บทที่ 961 รับรู้ความรู้สึกได้มากมาย
เป่หมิงโม่ ไอ้หมอนี่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เอาใจใส่ลูกๆเท่าไรนัก แต่ของขวัญที่มอบให้กับกลับเหมาะสมกับนิสัยและความชื่นชอบของพวกเขาเป็นอย่างมาก ไม่รู้จริงๆว่าเขารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร ดูท่าว่าตัวเองจะมีอคติต่อการคงอยู่ของเขามากเกินไปมาโดยตลอด ที่จริงแล้วเขาก็ยังคงเป็นคุณพ่อที่รักลูกมากคนหนึ่ง แม้ว่าตัวเองจะไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมากต่อวิธีการที่เขาใช้
***
วันรุ่งขึ้น กู้ฮอนไปพบกับเป่หมิงโม่ที่สถานีตำรวจอีกครั้งหนึ่ง
สถานที่ยังคงเป็นห้องสอบปากคำที่พวกเขาได้พบกันเมื่อวานนี้ ในครั้งนี้เธอไม่ได้มาเพื่อเยี่ยมเขาเพียงเท่านั้น แต่ยังนำเสื้อผ้ามาให้เขาผลัดเปลี่ยนและของกินมาให้เขาเป็นพิเศษด้วย
เป่หมิงโม่มองสิ่งของที่ถูกนำมาแล้วก็ยิ้มน้อยๆให้เธอ “ทำไม สิ่งของเหล่านี้เตรียมไว้เพื่อให้ผมอยู่ที่นี่ต่อไปหรือ”
กู้ฮอนรู้ว่าเขากำลังล้อเล่น ถึงตอนนี้แล้ว เขาก็ยังคงมีจิตใจที่สบายอารมณ์อยู่ได้อีก แต่ว่าตัวเองกลับหัวเราะไม่ออก กระทั่งแสร้งฝืนรอยยิ้มออกมาก็ยังทำไมได้
สำหรับเป่หมิงโม่ เขาไม่ต้องการให้คนปิดบังหรือโอ๋เขาแบบนั้น มีอะไรก็พูดอย่างนั้น สำหรับเขาการเอ่ยอย่างตรงไปตรงมานั้นเหมาะสมมากกว่า
“เมื่อวานนี้ฉันกับฉิงฮัวไปหาทนายความมามากมาย ผลลัพธ์คือพวกเขาล้วน……สิ่งที่ฉันเอามาคือเสื้อผ้าสองสามชุดให้คุณผลัดเปลี่ยนและก็มีอาหารอีกเล็กน้อย ล้วนเป็นสิ่งที่ฉิงฮัวพาฉันไปหยิบจากบ้านใหญ่มาให้คุณ” กู้ฮอนก้มหน้า ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองท่าทางความรู้สึกของเขาในตอนนี้ เธอมักจะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองติดค้างอะไรเขา ที่จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ
เป่หมิงโม่เลิกคิ้วเล็กน้อย ดูท่าทางของกู้ฮอนแล้วรู้สึกปวดใจอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าเขายังคงรักษาอากัปกิริยาในแรกเริ่มเอาไว้ “กู้ฮอน สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของผม คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกโทษตัวเอง”
เขาเอ่ยพลางยื่นมือออกไปจับคางของเธอเอาไว้ค่อยๆเชยขึ้นเบาๆ สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“กู้ฮอน มองผม” เสียงของเขานุ่มนวลอ่อนโยนมาก น้ำเสียงเหมือนกับในคืนใดคืนหนึ่งที่พวกเขาโอบกอดกันเอาไว้
กู้ฮอนเหลือบนัยน์ตามองขึ้นตาม หน่วยตานั้นชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาแล้ว
