บทที่ 965 คนธรรมดา
ในฐานะที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอจะสามารถรับมือได้อย่างไรกัน นี่ไม่เหมือนกับการดูละครสงครามนางในที่นางเอกสามารถต่อสู้กับท่านหญิง ผู้สูงศักดิ์อะไรนั่นได้หลายคน แล้วในตอนท้ายจะได้รับการโปรดปรานทะนุถนอมจากฮ่องเต้เพียงคนเดียว เดินมุ่งหน้าขึ้นไปสู่จุดสูงสุดเหนือผู้คน…….
นางเอกแบบนี้ดูแล้วยุ่งมาก แต่ขอเพียงแค่รวบรวมจิตใจและกำลังเอาไว้เพื่อปกป้องตัวเองและต่อสู้ก็พอแล้ว นางเอกจะแย่อย่างไรก็ยังสามารถพบกับคนที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันกับเธอ และไม่ว่าคนเหล่านั้นจะมีเป้าหมายอะไร แต่สุดท้ายแล้วก็จะช่วยนางเอกอยู่ดี
เรื่องวุ่นวายด้วยความปากหวานก้นเปรี้ยวในอดีตจะมีมากมายเหมือนในปัจจุบันที่ไหนกัน อย่างไรก็เป็นแค่เรื่องที่พวกกินอิ่มจนท้องแน่นไม่มีอะไรทำจงใจหาเรื่องขึ้นมาเท่านั้นเอง
แต่ในสมัยนี้ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย ยุคนี้แม้จะเป็นกังวลต่อชีวิตน้อยมาก แต่มีเหตุการณ์ยุ่งยากเยอะแยะ ประดังประเดเข้ามาเรื่องแล้วเรื่องเล่าไม่หยุด
ไม่อย่างนั้นในสมัยก่อนถึงได้ต้องการเพียงแค่จอมยุทธ์ที่เหาะเหินเดินไปบนหลังคาได้ก็พอแล้วได้อย่างไร ส่วนปัจจุบันนี้ด้านบนกลับสามารถเดินทางข้ามผ่านดวงดาว เบื้องล่างสามารถเดินทางไกลท่องเที่ยวได้ นอกจากต้องรับมือกับการโจมตีของมนุษย์ต่างดาวแล้วก็ยังต้องการฮีโร่ผู้มาทำลายสัตว์ประหลาดในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่โผล่มาอย่างคาดไม่ถึงด้วย
สรุปได้ว่าผู้คนในยุคปัจจุบันนั้นใช้ชีวิตกันเหน็ดเหนื่อยเกินไปแล้วจริงๆ…….
ไม่ง่ายเลยที่กู้ฮอนกลับมาถึงบริษัทเป่หมิงอีกครั้ง ครึ่งวันนี้เธอถูกทรมานจนทนไม่ไหวแล้ว
โชคดีที่การใช้ชีวิตในไม่กี่วันต่อมาทำให้เธอรู้สึกทำตามกิจวัตรได้ช่วงสั้นๆ ทุกวันไปกลับระหว่างบริษัทเป่หมิงและบ้านพัก
วันสองวันผ่านไปค่อยไปสถานีตำรวจเยี่ยมเป่หมิงโม่ที่อยู่ในนั้นสักรอบ รวมไปถึงการสนทนากับหยินปู้ฝันในทุกวัน แบบนี้ทำให้เธอรู้สึกใจสงบได้บ้างเล็กน้อย
ช่วงเวลาวันหยุดของลูกๆจบลงแล้ว เริ่มต้นช่วงเวลาแห่งการเล่าเรียนอีกครั้ง เพียงแต่ว่าสองสามวันก่อนที่จะเปิดเทอมนั้นทำให้เธอวางใจ ตัวสร้างความวุ่นวายอย่างหยางหยางนั้นสงบลงไม่น้อย
เพียงแต่ว่าเรื่องที่ทำให้สบายใจนั้นมีน้อย เรื่องรำคาญใจนั้นมักจะมีมาก
ระยะนี้เธอได้รับรู้ข่าวไม่ดีมาจากหยินปู้ฝัน
ข่าวแรก เกี่ยวกับคดีความที่เป่หมิงโม่ต้องสงสัยว่าขับรถบุกฝ่าเข้าไปในสถานที่ราชการ เพราะถูกสงสัยในปัญหาที่เปราะบาง ดังนั้นจึงถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
