บทที่ 962 หัวใจเต้นเร็ว 120 ครั้ง / นาที
กู้ฮอนแอบอยู่ในรถ กลั้นหายใจ แอบฟังถังเทียนจื้อคุยโทรศัพท์ แม้ว่าจะไม่มีวิธีที่จะได้ยินบทสนทนาทั้งหมด แต่เนื้อหาก่อนหน้านี้ถือได้ว่าชัดเจนแจ่มแจ้ง
โดยเฉพาะข่าวคราวที่เธอได้รับรู้มาจากหยินปู้ฝัน นั้นก็มากพอที่จะยืนยันได้ว่าเป็นพวกเขาที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมในการสร้างกลอุบายลับหลัง อุบายนี้โหดเหี้ยมมากจริงๆ…….
เสียงคุยโทรศัพท์ของถังเทียนจื้อเบาลงเรื่อยๆ เขาน่าจะเดินไปทางลิฟต์โดยสารแล้ว ตอนที่กู้ฮอนกำลังจะหมุนกระจกรถขึ้นนั้น โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นมากะทันหัน
ภายใต้ลานจอดรถที่สงบเงียบแห่งนี้ เสียงโทรศัพท์ที่จู่ๆก็ดังขึ้นมานั้นมีพลังสั่นไปในทุกพื้นที่ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ถัดมาก็รีบเปิดกระเป๋าใบเล็กเพื่อปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ
เสียงเพลงเรียกเข้าดังได้สิบกว่าวินาทีแล้วก็ดับไป
เธอรีบหมุนบานหน้าต่างรถขึ้น จากนั้นก็รับโทรศัพท์
เมื่อปิดบานหน้าต่างรถแล้ว แม้ว่าจะมีคนยืนอยู่ข้างๆ แต่ก็ยากที่จะได้ยินว่าด้านในรถพูดอะไร เพราะความทึบของรถคันนี้ไม่เลวเลย
โทรศัพท์สายนี้เป็นฉิงฮัวที่โทรมาแจ้งว่าวันนี้เธอมีความจำเป็นต้องเข้าร่วมการประชุมที่สำคัญอีก นี่เป็นรายละเอียดตารางงานที่เขาต้องรายงานทุกวัน
กู้ฮอนพยักหน้ารับคำทั้งหมด หัวใจของเธอในตอนนี้เต้นเร็วมาก กลัวว่าเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์นี้จะถูกถังเทียนจื้อพบเข้า
เพราะเธอรู้สึกว่าตอนนี้พวกเขาร้ายกาจมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ พูดได้เลยว่าพวกเขาสามารถใช้ทุกวิถีทาง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกลมาเพื่อจัดการกับเป่หมิงโม่ ถ้าหากว่าถูกเขาพบเข้า ยากจะบอกได้ว่าพวกเขาจะใช้วิธีการอะไรที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่านี้หรือไม่
หลังจากที่ฉิงฮัวรายงานตารางงานภายในวันนี้เรียบร้อยแล้วก็ถามสถานการณ์ของเป่หมิงโม่อีกเล็กน้อย กู้ฮอนล้วนตอบคำถามทั้งหมด
ตอนนี้ภายในบริษัทเป่หมิง บางทีอาจจะมีเพียงแค่ฉิงฮัวคนเดียวที่สามารถเชื่อได้ทั้งหมด
คุยโทรศัพท์กับฉิงฮัวเรียบร้อยแล้ว กู้ฮอนก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก หลังจากที่เธอหย่อนโทรศัพท์มือลงไปให้กระเป๋าไปเล็กแล้วก็สังเกตมองไปรอบด้าน ไม่เห็นเงาใครแม้แต่ครึ่งคน
ถังเทียนจื้อน่าจะอยู่ในลิฟต์โดยสารแล้วล่ะมั้ง
เธอคิด แต่ก็ยังเปิดประตูรถอย่างเบาๆมือ ฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกอยู่เงียบๆครู่หนึ่ง รอบด้านเงียบสงัด มีเพียงแค่เสียงหึ่งๆเบาๆจากพัดลมระบายอากาศ
