บทที่ 942 ชิมชา
รอจนทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เป่หมิงยี่เฟิงถึงได้เอ่ยปากพูด “เชิญเขาเข้ามาเถอะ”
เมื่อสิ้นเสียง หลังจากนั้นครึ่งนาที ประตูห้องทำงานของเขาก็ถูกเปิดออก เป่หมิงโม่เดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างเชื่องช้า
“กว่าหัวหน้าเป่หมิงจะเปิดประตูก็ตั้งนาน ไม่ทราบว่าผมมาทำลายเรื่องดีๆของคุณหรือเปล่า”
***
เป่หมิงยี่เฟิงยิ้มเฉยชา ระหว่างพวกเขา นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับงานแล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีหัวข้ออื่นมาสนทนากันแล้ว
สำหรับเขาแล้วการที่เป่หมิงโม่มาเยือนไม่ถือว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายอะไร นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาเคยสร้างความประหลาดใจให้กับผู้อื่นมากเกินไปแล้ว พอถึงตอนสุดท้ายจึงเหลือเพียงแค่ความชินชา
“อารอง คุณพูดเรื่องตลกแล้ว ผมจะไปเทียบกับคุณอาได้อย่างไร ทุกวันล้วนมีสาวงามล้อมรอบกายไม่น้อย ความสุขแบบนี้นั้นผมไม่สามารถเพลิดเพลินกับมันได้หรอกครับ”
ในใจของเป่หมิงโม่ก็ชัดเจนเป็นอย่างมากว่า เขาก็แค่เยาะเย้ยการกระทำก่อนหน้านี้ของตัวเองเท่านั้น เพียงแต่ว่า สิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวอะไรกับในตอนนี้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตามเขามาที่นี่ก็ทำงานตามหน้าที่เท่านั้นเอง
“หัวหน้าเป่หมิง มีความจำเป็นต้องเอ่ยเรื่องเก่าก่อนด้วยหรือ” เขาพูดแล้วก็ทำตัวเองเหมือนไม่ได้เป็นคนนอก มือไพล่หลังแสดงมาดของหัวหน้า เดินเล่นในห้องทำงานเป่หมิงยี่เฟิง
ไม่ต้องพูดเลยว่าภายในห้องทำงานของเป่หมิงยี่เฟิง ตั้งแต่การตกแต่งภายในไปจนถึงของประดับที่จัดวางล้วนลงแรงไปไม่น้อย อีกทั้งยังมีสิ่งของอีกมากมายที่ตั้งใจซื้อกลับมาจากต่างประเทศ
“ไม่เลวๆ มองไม่ออกเลยว่าระดับการเห็นคุณค่าของนายสูงขึ้นมาไม่น้อยเลย อย่างไรก็ตามการตกแต่งภายในห้องนี้ดูเหมือนกับห้องข้างบนเลยนะ”
แม้เป่หมิงยี่เฟิงจะนั่งอยู่บริเวณที่นั่งของตัวเองโดยไม่ได้ขยับไปไหน แต่ว่าสายตาก็เคลื่อนไหวไปตามการเดินของเขา
เมื่อได้ยินเป่หมิงโม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตกแต่งห้องทำงานของตัวเองแบบนี้แล้ว เขาก็ลุกขึ้นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “อารอง ประโยคนี้ของคุณอาเหมือนกับกำลังเอ่ยชมผม แต่ทำไมผมฟังแล้วเหมือนกำลังว่าผมกันล่ะ”
เป่หมิงโม่มองเป่หมิงยี่เฟิงครั้งหนึ่ง “ตรงนี้ก็ต้องดูว่านายจะคิดอย่างไร” เขาพูดแล้วก็เดินมาด้านหน้าโต๊ะวางน้ำชา “จะไม่เชิญฉันดื่มสักถ้วยหรือ”