ข่าวที่สอง ตัวที่จะทำลายอุปสรรคอย่าง ‘เสี่ยวเฉิน’ นั้นสาบสูญไร้ร่องรอยไปแล้ว การหายตัวไปของเขาเกิดขึ้นหลังจากที่หยินปู้ฝันหาเขาเจอในวันที่สอง เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีคนไม่ต้องการให้คนคนนี้มาทำให้เรื่องเสีย ดังนั้นจึงใช้วิธีการที่ไม่ต้องการให้ใครรู้มาจัดการ สำหรับเรื่องที่ว่ามีชีวิตอยู่หรือตายนั้น ตอนนี้ยังคงเป็นปริศนา
ยากจะที่เดาได้ นี่อาจจะเป็นแผนชั่วร้ายของหลี่เชิน แม้ว่าเป่หมิงโม่จะมีทนายความ กำหลักฐานเอาไว้ในมือ ศาลไม่เปิดศาลก็ไร้ประโยชน์ เช่นเดียวกันกับที่สามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของเป่หมิงโม่ได้ก็บรรลุจุดประสงค์ที่เขาต้องการได้
นี่ทำเกินไปบ้างแล้วจริงๆ จึงทำให้กู้ฮอนโกรธสุดขีด
***
เมื่อเผชิญหน้ากับข่าวร้ายที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันคาดคิด กู้ฮอนและหยินปู้ฝันก็ไม่มีวิธีการแก้ปัญหาอยู่บ้าง
ภายในห้องสอบปากคำ เป่หมิงโม่นั่งอยู่ที่ด้านหน้าโต๊ะ มองไปยังใบหน้าที่โศกเศร้าของกู้ฮอน ที่เธอมาในวันนี้ อย่างแรกคือมาเยี่ยมเยียนดูความเป็นอยู่ของเขา อย่างที่สองคือข่าวร้ายนี้เขามีสิทธิ์ที่จะรู้
เป่หมิงโม่ที่เดิมใส่ชุดสูทเข้ารูปในตอนนี้เปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้ว เห็นได้ชัดว่านี่ไม่เข้ากับบุคลิกลักษณะที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของเขาเลย
เพียงแต่ดูแล้วเหมือนกับว่าเขาคุ้นชินกับเสื้อผ้าแบบนี้แล้ว
แน่นอนว่าหลังจากที่เขาได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากของกู้ฮอนแล้วก็ยิ้มบางๆ “ในเมื่อเรื่องดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว พวกคุณก็พยายามมากแล้ว ดูเหมือนว่าผมจะติดค้างคำขอโทษในเรื่องที่ผมบีบบังคับให้คุณเป็นประธานบริษัทเอาไว้ ตอนนี้ก็ชดเชยให้คุณแล้วกัน ตอนนี้คุณได้รับอิสระใหม่อีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องไปที่บริษัทเป่หมิงอีก สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนกับก่อนหน้านี้ ใช้ชีวิตกับลูกๆอย่างที่พวกคุณต้องการเถอะ”
กู้ฮอนเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตะลึงในทันที “นี่คุณหมายความว่าอะไร”
“คุณยังมองไม่ออกหรือ เรื่องดำเนินมาถึงตอนจบแล้ว เป้าหมายในการยืดระยะเวลาของพวกเขาก็คือไม่อยากให้ผมได้ออกไป แม้ว่าพวกเราจะวิ่งเต้นกันต่อไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
“เป่หมิงโม่ คุณคิดแบบนี้ได้อย่างไรกัน” กู้ฮอนรู้สึกเหมือนว่าเขาจะยอมแพ้แล้วได้จากน้ำเสียงและสีหน้าท่าทาง “สถานการณ์ตรงหน้าก็เป็นเพียงแค่อุปสรรคเพียงชั่วคราว ทำไมจะต้องรีบร้อนยอมแพ้ด้วยล่ะ นี่ไม่ใช่นิสัยของคุณเลย หลายวันมานี้คุณอยู่ที่นี่จนโง่ไปแล้วหรือ”
เธอพูดแล้วก็ตั้งใจมองเขาไปมา