ในที่สุดก็สามารถโล่งอกได้จริงๆแล้ว เธอลงจากรถอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินมุ่งหน้าไปยังลิฟต์โดยสาร
“ก๊อกๆๆ……..” ภายในลานจอดรถมีเสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นติดๆกันขึ้นมาในทันที
ตอนที่ใกล้จะถึงลิฟต์โดยสารนั้นก็มีเงาร่างของคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหน้ากู้ฮอนอย่างกะทันหัน
เดิมเธอที่ตึงเครียดอยู่แล้วเล็กน้อย เมื่อคนคนนี้ปรากฏตัวขึ้นก็ทำให้เธอตกใจอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย
ร่างของเธอสะดุ้งอย่างแรง เท้าก็หยุดตามลงมา ทั้งยังส่งเสียงร้องออกมาด้วย ส่วนกระเป๋าที่ถืออยู่ในมือนั้นกลับร่วงลงบนพื้น
ภายในระยะเวลาสองสามวินาทีสั้นๆนี้ เธอตระหนักรู้แล้วว่าคนที่ขวางอยู่เบื้องหน้าตัวเองคือถังเทียนจื้อ
เขายืนขวางระหว่างกู้ฮอนและลิฟต์โดยสารด้วยท่าทางสบายอารมณ์ ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆอันคุ้นเคยประดับอยู่ มือหนึ่งสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกง อีกมือหนึ่งคีบบุหรี่ที่จุดไฟอยู่มวนหนึ่ง
“คุณ คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” กู้ฮอนสงบสติอารมณ์เล็กน้อยพลางเอ่ยถาม
ถังเทียนจื้อมองเธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็สูบบุหรี่ครั้งหนึ่ง ยืดคอพ่นควันเบาบางออกมาเบาๆ “ประธานกู้ ที่นี่เป็นสถานที่ทำงานของผม ทำไมผมจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ล่ะครับ”
กู้ฮอนฝืนทำท่าทางสงบนิ่ง เพื่ออำพรางอาการตื่นตระหนกของตัวเอง เลียนแบบสีหน้าท่าทางของเป่หมิงโม่ “เชิญคุณขยับออกไปด้วย”
แต่ถังเทียนจื้อก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อน หลังจากที่สูบบุหรี่ครั้งที่สอง ก็ทิ้งบุหรี่ที่เหลือเพียงแค่ครึ่งมวนลงถังใส่บุหรี่ “ประธานกู้ ผมมีเรื่องอยากจะไปปรึกษากับคุณด้านนอกก่อน”
***
กู้ฮอนรู้ว่า ตอนนี้ถ้าหากว่าไม่ทำตามคำขอของถังเทียนจื้อ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะสร้างแผนชั่วร้ายอะไรออกมาอีก
อย่างไรก็ตาม เธอสามารถยืนยันได้ว่า เขาจะไม่ทำอะไรกับตัวเอง หรือไม่ก็ในเวลาเดียวกันที่ไปกับเขา ก็ยังสามารถเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาได้อีกด้วยว่าเพราะอะไร บางทีอาจจะสามารถโน้มน้าวเขาได้
“อย่างนั้นฉันโทรศัพท์บอกให้ฉิงฮัวจัดการงานไปก่อนครู่หนึ่ง” กู้ฮอนพูด หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาโบกไปมาข้างหน้าถังเทียนจื้อ
ถังเทียนจื้อพยักหน้า เรื่องมาจนถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกแล้ว