“อารอง พูดอะไรกัน เชิญนั่งครับ” เป่หมิงยี่เฟิงเดินอ้อมโต๊ะทำงานของตัวเองมาที่โต๊ะน้ำชาเช่นเดียวกัน รอบด้านมีเก้าอี้ตัวเล็กที่ทำจากตอไม้สี่ตัว ด้านในมีกาน้ำชาเซรามิคสีขาววางอยู่ ถาดน้ำชามีถ้วยน้ำชาวางอยู่สองใบ และยังมีอีกหกใบที่วางคว่ำอยู่
“ดูท่าที่นี่จะมีคนมาชิมชาบ่อยสินะ”
เป่หมิงยี่เฟิงเก็บถ้วยชาสองใบที่ใช้ไปแล้วขึ้นมา “ที่ห้องทำงานผมจะมีใครมากัน คนทั้งบนและล่างของบริษัทล้วนมีใจเป็นขึ้นตรงต่ออารอง แม้ว่าจะให้ทำเรื่องง่ายๆ ผมก็ยังเชิญให้ทำไม่ได้เลย”
“ประโยคนี้ของหัวหน้าเป่หมิงพูดเกินไปหน่อยแล้ว ถ้าหากว่าผมจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ ตอนที่ประชุมกันเกือบจะทั้งหมดล้วนเอนเอียงไปทางคุณนะ” เป่หมิงโม่พูด สายตาก็จ้องมองเขาเขม็ง ดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
สำหรับหัวข้อสนทนานี้ เป่หมิงยี่เฟิงไม่คิดอยากจะพูดคุยกับเขามากนัก หลังจากที่ล้างถ้วยชาสองใบเรียบร้อยแล้ว ก็ใส่ใบชาลงไปในกาน้ำชาเล็กน้อย ถัดมาก็เทน้ำร้อนลงไป
ในเมื่อหัวข้อสนทนาด้านบนไม่ได้รับการตอบรับ อย่างน้อยก็หาเรื่องอื่นมาพูดแล้วกัน เมื่อเป่หมิงโม่เห็นวิธีการชงน้ำชาคล่องแคล่วของเป่หมิงยี่เฟิงแล้วก็พยักหน้า
เขาก็ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดื่มชาคนหนึ่ง สำหรับพิธีการชงชานั้นถึงไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก แต่ก็ถือว่าคุ้นเคยเป็นอย่างมาก “ศิลปะการชงชาของหัวหน้าเป่หมิงนี่ไม่เลวเลย แต่อุปกรณ์พวกนี้ด้อยไปเล็กน้อย อย่างไรตอนนี้คุณก็เป็นถึงคนที่อยู่ใต้คนเพียงคนเดียว แต่อยู่เหนือผู้คนทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ต้องหาอุปกรณ์ที่ดีกว่านี้มาสักหน่อย แบบนี้ก็สามารถเสริมหน้าตาให้คุณได้ไม่ใช่หรือ”
“ผมก็แค่ดื่มชาเล่นๆเท่านั้นเอง ไม่เหมือนกับอารองที่ศึกษาค่อนข้างลึกซึ้ง เพียงแต่เมื่อคุณอาเอ่ยขึ้นมาแล้ว อย่างนั้นผมก็ขอน้อมรับความเห็นนี้เอาไว้ รอจนถึงโอกาสที่เหมาะสมแล้ว ผมค่อยไปเปลี่ยนชุดใหม่”
***
เป่หมิงโม่และเป่หมิงยี่เฟิงนั่งอยู่ข้างโต๊ะวางน้ำชา มือของแต่ละคนมีชาหอมกรุ่นอยู่ถ้วยหนึ่ง ถ้าไม่รู้เรื่องราวภายในจะต้องรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองคนนั้นเป็นอาหลานที่มีใจตรงกันอย่างแน่นอน
หลังจากดื่มชากันไปสองสามถ้วยแล้ว เป่หมิงยี่เฟิงอดทนต่ออารมณ์ของตัวเองไม่ไหว เขาวางถ้วยชาที่อยู่ในมือ “อารอง ชาก็ดื่มแล้ว เรื่องสัพเหระก็พูดคุยแล้ว อย่างนั้นตอนนี้ควรจะพูดเรื่องสำคัญได้แล้วใช่หรือไม่ครับ”
เป่หมิงโม่หัวเราะเบาๆ เขาวางถ้วยชาลงในถาดวางชา “นอกจากเรื่องธุรกิจแล้วพวกเราจะไม่สามารถสนทนาเรื่องอื่นๆได้แล้วหรือ”