เป่หมิงโม่ขมวดคิ้ว ข้อสรุปแบบนี้เป็นการดูถูกเขาอย่างสุดซึ้ง จึงกวาดตามองเธออย่างดุร้ายครั้งหนึ่ง “ผมพูดเมื่อไรกันว่าจะยอมแพ้ เพียงแต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ คุณคิดว่าผมสามารถควบคุมได้หรือว่าคุณกับหยินปู้ฝันสามารถควบคุมได้หรือ ในเมื่อไม่มีวิธีแล้ว อย่างนั้นก็พักผ่อนฟื้นกำลังเสียเลยจะดีเสียกว่า”
“ยังพูดอีกว่าคุณไม่ได้รับการกระทบกระเทือนอะไรตอนที่อยู่ที่นี่ คุณที่ฉันรู้จักไม่ใช่คนแบบนี้ แม้ว่าจะพบเจอกับปัญหายุ่งยากอะไร คุณก็จะคิดหาวิธีออกมาแก้ไขมัน อีกอย่างนะ ทำไมคุณถึงได้อนุญาตให้ฉันไปจากบริษัทเป่หมิงในตอนนี้กัน นี่ไม่ใช่ว่าเป็นปล่อยมือจากหม้อที่แตกแล้ว (เป็นปล่อยมือจากหม้อที่แตกแล้ว ไม่อาจทำอะไรกับสิ่งที่เป็นอยู่ได้ ปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรม) หรืออย่างไร” เธอพูดอย่างจริงใจน่าเชื่อถือ
ท่าทางจริงจังแบบนั้น เป่หมิงโม่เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปดึงใบหน้ารูปไข่ผิวเนียนนุ่มนั้น
เขาอยู่ที่นี่มาหลายวัน ก็ได้สนทนากับผู้คุมที่รับผิดชอบดูแลเขาไปหลายเรื่อง ที่จริงแล้วไม่เพียงแต่พูดคุยกับคนที่มีความรู้เท่านั้นที่จะทำให้ความคิดและความสามารถของตัวเองเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งก็สามารถที่จะชี้แนะให้เขาได้เหมือนกัน
ในอดีตน้อยครั้งที่เขาจะมีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับบุคคลธรรมดา ดังนั้นสิ่งเรียบง่ายต่างๆนั้นเขาขาดเป็นอย่างมาก แต่หลายวันมานี้เขากลับรู้สึกว่าได้รับประโยชน์มากมาย
ชอบคนคนหนึ่ง ทำไมจะต้องบีบบังคับให้เธอทำเรื่องที่ไม่ชอบ แล้วเรียกมันอย่างสวยงามว่าเพื่อยกระดับความสามารถให้กับเธอกัน ทำไมจะต้องใช้ลูกเป็นเครื่องมือในการต่อรองหรือบีบบังคับกัน เห็นได้ชัดว่าลูกเป็นของพวกเขา ล้วนเป็นที่ชื่นชอบอย่างมาก
เดี๋ยวก่อนนะ……
อาจจะเป็นเพราะสมองของตัวเองนั้นเต็มไปด้วยผลประโยชน์มากเกินไป เข้าใจช่ำชองโลกมากเกินไป ถึงอย่างไรคนที่ยืนอยู่ด้านบนก็มีน้อย แต่ว่าโลกที่อยู่เบื้องหน้านี้ไม่ใช่ว่ายึดคนธรรมดาเป็นหลักหรอกหรือ เผชิญหน้ากับโลกธรรมดานี้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
***
สายตาที่เป่หมิงโม่มองกู้ฮอนนั้นลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่าภายในนั้นประกอบไปด้วยความรู้สึกมากมาย
“บริษัทเป่หมิงคือเป้าหมายของพวกเขา ผมยิ่งเป็นเป้าหมายของพวกเขายิ่งกว่า คุณคนเดียวรับมือกับคนที่จ้องจะตะครุบเหมือนกับพญาเสือมีเพียงแต่เสียเปรียบ ผมไม่อยากให้คุณถูกทำร้ายใดๆอีก แม้ว่าตอนนี้ผมยังไร้หนทางที่จะออกไป คุณเข้าใจความหมายของผมไหม อยู่ห่างๆจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งนี้ ไปใช้ชีวิตธรรมดาราบเรียบกับลูกๆ วงการธุรกิจก็เหมือนกับสงคราม ไม่มีใครสามารถถอนตัวออกมาได้อย่างราบรื่น มากน้อยอย่างไรก็ต้องได้รับบาดเจ็บ สำหรับผมแล้ว ควรจะบอกว่าค่อนข้างโชคดี”