“ฮัลโหล ฉันมีธุระจำเป็นต้องออกไปจัดการชั่วครู่ มีเรื่องราวอะไรในบริษัท คุณก็ช่วยจัดการแทนฉันไปก่อนนะ” เอ่ยจบแล้วก็ตัดสายโทรศัพท์
เมื่อเก็บโทรศัพท์แล้ว เธอก็มองไปที่ถังเทียนจื้อ “เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ จะไปที่ไหนนั้นคุณเป็นคนเลือก”
ถังเทียนจื้อยิ้มบางๆ พาเธอเดินไปถึงรถของตัวเอง จากนั้นก็เปิดประตูที่นั่งข้างคนขับให้กับเธอ
*
เขาไม่ได้พาเธอไปสถานที่ใกล้มากนัก ห่างจากบริษัทเป่หมิงเพียงแค่สองช่วยถนน
รถยนต์จอดลงที่หน้าประตูร้านกาแฟสไตล์ยุโรปแห่งหนึ่ง
พวกเขาเดินเข้าไปแล้วก็เลือกนั่งห้องส่วนตัวที่ติดกับหน้าต่าง ที่แห่งนี้สามารถดื่มกาแฟไป มองดูทิวทัศน์บนท้องถนนที่คล้ายคลึงกับเมืองใหญ่ระหว่างประเทศเมืองอื่นๆได้
แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ภายในห้องก็ยังคงเงียบเป็นอย่างมาก เสียงเอะอะจากภายนอกนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อบรรยากาศด้านในเลยแม้แต่น้อย
บนผ้าปูโต๊ะสีครีมปักลายดอกไม้สีอ่อนมีเตาขนาดเล็กสไตล์ยุโรปเช่นเดียวกันวางอยู่ใบหนึ่ง
บนเตานั้นมีกาใส่กาแฟใบหนึ่ง ของเหลวสีดำที่อยู่ภายในนั้นเดือดปุดๆไม่หยุดภายใต้ไฟอ่อนๆที่อยู่ข้างใต้ ทั้งยังมีไอน้ำสีขาวลอยกรุ่นออกมาจากปากกา รวมถึงกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นที่ปรุงเรียบร้อยแล้ว
ถังเทียนจื้อยกกาขึ้นมาเทใส่แก้วของกู้ฮอนและตัวเองจนเต็ม
“เติมน้ำตาลหน่อยไหม” เขาดันถ้วยเซรามิคสีขาวที่ใส่น้ำตาลมาให้กู้ฮอนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเบาๆ
“ขอบคุณ ฉันไม่ชินกับการใส่น้ำตาลเพิ่ม”
ในมือของกู้ฮอนถือช้อนคนไปในแก้วกาแฟเบาๆ ฟองอากาศถูกคนกลายเป็นน้ำวนเล็กๆ
ถังเทียนจื้อรู้สึกเหมือนกับว่าถูกไม่ให้เกียรติ ใบหน้าตึง คิ้วกระตุก จากนั้นก็ต่างคนต่างดื่มกาแฟคนละอึกหลังจากที่คนให้เข้ากันแล้ว
“กาแฟที่นี่รสชาติไม่เลวเลย ฮอน คุณลองชิมดู”
กู้ฮอนในตอนนี้จะมีกะจิตกะใจมาชิมกาแฟได้อย่างไรกัน เธอวางช้อนในมือไว้ด้านข้าง “คุณมีเรื่องอะไรก็พูดออกมาตรงๆเถอะ”
ถังเทียนจื้อก็วางแก้วกาแฟลงบนจานรองเบาๆ “คุณได้ยินผมคุยโทรศัพท์ในลานจอดรถแล้วใช่ไหม”
คำถามของเขาตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก ตรงไปตรงมาจนทำให้ในใจของกู้ฮอนรู้สึกไม่ทันคาดคิดเล็กน้อย
เพียงแต่ว่าเธอก็พยักหน้าอย่างเยือกเย็น “ฉันได้ยินแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ได้ยินทั้งหมด
คำตอบของเธอก็ตรงไปตรงมาอย่างมากเช่นเดียวกัน