“แน่นอนว่าสามารถสนทนาในหัวข้ออื่นๆได้ เพียงแต่ว่าอาศัยความเข้าใจที่ผมมีต่ออารองนั้น คุณอาจะไม่เสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่มีความหมาย พวกเราล้วนเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมหรอกครับ”
เป่หมิงโม่ยกกาน้ำชาขึ้นมารินชาให้ตัวเองด้วยท่าทางไม่เร็วไม่ช้า ความรู้สึกผ่อนคลายบนใบหน้าก็หายไปกลับสู่สีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม
เป่หมิงยี่เฟิงมองเขาด้วยท่าทีที่สงบเยือกเย็น ในใจก็รู้ชัดเจนว่ากำลังจะเข้าสู่ประเด็นแล้ว ที่จริงตอนที่รู้ว่าเป่หมิงโม่มา ก็คาดเดาถึงเรื่องที่ว่าได้ ในใจจึงมีการเตรียมรับมือไว้แต่เนิ่นๆแล้ว
“หัวหน้าเป่หมิง ผมมาที่นี่ก็แค่ทำตามหน้าที่ คุณก็รู้ว่าตอนนี้ผมก็เป็นเพียงแค่ผู้ช่วยตัวเล็กๆคนหนึ่ง ประธานกู้สั่งอะไรมา ผมก็ทำอย่างนั้น วันนี้ผมมาทักทายคุณ หวังว่าหลังจากนี้จะให้ความร่วมมือในการทำงานกับผมนะ”
เป่หมิงยี่เฟิงรู้สึกว่าน่าขันเล็กน้อย “อารอง ดูคุณอาพูดเข้าสิ ถึงคุณจะไม่ได้คิดว่าพวกเราเป็นญาติ แต่พวกเราก็ยังคงถือว่าคุณอาเป็นญาติอยู่ดี ดังนั้นในเรื่องการทำงาน คุณอาวางใจได้ ผมจะให้ความร่วมมือกับคุณอาเป็นอย่างดี ใช่แล้ว ฝากคุณอาไปบอกกับประธานกู้หน่อยนะครับว่า ผมจะหาเวลาไปพูดคุยกับเธอเป็นการส่วนตัว”
นี่เป็นการยั่วยุต่อหน้าเขาไม่ใช่หรือ จงใจเอ่ยถึงกู้ฮอนต่อหน้าเขา ทั้งยังจะนัดเธอออกไปเป็นการส่วนตัวอีก นี่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เห็นเป่หมิงโม่อยู่ในสายตา
เพียงแต่เป่หมิงโม่แสดงออกต่อการกระทำแบบนี้ในวันนี้ผิดแปลกไปจากเดิม เขาไม่ได้มีโทสะหรือว่าแสดงความไม่พอใจของตัวเองออกมาต่อวิธีการของเขา
เขาเพียงแค่พยักหน้า “ได้สิหัวหน้าเป่หมิง ผมจะส่งต่อคำพูดของคุณให้กับกู้ฮอน เพียงแต่ผมจะขอเตือนคุณสักหน่อย ยากที่จะบอกได้ว่าเธอจะตกลงหรือไม่ ถึงอย่างไรเธอก็ต้องแบ่งเวลาไปดูลูกๆทั้งสามคนของผมกับเธอด้วย คุณก็รู้ว่า เฉิงเด็กคนนี้ถูกผมเลี้ยงมาจนโต ถือว่าค่อนข้างจะเชื่อฟัง แต่หยางนั้นไม่เหมือนกัน ซุกซนเอาแต่ใจ นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว ผมกับเธอก็ยังมีลูกสาวคนเล็กที่ต้องพึ่งพาเธออยู่มากด้วยอีกคนหนึ่ง”
แต่ละประโยคของเป่หมิงโม่นั้นแทบจะเป็นเรื่องเล็กๆที่เกิดขึ้นภายในชีวิตประจำวันของครอบครัว แต่ก็กระแทกเข้ากับหัวใจของเขาอย่างแรง ทั้งยังเตือนเขาอยู่ตลอดเวลาด้วยว่า นายอย่าคิดมีความหวังลมๆแล้งๆอะไรกับกู้ฮอนอีก นายกับเธอเป็นคนสองคนที่ถูกกำหนดให้พลาดโอกาสนั้นไปแล้ว ส่วนฉัน เป่หมิงโม่ ไม่ว่าจะอย่างไร ระหว่างฉันกับเธอก็ยังมีลูกอีกสามคน ความสัมพันธ์แบบนี้นั้นไม่สามารถพังทลายได้ง่ายๆ