“คุณรู้ไหมว่าท่าทางของคุณในตอนนี้ทำให้ผมมองแล้วเจ็บปวดมาก อย่าทำเหมือนกับว่าเป็นการจากลาชั่วนิรันดร์ได้หรือไม่ เล่าให้ผมฟังหน่อยว่าบ้านใหญ่ของตระกูลเป่หมิงมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ลูกๆยังน่ารักเชื่อฟังสินะ”
เป่หมิงโม่ใช้มืออีกข้างหนึ่งซับหยาดน้ำตาของเธอ
ครั้งนี้ถือได้ว่าเขาโดนจับเป็นครั้งที่สองแล้ว สองครั้งแล้วที่ตัวเองถูกลิดรอนอิสระไป ดังนั้นจึงมีความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิมเป็นอย่างมาก
ถ้าหากความรู้สึกครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้คือความผ่อนคลาย อย่างนั้นความรู้สึกที่สัมผัสได้ในครั้งนี้ก็คืออารมณ์ความรู้สึกที่มากกว่าเดิม แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่หนึ่งวันกว่าๆ แต่นับจากที่กู้ฮอนมาเยี่ยมตัวเองติดกันสองครั้งก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ถูกคนเป็นห่วงได้อย่างลึกซึ้ง
ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้ถูกคนเป็นห่วงน้อยเสียเท่าไร แต่ว่าตอนนั้นเขาเหมือนกับถูกผีครอบงำความคิดสติปัญญา นอกจากแก้แค้นความเชื่อหนึ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในหัวสมองแล้ว สิ่งอื่นๆล้วนถูกโยนทิ้งไป
การปล่อยวางอำนาจทำให้เป่หมิงโม่รู้สึกว่าการปล่อยวางเป็นเรื่องที่ทำให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลาย ความรู้สึกยินดีปรีดาเช่นนี้มีมากยิ่งกว่าตอนที่ตัวเองได้รับช่วงต่อในการดูแลบริษัทเป่หมิงเสียอีก ความรู้สึกปีติยินดีที่ถาโถมเข้ามาสู่ส่วนที่ลึกที่สุดภายในจิตใจของตัวเองนั้นมาจากกู้ฮอน และยังมีจิ่วจิ่ว ลูกสาวของตัวเองอีกคน
ที่แท้ชั่วชีวิตนี้นอกจากการแก้แค้นและธุรกิจแล้ว ก็ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องการตัวเองมากกว่า นั่นก็คือครอบครัว
แต่ทว่าตัวเองในวันนี้จะเอาคุณสมบัติอะไรไปพูดคุยเรื่องนี้กันล่ะ
กู้ฮอนก็มองเป่หมิงโม่เช่นเดียวกัน ภายในแววตาของเขาไม่มีความเย็นชาที่เสียดแทงเข้ามาในกระดูกอีกแล้ว แต่เป็น ‘ความอบอุ่น’ ที่เธอสามารถรู้สึกถึงมันได้
“ลูกๆล้วนน่ารักเชื่อฟัง พวกเขาชื่นชอบของขวัญที่คุณมอบให้พวกเขามาก โดยเฉพาะจิ่วจิ่ว เธอกอดตุ๊กตาที่คุณมอบให้เธอไว้ทั้งคืน” เมื่อพูดถึงลูก สีหน้าแห่งความสุขและความปีติยินดีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธออีกครั้ง
***
เมื่อสนทนาถึงลูกๆ ไม่ว่าจะเป็นกู้ฮอนหรือเป่หมิงโม่ล้วนเหมือนกับว่าถูกลูกรักทั้งสามคนพาออกจากวังวนแห่งความทุกข์ที่ทำให้คนหายใจไม่ออกอย่างน่าอึดอัด
