาปตัวโตในเรื่องนี้ ตอนแรกพวกเขาจะส่งหน่วยทหารมาประจำการณ์ แต่ว่าเหล่าผู้ใหญ่ในแวดวงการเมืองรู้สึกว่าในยุคสมัยที่สงบสุขแบบนี้จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้อย่างไรกัน ด้านบนมีทหารประจำการณ์อยู่เป็นเพียงแค่ภาพลักษณ์เท่านั้น จะว่ามีบทบาทเทียบเท่ากับหุ่นไล่กาก็ได้
ดังนั้นแม้จะว่าคนที่ประจำการอยู่บนเกาะจะสวมชุดเครื่องแบบทหาร แต่ก็เป็นเพียงแค่ทหารกองหนุนที่ผ่านการฝึกทหารมาเล็กน้อยเท่านั้น และก็เพราะเป็นเช่นนี้ถึงได้ทำให้เป่หมิงโม่กระทำเรื่องราวได้อย่างราบรื่น
แม้ว่าทางฝ่ายทหารจะเป็นแพะรับบาป แต่พวกเขาก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกู้หน้ากลับคืนมา การจับคนที่ไม่มีขื่อไม่มีแปอย่างเจ้าหมอนี่กลายเป็นเป้าหมายของพวกเขา
พวกเขาใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะดูกล้องวงจรปิดประสิทธิภาพสูงตรงปากทางเข้า ทั้งยังใช้ระบบดาวเทียมเพื่อติดตามจับเป่หมิงโม่อีกด้วย
ตอนที่พวกเขารู้ว่าสถานะที่แท้จริงของเจ้าคนที่ไม่มีขื่อไม่มีแปคนนี้คือเป่หมิงโม่นั้น ก็เคยคิดว่าลังเลว่าจะสามารถจับเขาได้หรือไม่ เพียงแต่ว่าแวดวงการเมืองนั้นดูเหมือนจะโกรธจนขึ้นสมอง พวกเขาไม่ให้ความสนใจเรื่องนี้ และสั่งการให้จับกุมลงมาโดยตรง
แน่นอน พวกเขาก็มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน
ข้อแรกคือตอนนี้เป่หมิงโม่ไม่ใช่ประธานบริษัทเป่หมิงแล้ว ถึงขั้นรู้สึกว่าเขาไม่มีอิทธิพลอะไรเท่าไรแล้ว
ข้อสองคือในแวดวงการเมือง มีข้าราชการจำนวนหนึ่งที่ไม่ชอบสไตล์การทำงานของเป่หมิงโม่มานานแล้ว โดยเฉพาะตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งนั้นก็ยุ่งกับผลประโยชน์ของพวกเขาไม่น้อย เพียงแต่ว่าในตอนนั้นยังคงต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม บริษัทเป่หมิงยังคงเป็นผู้ผลักดันทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง จากการชั่งน้ำหนักกับผลประโยชน์ แน่นอนว่ามีคุณมากกว่าโทษ แต่ว่าในตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว คนลงจากตำแหน่งแล้ว ค่าตอบแทนที่น่าเศร้าในตอนนั้น มีแค้นก็ต้องแก้แค้นแล้ว
***
ฝ่ายทหารที่ใช้สอยเทคโนโลยีขั้นสูงก็ค้นหาเจอ ทั้งยังเริ่มตามรอยเป่หมิงโม่พบแล้วจนกระทั่งเขาเข้าไปในโรงพยาบาลก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอีก
แน่นอน เพื่อป้องกันการจากไปได้ทุกเวลาของเป่หมิงโม่ พวกเขาก็แจ้งกับทางโรงพยาบาลให้ดำเนินการติดตามเบาะแสของเป่หมิงโม่อย่างใกล้ชิดเงียบๆ นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมพวกเขาถึงได้หาสถานที่ที่เป่หมิงโม่อยู่ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำนัก
เป่หมิงโม่ที่ขึ้นรถทหารไปแล้วก็มีท่าทางสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด สงบนิ่งเสียจนทำให้ทหารทั้งสามนายที่รับผิดชอบดูแลเขาล้วนรู้สึกขนลุกในใจ บางทีพวกเขาอาจจะคุ้นชินในการรับมือกับคนที่นั่งอยู่ในรถแล้วยังคงไม่ปฏิบัติตามการรักษาวินัย ปากเต็มไปด้วยคำพูดหยาบคาย ทั้งยังมือเท้าอยู่ไม่สุขก็ได้
เพราะถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ พวกเขาสามารถอาศัยการไม่ปฏิบัติตามวินัยมาสั่งสอนคนที่สร้างความอัปยศให้กับฝ่ายทหารได้ยกหนึ่ง เพื่อระบายโทสะที่เก็บเอาไว้อยู่ในใจออกมา
แต่ทว่าตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงแค่เก็บความโกรธที่มีอยู่เอาไว้ในใจเท่านั้น
รถแล่นผ่านเมืองไปอย่างรวดเร็วไปจนถึงในพื้นที่เขตทหารภายใต้ความมืดมิดที่ปกคลุม
สถานที่แห่งนี้ไม่มีใครสักคนที่รู้ว่าเป่หมิงโม่เป็นคนอย่างไรกันแน่ แน่นอนว่าพวกเขาล้วนมองเขาเป็นหนามยอกอก
แม้ว่าเป่หมิงโม่จะถูกคุมขังเอาไว้ในห้องเดี่ยวเล็กๆห้องหนึ่ง ทั้งยังมีทหารยืนประจำอยู่ที่หน้าประตู แต่เขาที่อยู่ด้านในก็ยังคงมีท่าทางสุขุมเยือกเย็นเป็นอย่างมาก ทั้งยังแสดงท่าทีไม่เกรงกลัวเหมือนกับมีคนให้ท้าย แม้ว่าเขาจะแสดงออกว่าสงบนิ่ง แต่ภายในใจก็ยังคงห่วงใยกู้ฮอน
มองนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือ ระยะเวลาห่างจากตอนที่เขาจากมาสองชั่วโมงกว่าแล้ว
ตอนนี้น่าจะมีคนอยู่เป็นเพื่อนข้างกายเธอแล้วล่ะนะ บางทีเธออาจจะฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว หวังอย่างจริงจังว่าเธอจะสามารถลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้ แม้ว่าจะไม่สามารถลืมได้ทั้งหมด แม้จะลืมได้เล็กน้อยก็ส่งผลดีต่อเธอแล้ว
เขาหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วสูบเข้าไปเต็มปอด ควันบุหรี่ที่พ่นออกมานั้นหมุนเป็นเกลียวภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างแล้วค่อยๆลอยหายไป……..