เป่หมิงยี่เฟิงจะไม่เข้าใจความคิดแบบนี้ได้อย่างไร แน่นอนว่านี่ก็เป็นสิ่งที่เขาเจ็บใจมากที่สุด เขามักจะรู้สึกว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรมกับเขา
เห็นได้ชัดว่าตัวเองกับกู้ฮอนคบกันมาก่อน อีกทั้งยังเคยเป็นคนรักกันมาก่อนด้วย แต่ทำไมเป่หมิงโม่ถึงได้ปรากฏตัวออกมาในตอนนั้น แย่งเอากู้ฮอนไปจากมือของตัวเอง
ถึงเป็นแบบนั้นก็ช่างมันเถอะ แต่ระหว่างพวกเขายังจะมีลูกด้วยกันอีกสามคน
***
สำหรับเป่หมิงยี่เฟิงแล้ว การที่กู้ฮอนถูกเป่หมิงโม่แย่งไป เขาสามารถคิดหาวิธีแย่งเธอกลับมาไว้ในมือตัวเองได้อีก
แต่ว่าตอนนี้มีเด็กๆเพิ่มมาอีกสามคน นี่เป็นกำแพงสูงที่กั้นระหว่างเขากับกู้ฮอนเอาไว้จนไม่มีทางบินข้ามไปได้ ส่วนเป่หมิงโม่นั้นกลับถูกรวมเอาไว้อยู่ข้างเดียวกับกู้ฮอน
เป่หมิงยี่เฟิงมองใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มของเป่หมิงโม่ นั่นเป็นการประชดประชันและเยาะเย้ยเขาอย่างหนึ่ง บอกเขาว่าอย่าคิดเพ้อฝันอะไรกับกู้ฮอน
แต่เขาไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้ เขารู้เป้าหมายตัวเองชัดเจนว่ากลับมาบริษัทเป่หมิงในครั้งนี้เพื่ออะไร ไม่ว่าระหว่างนั้นจะเกิดเรื่องผิดพลาดอะไร แต่ขอเพียงแค่ผลลัพธ์ในตอนท้ายเป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการก็พอแล้ว นี่ก็คือการทำเรื่องใหญ่ จะไม่ยึดติดกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้
“อารอง คุณอาไม่ต้องกังวลในเรื่องพวกนี้แทนเธอหรอกครับ ถึงอย่างไรผมกับเธอก็ได้ผ่านช่วงเวลาอันงดงามมาด้วยกันช่วงหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นเด็กทั้งสามคนก็เป็นน้องชายของผมด้วย การที่ผมจะช่วยเหลือเธอสักครั้งก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลนะ”
เมื่อเห็นว่าเป่หมิงยี่เฟิงไม่สนใจความเห็นนี้ อย่างนั้นก็ทำได้แค่คอยดูแล้ว
*
ฉิงฮัวหยิบการ์ดเชิญยื่นให้กู้ฮอนสองสามใบ มองที่ลายเซ็นบริเวณมุมขวาด้านล่างแล้วก็สามารถพูดได้ว่าเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตา
ไม่ว่าจะเข้าร่วมงานไหนก็จำเป็นต้องล่วงเกินที่เหลืออีกหลายคน นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับเรื่องยุ่งยากแบบนี้
กู้ฮอนเห็นสีหน้าไม่น่าดูของฉิงฮัวก็รู้ว่าพบเจอกับเรื่องยุ่งยากครั้งใหญ่แล้ว จึงมีสีหน้าลำบากใจเหมือนกับฉิงฮัว ในใจก็ด่าเป่หมิงโม่ไม่หยุดอย่างอดไม่ได้ สรุปสั้นๆ ตอนนี้ตัวเองพบกับปัญหายุ่งยากเข้าแล้ว ล้วนเป็นเขาที่นำพามาให้ตัวเองทั้งนั้น
ส่วนเขาในตอนนี้กลับเป็นอิสระอยู่ด้านนอกนั่น…….