กระทั่งเมื่อกู้ฮอนเล่าถึงจุดที่สนุกสนาน เป่หมิงโม่ก็จะหัวเราะตามเธอออกมา ถ้าหากว่าในตอนนี้ให้เป่หมิงโม่ตัดสินใจเลือกว่าได้รับอิสระใหม่อีกครั้งหรือว่าเป็นแบบในตอนนี้ อย่างนั้นเขาก็จะตัดสินใจเลือกได้อย่างไม่ลังเลเลย เพราะว่าที่นี่สามารถพูดคุยเรื่องลูกๆกับกู้ฮอนได้อย่างสนิทสนม และสามารถหัวเราะให้กับเรื่องสนุกสนานที่พวกเขากระทำออกมาได้อย่างเบิกบานใจ
เมื่อคุยเรื่องลูกๆจบแล้ว กู้ฮอนก็เล่าเรื่องเมื่อวานที่ตัวเองไปบ้านใหญ่ของตระกูลเป่หมิงกับฉิงฮัว บ้านใหญ่ของตระกูลเป่หมิงในตอนนี้เกือบจะใช้คำว่า ‘เมื่อผู้คนลาจาก บ้านก็รกร้างว่างเปล่า’ มาอธิบายได้แล้ว
นับตั้งแต่เจียงฮุ่ยซินถูกจับ เป่หมิงยันก็เลื่อนตารางหนังทั้งหมดแล้วอยู่ที่บ้านใหญ่เพียงคนเดียว เรื่องที่ทำทุกวันก็คือไปอยู่เป็นเพื่อนเจียงฮุ่ยซินที่คุกชั่วโมงสองชั่วโมง
สำหรับคนรับใช้คนอื่นๆนั้นมีจำนวนมากที่ลาออก ไม่ทำงานแล้ว นี่ไม่ใช่เพราะว่าตระกูลเป่หมิงโม่ไม่สามารถจ่ายเงินค่าทำงานได้ แต่เป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าบ้านใหญ่นั้นไม่เป็นมงคลอย่างเห็นได้ชัด
อุบัติที่เหตุที่พรากชีวิตคุณท่านเป่หมิงไป ท่านนายเป่หมิงที่ถูกจับเข้าคุก สุดท้ายแม้กระทั่งผู้จัดการดูแลอย่างเป่หมิงโม่ก็หายตัวไปเช่นกัน…….
ถ้าหากว่ายังอาศัยอยู่ที่แห่งนี้ต่อไปแล้วล่ะก็ ใครจะรู้ว่าจะมีเรื่องไม่ดีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ นั่นก็ไม่แน่นอน สรุปสั้นๆ การหนีคือกลยุทธ์อันเฉียบขาด ตัวเองจะได้ไม่ต้องถูกลากเข้าไปข้องเกี่ยวอะไรด้วย
ตอนที่กู้ฮอนและฉิงฮัวไปหยิบเสื้อผ้าของเป่หมิงโม่ที่บ้านใหญ่นั้น เป่หมิงยันก็เพิ่งจะกลับมาจากคุกพอดี ช่วงหลายวันมานี้ เหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน บุคลิกเจ้าเสน่ห์ก่อนหน้านี้ก็จางหายไปไม่เหลือเลย
นี่ทำให้กู้ฮอนและฉิงฮัวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพียงแต่ว่าหลังจากเห็นการมาถึงของพวกเขา เป่หมิงยันก็ยังคงสามารถแสดงท่าทางเหมือนกับเมื่อก่อนออกมาได้
เขาก็ได้มีการเอ่ยถามถึงสภาพของเป่หมิงโม่ในช่วงนี้ว่าเป็นอย่างไรบ้างอย่างตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน ฉิงฮัวจึงเล่าข้อมูลให้เขาฟังอย่างง่ายๆ แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องที่ทำให้ผู้อำนวยการโกวได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้จึงถูกกักขังเอาไว้ด้วย
เป่หมิงยันได้ฟังแล้วก็ตกตะลึงมาก แต่เขาก็ยังแสดงให้เห็นว่าถ้าหากมีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็จะช่วยอย่างสุดความสามารถอย่างแน่นอน
เป่หมิงโม่ฟังถึงตรงนี้แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ “ในบ้านตระกูลเป่หมิงนั้นยังคงเป็นน้องสามที่สามารถปล่อยวางได้อยู่บ้าง กระทั่งเรื่องที่ผมทำให้ป้าซินต้องเข้าคุกก็ไม่คิดเล็กคิดน้อย กลับยังคิดจะมาช่วยเหลือผมอีก ความใจกว้างแบบนี้ ผมละอายที่สู้เขาไม่ได้จริงๆ”