นัยน์ตากู้ฮอนรื้นน้ำตา นี่น่าจะเป็นครั้งหนึ่งที่พวกเขาสนทนากันด้วยความจริงใจมากที่สุด ถ้าหากพวกเขาทำแบบนี้มาตลอดแล้วล่ะก็ อย่างนั้นเรื่องราวทั้งหลายนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด
ทำไมมักจะรอให้ถึงเวลาแบบนี้ถึงจะยอมเปิดเผยนิสัยที่แท้จริงออกมากัน
เธอส่ายหน้าเบาๆ ยกมือปาดน้ำตาที่กำลังจะรินไหลออกไปอย่างแรง พูดด้วยความเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่ผิด ก่อนหน้านี้ฉันไม่ชอบอย่างมากที่คุณผลักฉันไปในตำแหน่งนั้น มีประโยคหนึ่งที่พูดว่า ‘หนี้ที่บิดาเป็นผู้สร้างนั้นมีบุตรหรือบุตรีเป็นผู้คืน’ แม้ว่าฉันจะไม่ยอมรับว่าหลี่เชินเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดฉัน แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นความจริง พวกเขาทำให้คุณเข้ามาอยู่ในนี้ คิดหาหนทางยืดระยะเวลาที่คุณจะออกมา ทั้งยังจ้องจะตะครุบบริษัทเป่หมิง ไม่ว่าเขาจะมีเหตุผลอย่างไร แต่ว่าเรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้ อย่างไรนี่ก็เป็นความผิดที่เขากระทำต่อคุณไปจนถึงตระกูลเป่หมิงของพวกคุณ ดังนั้นฉันต้องหยุดไม่ให้เขาทำผิดต่อไป ถ้าหากว่าเขายังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่ล่ะก็ ก็คงจะไม่ทำอะไรกับฉัน บริษัทเป่หมิงก็ปลอดภัยแล้ว”
*
เมื่อออกมาจากสถานีตำรวจ ระหว่างทางกลับไปยังบริษัทเป่หมิง หัวใจดวงนั้นของกู้ฮอนยังคงเต้นระรัว เธอคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะสามารถพูดคำพูดเหล่านี้กับเป่หมิงโม่ได้
ไม่ต้องเป็นประธานบริษัทเป่หมิงแล้ว ตอนนั้นมีแรงดึงดูดสำหรับตัวเองเป็นอย่างมาก แต่ในตอนนั้นกลับมีเสียงเสียงหนึ่งบอกกับตัวเองว่า กู้ฮอน เธอไม่สามารถทำแบบนี้ได้ คนเราไม่สามารถเห็นแก่ตัวขนาดนี้ได้ หรือว่าในเวลาเดียวกันกับตอนที่เธอโกรธเป่หมิงโม่ที่เห็นแก่ตัว เธอก็ทำแบบนั้นเหมือนกันหรือ
ในฐานะที่เป็นคนที่มีความสามารถในการดูแลตัวเองคนหนึ่ง โดยเฉพาะมารดาของลูกๆทั้งสามคน ตัวเองจำเป็นต้องเป็นแบบอย่างที่ดีเบื้องหน้าพวกเขา ในเมื่อจัดการธุระเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องนั่งให้มั่นคงต่อไป
การพบกับเป่หมิงโม่ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ล้างบาปให้กับเป่หมิงโม่ครั้งหนึ่ง และก็เป็นการล้างบาปให้กับกู้ฮอนครั้งหนึ่งเช่นกัน
*
ผ่านคืนวันที่เงียบสงบไปอีกหลายวัน บริษัทเป่หมิงกลับไม่มีสัญญาณเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆอะไรเลย เพียงแค่ว่ายังคงมีข่าวหนึ่งที่ทำให้กู้ฮอนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนก็คือ ผู้อำนวยการโกวออกจากโรงพยาบาลแล้ว