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ในมือของฉิงฮัวก็เหลือการ์ดเชิญเพียงแค่สองใบ “คุณผู้หญิง ผมเลือกการ์ดเชิญจนเหลือสองใบสุดท้ายโดยอาศัยประสบการณ์ที่ผมติดตามเจ้านายมาหลายปี เพียงแต่ว่า…….”
“เพียงแต่ว่าทำไมหรือ ลองเอามาให้ฉันดูก่อน” กู้ฮอนที่กำลังปวดหัว ในที่สุดก็ได้ยินข่าวที่ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้น
ฉิวฮัวยื่นการ์ดสองใบที่เลือกมาในตอนท้ายให้กับกู้ฮอน
กู้ฮอนรับมาดูแล้ว ใบหนึ่งเป็นการ์ดเชิญที่มาจากหน่วยงานรัฐหน่วยหนึ่ง อีกใบหนึ่งเป็นของบริษัทเซิ่งถังนานาชิตที่รักษาความสัมพันธ์อันดีงามกับบริษัทเป่หมิงมาโดยตลอด
“ฉิงฮัว เมื่อครู่นี้นายยังพูดไม่จบเลย เพียงแต่อะไรหรือ”
ฉิงฮัวเผยสีหน้าลำบากใจออกมา “คุณผู้หญิง คุณก็เห็นแล้ว การ์ดเชิญทั้งสองใบนี้ ใบหนึ่งเป็นของภาครัฐ อีกใบหนึ่งเป็นแวดวงธุรกิจ เป็นทั้งสองทางที่พวกเราไม่สามารถล่วงเกินได้เลยแม้แต่น้อย คุณระวังเรื่องเวลาสักหน่อย ถ้าหากว่าสามารถจัดการแยกคนละวันได้ล่ะก็คงจะไม่เหมือนกับในตอนนี้ที่ไม่มีหนทางอื่นเลย แต่พวกเขานัดวันเดียวกันพอดี ทั้งยังเป็นเวลาใกล้เคียงกันด้วย นี่ถึงจะเป็นปัญหาที่ยากมากที่สุด”
*
เป่หมิงโม่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ตอไม้ มือปัดเศษฝุ่นที่อยู่บนร่างกาย ที่จริงแล้วห้องทำงานของเป่หมิงยี่เฟิงนั้นทำความสะอาดจนไม่มีฝุ่นเหลือแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังคงรู้สึกว่าที่นี่สกปรกอยู่ดี
เป่หมิงยี่เฟิงก็ลุกขึ้นตาม “ทำไม อารองไม่นั่งต่อที่นี่อีกหน่อยหรือครับ”
เป่หมิงโม่หันหน้าไปมาเป่หมิงยี่เฟิง “ไม่เสียเวลาอยู่ที่ของคุณต่อแล้ว หน้าที่ของผมในตอนนี้มีขอบเขต ยังเหลืออีกหลายแผนกที่ผมจำเป็นต้องไปเยี่ยม”
“อ่อ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ผมก็ไม่ดึงรั้งเอาไว้แล้ว” เป่หมิงยี่เฟิงเอ่ย เดินตามอยู่ด้านหลังของเป่หมิงโม่ ส่งเขาไปถึงหน้าประตูตอนที่เป่หมิงโม่จะออกจากประตูไปนั้น เขาก็หยุดเท้าและหันกลับมาอีกครั้ง