กู้ฮอนก็พยักหน้าเห็นด้วย “อาจจะเหมือนกับในประโยคนั้นที่พูดว่า “ชีวิตก็คือละคร ละครก็คือชีวิต ในฐานะที่เขาเป็นไอดอลกับนักแสดงมากฝีมือคนหนึ่งนั้นเข้าใจสิ่งเหล่านี้ทะลุปรุโปร่งไปนานแล้ว”
พวกเขาสองคนถอดทอนใจกันอยู่ชั่วครู่ และก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเข้าสู่ปัญหาในตอนนี้อีกครั้ง
เธอพูดเสียงจริงจังกับเป่หมิงโม่ “หวังว่าคุณจะไม่ถือสาในคำพูดที่จะเอ่ยต่อจากนี้ ในเวลาเดียวกันก็ขอให้คุณให้ความร่วมมือทั้งหมดด้วย”
เป่หมิงโม่พยักหน้า “ได้ สรุปว่ามีเรื่องอะไรจะให้ผมให้ความร่วมมือหรือ”
“ก็เหมือนกับที่ฉันพูดเมื่อครู่นี้ ว่าไม่มีทนายความคนไหนกล้ารับทำคดีความให้กับคุณแล้ว เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วฉันก็ยังไปหาคนคนหนึ่ง เขาบอกว่ายินยอมทำ”
“คนที่คุณพูดถึงก็คือหยินปู้ฝันสินะ” เป่หมิงโม่นั้นฉลาดอย่างที่คิดเอาไว้เลย สามารถคิดออกอย่างรวดเร็วว่ากู้ฮอนอาจจะไปขอความช่วยเหลือจากเขา อย่างไรก็ตาม หยินปู้ฝันก็เข้าใจเป่หมิงโม่เหมือนกับที่เป่หมิงโม่เข้าใจหยินปู้ฝัน
กู้ฮอนมองเขาอย่างจริงจังครั้งหนึ่ง ดูว่าเขามีความรู้สึกอย่างไรกันแน่ จากนั้นก็ค่อยคิดว่าจะพูดต่อไปดีหรือไม่
***
หลังจากที่เป่หมิงโม่ได้รู้ว่าเป็นหยินปู้ฝัน ความภาคภูมิใจของเขาก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อยในใจ
เขากับหยินปู้ฝันสองคนมีความเกี่ยวข้องกันอย่างซับซ้อนซ่อนเงื่อน นอกจากเป็นลูกพี่ลูกน้องแล้ว ความเกี่ยวข้องอีกอย่างหนึ่งก็คือหยินปู้ฝันเกือบจะแต่งงานกับกู้ฮอนแล้ว
ปัจจัยนี้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เป่หมิงโม่หึงหวง แม้ว่าในภายหลัง ระหว่างเขากับกู้ฮอนจะยังไปมาหาสู่กัน แต่ว่าเป่หมิงโม่ก็ยังรู้สึกจินตนาการว่าเขาเป็นคู่ปรับในความรักจนถึงตอนท้ายอยู่ดี
แม้ว่าจะเกิดระลอกคลื่นขึ้นในใจระลอกแล้วระลอกเล่า แต่อย่างไรนี่ก็เป็นน้ำใจของกู้ฮอน และเขาก็รู้เช่นกันว่าการที่หยินปู้ฝันทำเช่นนี้ก็เป็นความปรารถนาดีอย่างหนึ่ง
เขาสงบจิตสงบใจของตัวเองอยู่ชั่วครู่ “เขามีเงื่อนไขอะไรในการช่วยผมหรือไม่”
กู้ฮอนส่ายหน้า “ไม่มี เพียงแต่เขาพูดว่าคดีความนี้มีจุดแปลกประหลาดอยู่มากมาย อีกทั้งก่อนที่ฉันจะไปขอความช่วยเหลือจากเขา เขาก็ได้รับการแจ้งจากเบื้องบน เป็นการขอร้องไม่ให้รับทำคดีความที่เกี่ยวข้องกับคุณ นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันกับฉิงฮัวหาทนายความไม่ได้ในเมื่อวาน”
“มีคนสร้างความยุ่งยากให้กับผมอยู่เบื้องหลังอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วทำไมเขายังช่วยผมอีก”