เขาออกมาแล้วก็หมายความว่าบริษัทเป่หมิงจะมีเรื่องวุ่นวายแล้ว ตอนแรกเขาเอ่ยพูดข่มขู่ต่อหน้าตัวเองว่าจะให้ตัวเองและบริษัทเป่หมิงล้วนไม่ได้อยู่เป็นสุข
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว หลังจากที่มีความรู้สึกหวาดกลัวเล็กๆน้อยๆแล้วก็กลับมาสงบนิ่งไม่น้อย เป็นวาสนา ไม่ใช่คราวเคราะห์ ถ้าเป็นคราวเคราะห์ก็หลบไม่พ้น ในเมื่อตอนแรกก่อเรื่องขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ก็ไม่สามารถกลัวปัญหาได้
กู้ฮอนเตรียมพร้อมรับมือกับการหาเรื่องของผู้อำนวยการโกวท่านนี้อย่างเต็มที่แล้ว…….
แต่พูดไปแล้วก็แปลก หลังจากที่ผู้อำนวยการโกวท่านนี้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ลงมือทำอะไรในทันที ทั้งยังได้ยินตารางการทำงานของผู้อำนวยการโกวท่านนี้มาจากฉิงฮัวด้วย
นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ได้รู้มาจากคนที่ฉิงฮัวส่งไปเป็นการส่วนตัว ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นกังวลมากว่ากู้ฮอนจะพบกับเรื่องยุ่งยากอะไร
***
ทางด้านนี้ กู้ฮอนและฉิงฮัวล้วนระมัดระวังทุกฝีก้าว กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อไร
อีกด้านหนึ่ง ผู้อำนวยการโกวก็รู้สึกปวดหัวเช่นเดียวกัน เขาได้รู้ฐานะที่แท้จริงของกู้ฮอนจากถังเทียนจื้อแล้ว แย่แล้วจริงๆ เดิมหลังจากพักรักษาบาดแผลเรียบร้อยแล้วก็จะคิดบัญชีกับเธอ แต่ว่าตอนนี้ดูท่าจะไม่กล้าแตะเธอแล้วจริงๆ
สถานการณ์เบื้องหน้านอกจากบุญคุณความแค้นแล้ว ยังมีปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งก็คือบริษัทเป่หมิง เขามีภารกิจสร้างเรื่องยุ่งยากให้กับพวกเขาที่ต้องร่วมมือกับถังเทียนจื้อ
แต่ว่านี่เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันเป็นอย่างมาก ทำให้เขารู้สึกว่าไม่รู้จะลงมือได้อย่างไร
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นกู้ฮอนหรือว่าผู้อำนวยการโกว ถือได้ว่า ‘สองฝ่ายล้วนคุมเชิงกัน เพราะมีกังวลจึงไม่กล้าวู่วามลงมือ’
เมื่อเรื่องราวเข้าสู่สภาวะชะงักงันเช่นนี้ มักจะมีคนที่อยู่เบื้องหลังผลักดันให้ดำเนินต่อไป แน่นอนว่าก็ต้องสอดประสานกับโอกาสเล็กน้อย
คนที่สามารถคว้าโอกาสเอาไว้มักจะได้รับผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง
ผู้อำนวยการโกวท่านนี้ก็เป็นคนแบบนั้น สาเหตุที่เขาสามารถปีนขึ้นมานั่งในตำแหน่งนี้ได้ ก็เป็นเพราะเขาถนัดในการคว้าโอกาส
ตอนนี้มีเรื่องหนึ่งที่รอให้เขาจัดการ ในฐานะที่เมือง A เป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งในระดับประเทศจึงต้องสะท้อนความเป็นสากลไปทั่วทุกที่