“ฮอน ไม่ว่าคุณจะได้ยินไปมากเท่าไร ผมหวังว่าทางที่ดีคุณจะทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินเข้าใจหรือไม่ นี่ไม่ใช่ความเห็นของผมคนเดียว แต่เป็นความคิดของอาจารย์ด้วย” รอยยิ้มบนใบหน้าของถังเทียนจื้อหายไป เปลี่ยนเป็นจริงจังแทน
“ทำไมฉันจะต้องฟังพวกคุณด้วย รู้หรือไม่ว่า ตอนนี้พวกคุณกำลังช่วยคนเลวก่อกรรมทำชั่วอยู่ ผู้อำนวยการโกวคนนั้นไม่ใช่คนดีอะไร ถ้าหากเป่หมิงโม่ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นล่ะก็ ฉันคงจะ……..” กู้ฮอนพูดไปพูดมาก็รู้สึกโกรธมาก
โดยเฉพาะหลี่เชินที่เรียกได้ว่าเป็นบิดา ลูกสาวของตัวเองเกือบจะเสียเปรียบแล้ว เขายังทำแบบนี้อีก ช่างไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ
***
“ผมกับอาจารย์เข้าใจเรื่องที่คุณได้ประสบพบเจอมา อย่างไรก็ตามหลังจากเรื่องนี้แล้ว พวกเราจะต้องระบายความโกรธให้กับคุณอย่างแน่นอน แต่ว่าในครั้งนี้ เป้าหมายแรกก็คือไม่ให้เป่หมิงโม่พลิกกลับขึ้นมาได้อีก อาจารย์รอโอกาสนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว”
“ตามที่คุณพูดมา นอกจากแก้แค้นแล้วเขาไม่มีเรื่องอย่างอื่นให้ทำหรือ ตอนแรกศาลก็ตัดสินยืนยันความถูกต้องไปแล้วไม่ใช่หรือว่า การตายของคุณแม่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเป่หมิงโม่เลย อย่างนั้นทำไมพวกคุณยังกัดเขาไม่ยอมปล่อยไปอีก การแก้แค้นไม่เลิกไม่ราแบบนี้มีความหมายอะไรกันหรือ” กู้ฮอนนั้นถูกทำให้มีโทสะจนไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ช่างเป็นคนสองคนที่ดื้อรั้นหัวแข็งจริงๆ
“ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นอย่างไร น้ำแกงถ้วยนั้นก็ส่งผ่านมือเขาไปไม่ใช่หรือ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นเจียงฮุ่ยซิน นั่นก็เป็นคนของตระกูลเป่หมิงไม่ใช่หรือ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องรองลงไป ในปีที่คุณหายไปนั้นถึงจะเป็นปมในใจของอาจารย์ อีกทั้งปมในใจนี้ก็เป็นพวกเขาที่สร้างขึ้นมา”
ได้ฟังถึงตรงนี้แล้ว กู้ฮอนก็หัวเราะเสียงเย็นใส่เขา “ตรรกะแบบนี้ของพวกคุณนั้น อยากจะลงโทษใคร ย่อมมีเหตุผลหรือหาข้ออ้างได้เสมอจริงๆ คนในตระกูลเป่หมิงมีมากมายทำไมจะต้องจ้องเล่นงานเป่หมิงโม่คนเดียวด้วย อีกอย่างฉันจะบอกกับคุณให้ชัดเจนอีกครั้งว่า การหายตัวไปของฉันในตอนนั้นไม่ใช่ความผิดพลาดของคุณป้าหวีหรูเจี๋ย เห็นแก่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรายังไม่ถึงขั้นตึงเครียด ฉันจะบอกกับคุณให้ชัดเจนว่า ฉันจะต้องเข้าไปดูแลจัดการเรื่องของเป่หมิงโม่อย่างแน่นอน พวกคุณมีความสามารถในการห้ามไม่ให้ทนายความคนอื่นๆรับทำคดีความใช่ไหม ฉันก็เป็นทนายความคนหนึ่ง คนอื่นไม่รับ ฉันรับเอง!”
ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนี้ เมื่อถูกความเคียดแค้นบังตา ก็ยากที่จะดิ้นรนหลุดออกมาได้ ถังเทียนจื้อก็เป็นเช่นนั้น เขายังคงแสดงท่าทางไม่ใส่ออกมา เหมือนกับว่าคนที่หัวแข็งดื้อรั้นก็คือกู้ฮอน
“ฮอน คุณถูกพวกเขาทำให้สับสนแล้ว คุณก็ไม่ลองคิดดูบ้างล่ะว่าทำไมคุณแม่ของเขาหวีหรูเจี๋ยถึงได้ทำดีกับคุณขนาดนั้น ยังมีเป่หมิงโม่อีก รู้ทั้งรู้ว่าคุณไม่มีความสามารถนั้น ทำไมถึงยังให้คุณเป็นประธานบริษัทอีก คุณก็รู้ว่าตอนนี้ภายในบริษัทเป่หมิงนั้นแตกแยกแล้ว แน่นอนว่าเขากลัวว่าบริษัทเป่หมิงจะพังในมือเขา ส่วนคุณกลับกลายเป็นแพะรับบาปที่ดีที่สุดให้กับเขา……..”
“พอได้แล้ว! นี่มันเป็นคำพูดไร้สาระอะไรกัน ความวุ่นวายภายในบริษัทเป่หมิงก็ถูกพวกคุณสร้างขึ้นมาไม่ใช่หรือ ยังจะมาเอ่ยตำหนิคนอื่นโดยไม่มีความรู้สึกละอายแม้แต่น้อยอีก ฉันจะบอกคุณให้นะว่า ยิ่งทำแบบนี้ก็จะยิ่งทำให้ฉันผลักพวกคุณออกไปให้ไกล ถึงตอนนั้นทุกคนล้วนมองหน้ากันไม่ติด ก็อย่ามาโทษว่าฉันเกรี้ยวกราดไม่ไว้หน้าใครก็แล้วกัน”
เธอพูดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเวลา “ฉันยังมีเรื่องอื่นต้องไปทำอีก คงไม่อยู่พูดคุยไร้สาระกับคุณที่นี่ต่อไปแล้ว สุดท้ายนี่ฝากคุณไปบอกคนคนนั้นด้วยว่า คนที่ชั่วร้ายย่อมแพ้ภัยของตนเอง”
คราวนี้ทะเลาะกันจนแตกหักไปข้าง ตอนนี้ลูกธนูถูกปล่อยออกไปแล้ว ไม่มีหนทางให้ถอยกลับ สิ่งที่ต้องเผชิญต่อไปก็น่าจะเป็นการสู้รบในสงครามอันดุเดือดครั้งหนึ่ง
อย่างไรสิ่งเหล่านี้ช้าเร็วก็ต้องเผชิญ ถ้าหากว่าตัวเองเป็นแพะรับบาปจริงๆล่ะก็ อย่างนั้นก็ไม่ใช่แพะรับบาปแทนเป่หมิงโม่ แต่เป็นแพะรับบาปของหลี่เชินที่ทิ้งคุณแม่ไปนานแล้วคนนั้นต่างหาก
เขาสร้างเรื่องวุ่นวายออกมามากมายเกินไป ในฐานะที่เป็นลูกสาวมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขา ก็ทำได้เพียงแค่แบกรับโทษที่เขาก่อไว้บนร่างของตัวเอง อย่างไรเขาก็มอบชีวิตให้กับตัวเอง
ระหว่างทางกลับไป ในใจของกู้ฮอนสับสนวุ่นวายมากจริงๆ สำหรับหนทางในภายหลังจะต้องเดินต่อไปอย่างไรนั้น โดยเฉพาะหยินปู้ฝันเคยบอกว่า โอกาสในการชนะนั้นเป็นศูนย์…….
ถึงบริษัทเป่หมิงแล้ว กู้ฮอนก็ลงจากรถแท็กซี่ เงยหน้าขึ้นมองอาคารก่อสร้างอันสูงตระหง่านหลังนี้ ตัวเองจะควบคุมดูแลมันอย่างไรดีในสถานการณ์ที่ไม่มีเขา..