“เพราะว่าเขาเข้าใจคุณ รู้ว่าคุณจะไม่ทำเรื่องนี้โดยไม่มีสาเหตุ อย่างไรก็ตามคุณจะไม่ทำเรื่องที่รู้ทั้งรู้ว่าอันตราย แต่ก็พุ่งเข้าใส่ง่ายๆแบบนั้น”
เป่หมิงโม่ยิ้มบางๆ “ดูท่าว่าเขาจะเข้าใจนิสัยของผมใช้ได้เลยนะ”
“หลังจากที่หยินปู้ฝันตกลงช่วยเหลือคุณแล้ว เขาก็ยังพูดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษด้วยเพื่อให้คุณเตรียมตัวเอาไว้ให้ดี”
“พูดมาเถอะ เป็นเรื่องอะไรกัน”
กู้ฮอนเล่าบทสนทนาระหว่างตัวเองกับหยินปู้ฝันให้เป่หมิงโม่ฟัง สุดท้ายก็เอ่ยว่า “แม้ว่าฉากหน้าจะไม่ได้อยู่ในแง่ดีนัก แต่ว่าเขาก็จะพยายามสุดความสามารถที่จะช่วยลดโทษของคุณให้ต่ำที่สุด”
“เขายังจะช่วยผมทั้งที่มีความเสี่ยงที่จะถูกเบื้องบนสอบเอาความผิดได้เป็นอย่างมาก ครั้งนี้ถือว่าผมติดค้างน้ำใจเขา บอกเขาด้วยว่ารอผมออกไปแล้วจะเลี้ยงเขาสักแก้วหนึ่ง”
ในเวลาเดียวกันนั้นเป่หมิงโม่ก็เตรียมตัวพร้อมทั้งหมดแล้ว แม้ว่าจะไม่ยินยอม แต่ตอนนี้อยู่ใต้ชายคาเตี้ย จะไม่ก้มหัวได้อย่างไรกัน
*
กู้ฮอนขับรถออกจากสถานีตำรวจมุ่งหน้าไปยังอาคารเป่หมิง ดูท่าคืนวันหลังจากนี้ เธอต้องไปมาหาสู่กับเป่หมิงโม่ที่สถานีตำรวจบ่อยๆแล้ว
โชคดีที่ทางบริษัทเป่หมิงมีฉิงฮัวที่สามารถช่วยเหลือตัวเองด้วยตัวคนเดียวได้ นี่ก็ทำให้ผ่อนคลายได้ไม่น้อย
หลังจากเธอจอดรถในลานจอดรถใต้ดิน เก็บสัมภาระติดตัวเรียบร้อย เตรียมตัวจะลงจากรถ ในตอนนี้ก็มีแสงไฟหน้ารถกระพริบมาจากปากทางเข้า รถออดี้สีขาวคันหนึ่งขับเข้ามา
นี่คือรถของถังเทียนจื้อ กู้ฮอนจำได้ในแวบแรกที่เห็น
ตอนนี้เธอไม่อยากจะเผชิญหน้ากับเขา เพราะเขาหลอกลวงตัวเองเยอะมากจริงๆ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงเกี่ยวข้องกับคุณพ่อแท้ๆของตัวเองด้วย
ดังนั้นเธอจึงรีบย่อตัวแอบซ่อนตัวเองอยู่ด้านหลังแผงหน้าปัดรถอย่างรวดเร็ว
หลังจากถังเทียนจื้อขับรถเข้ามาแล้วก็ไม่ได้สังเกตเห็นเธอ ถัดมารถของเขาก็ขับผ่านหน้าเธอไป จอดลงในตำแหน่งที่อยู่ถัดจากเธอไปสองเสา
หน้าต่างรถของกู้ฮอนยังไม่ได้หมุนขึ้น อย่างไรในรถก็ถือว่าค่อนข้างเงียบสงบ ดังนั้นแม้ว่าจะอยู่ในระยะห่างไกลขนาดนี้ เธอก็ยังคงสามารถได้ยินอย่างเลือนราง หลังจากถังเทียนจื้อจอดรถเรียบร้อย และลงจากรถแล้ว ก็กำลังโทรศัพท์
“อาจารย์ เมื่อวานนี้ผมได้บอกเรื่องราวกับผู้อำนวยการโกวชัดเจนแล้ว เขาจะให้ความร่วมมือกับพวกเราอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าครั้งที่แล้วเขาจะรอดมาได้เพราะโชคดีอย่างไม่คาดคิด แต่ว่าครั้งนี้แม้ว่าเขาจะเป็นซุนหงอคงก็ยากที่จะรอดได้ แต่ว่าอาจารย์ทำเพียงแค่ไม่ให้ทนายความที่นี่รับทำคดีความของเขา และสถานที่แห่งอื่นยังคงไม่สามารถควบคุมได้ เขาจึงยังมีโอกาสที่จะรอดไปได้นะครับ”