ประตูห้องที่คุมขังเป่หมิงโม่เอาไว้ถูกเปิดออกแต่เช้าตรู่ มีคนสองคนเข้ามาจากด้านนอก คนหนึ่งสวมชุดสูท อีกคนสวมเครื่องแบบทหาร
เป่หมิงโม่นั่งอยู่บนม้านั่ง กวาดตามองผู้มาเยือนแวบหนึ่ง สีหน้าของคนที่สวมชุดสูทนั้นจริงจังมาก มีเพียงแค่คนที่สวมเครื่องแบบทหารเท่านั้นที่มองแล้ว นอกจากความจริงจังก็ยังแฝงไปด้วยความไม่พอใจและโทสะด้วย
ถ้าหากว่าเดาไม่ผิดแล้วล่ะก็ พวกเขามาที่นี่เพื่อพาตัวเองออกไป
ไม่ผิดจากที่เป่หมิงโม่คาดการณ์เอาไว้ คนที่สวมชุดสูทกำลังจะพาเขาไปจากพื้นที่เขตทหาร ตอนที่เขาถูกพาตัวไปคืนนั้น แวดวงการเมืองและฝ่ายทหารเกือบจะหารือวิธีการดำเนินการจัดการเป่หมิงโม่กันตลอดทั้งคืนอย่างดุเดือด
แน่นอนว่าแต่ละฝ่ายก็ยึดมั่นในความคิดของตัวเอง เหตุผลของแวดวงการเมืองนั้นง่ายมาก ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บคือผู้อำนวยการ ควรจะใช้กฎหมายมาลงโทษ
และอีกฝ่ายที่อ้างสิทธิ์ไม่เหมือนกันก็คือ เป่หมิงโม่ทำลายชื่อเสียงและเกียรติยศของฝ่ายทหารอย่างหนักหนาสาหัส ส่งผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจของกองทัพ ถ้าหากไม่มอบให้ฝ่ายทหารจัดการแล้วล่ะก็ เกรงว่ายากที่จะสงบความอาฆาตแค้นของเหล่าทหารได้
เหตุผลทั้งหมดนี้ ส่วนมากก็เป็นแค่การพูดต่อสู้ระหว่างชนชั้นเท่านั้นเอง จะกอบกู้หน้าตาของตัวเองกลับมาทั้งหมดก็เท่านั้น
แต่ตอนนี้จะพูดอย่างไร ฝ่ายทหารก็ยังยอมปฏิบัติตามการปกครองส่วนท้องถิ่น หลังจากที่หารือกันมาทั้งคืนแล้วก็ตัดสินใจพาตัวเป่หมิงโม่ไปในตอนเช้าตรู่ เพื่อเข้ารับการลงโทษตามกฎหมาย
เพียงแต่ว่าหลังจากชายหนุ่มที่สวมชุดสูทเห็นเป่หมิงโม่แล้วก็ยังเผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มออกมา “คุณเป่หมิง เชิญคุณไปกับพวกเราเถอะครับ”
***
กู้ฮอนออกมาจากโรงพยาบาลแต่เช้าตรู่แล้วก็เรียกรถคันหนึ่งไปที่บริษัทเป่หมิง รถคันนั้นของเธอไม่ต้องพูดถึง น่าจะยังอยู่ที่เกาะหูซิน
ตอนที่เธอปรากฏตัวขึ้นที่ห้องทำงาน ฉิงฮัวที่อยู่ด้านในตั้งนานแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงค้าง เดิมเขายังคิดว่างานของวันนี้เกรงว่าต้องให้ตัวเองทำแทนแล้ว
“คุณผู้หญิง ทำไมคุณไม่พักมากขึ้นสักวันสองวันแล้วค่อยมาครับ งานตรงนี้ผมยังสามารถรับมือได้อยู่”