บทที่ 969 เฝ้ารอคอยมาแสนนาน
ฉิงฮัวถอนหายใจ “คุณชายใหญ่เป่หมิง ไม่ใช่ว่าผมจะว่าคุณนะครับ แต่การล้อเล่นในครั้งนี้มันเกินไปแล้ว พวกเราหาเขาก็เป็นเพราะว่าวันนี้ตอนเช้าคุณชายน้อยหยางหยางถูกคนพาตัวไป ถ้าหากไม่ใช่ว่าทางโรงเรียนโทรมาล่ะก็ พวกเราก็ยังคงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้น เมื่อครู่ผมส่งคนไปตรวจสอบที่โรงเรียนแล้วก็พบว่า คนที่รับคุณชายน้อยหยางหยางไปได้แสดงบัตรพนักงานของบริษัทเป่หมิง นอกจากนั้นแล้วเมื่อดูจากวิดีโอกล้องวงจรปิดก็มองออกว่าคุณชายน้อยหยางหยางรู้จักคนคนนี้ ตามที่กล่าวมาข้างต้น พวกเราจึงสามารถอนุมานได้ว่าเป็นถังเทียนจื้อผู้ช่วยของคุณเป็นคนทำ”
เป่หมิงเฟยหย่วนและเป่หมิงยี่เฟิงถึงจะเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำเด็กหายนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ให้ความสำคัญไม่ได้
ในใจของพวกเขาล้วนชัดเจนว่าถังเทียนจื้อเป็นคนแบบไหน แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะทำเรื่องแบบนี้ออกมา แต่ว่าเป้าหมายของเขาคืออะไรกันล่ะ
ต้องการเงินหรือ นี่ช่างเป็นเรื่องน่าขบขันเสียจริง ในบรรดาทั้งสามคนที่อยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าเขาต่างหากที่เป็นคนที่ต้องการเงินมากที่สุด
นอกจากเงินแล้วยังจะเพื่ออะไรอีก ไม่รู้เลยจริงๆ เพียงแต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้ควรจะรีบหาเขาให้เจอ จากนั้นก็ถามเบาะแสของหยางหยางถึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
“ยี่เฟิง รีบโทรศัพท์หาเขาเร็วเข้า ถ้าหากว่าเขาพาหยางหยางไป ก็ให้เขารีบพากลับมาส่ง จากนั้นก็ขอโทษกู้ฮอนดีๆ” สมองของเป่หมิงเฟยหย่วนในตอนนี้มีสติไม่น้อยเลย จึงรีบสั่งให้ลูกชายทำตามในทันที
เป่หมิงยี่เฟิงก็ไม่กล้าชักช้า รีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาโทรหาถังเทียนจื้อ
เพียงแต่ว่าหลังจากโทรไปแล้วก็ได้ยินแต่เสียงสายโทรศัพท์ไม่ว่างและไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆของเขา เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ แต่ว่าเขาคุยอยู่กับใครกันแน่นะ
***
ฉิงฮัวไปถามหาคนจากเป่หมิงยี่เฟิง เหลือกู้ฮอนเอาไว้คนเดียวในห้องทำงาน
รสชาติแห่งการรอคอยผลลัพธ์นั้นยากที่จะผ่านไปได้ ก็เหมือนกับมดที่เดินอยู่บนหม้อร้อนๆ และก็เหมือนทั้งร่างมีกระต่ายอยู่ 25 ตัว จิตใจรู้สึกวุ่นวายซับซ้อนจนไม่สามารถสงบลงได้ประเภทนั้น ซึ่งทุกคนล้วนไม่อยากเผชิญหน้า
เวลาผ่านไปแต่ละหนึ่งนาที หนึ่งวินาที ห้านาที สิบนาที……
เมื่อมองเข็มวินาทีที่ขยับไปเรื่อยๆและเข็มบอกเวลาที่ขยับอย่างช้าๆแล้ว กู้ฮอนจะนั่งก็ไม่ใช่ จะยืนก็ไม่ใช่อีก เธอยกโทรศัพท์ในมือขึ้นมาดูว่าตัวเองพลาดรับสายใดไปหรือไม่
แม้ว่าความเป็นไปได้ที่ถังเทียนจื้อพาหยางหยางไปนั้นจะค่อนข้างสูง แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ทั้งหมดว่าเขาเป็นคนกระทำ
หลังจากผ่านไปสิบนาที ในที่สุดกู้ฮอนก็นั่งไม่ติดแล้ว รอให้ฉิงฮัวมาบอกผลลัพธ์กับเธอ ไม่สู้ตัวเองไปถามเป่หมิงยี่เฟิงต่อหน้า แบบนี้ดีกว่ารสชาติแห่งการรอคอยเล็กน้อย
ตอนที่เธอกำลังหยิบโทรศัพท์มือถือเตรียมเดินไปทางประตูนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน เธอหวังจริงๆว่าโทรศัพท์สายนี้จะเกี่ยวข้องกับหยางหยาง ไม่ว่าฉิงฮัวจะยืนยันว่าถังเทียนจื้อเป็นคนทำได้หรือไม่ หรือว่าจะเป็นคนอื่นโทรศัพท์ใช้หยางหยางมาข่มขู่บีบบังคับให้เธอจ่ายเงินค่าไถ่ล้วนได้หมด
“ฮัลโหล คุณคือใครคะ” สภาพจิตใจของกู้ฮอนนั้นตึงเครียดเป็นอย่างมาก มือข้างหนึ่งนั้นชื้นเหงื่อไปแล้ว กระทั่งโทรศัพท์มือถือก็เปียกชื้นเหงื่อไปด้วยไม่น้อย
“เป็นผมเองประธานกู้ อภัยให้ผมด้วยที่โทรศัพท์หาคุณในตอนนี้” เสียงจากโทรศัพท์นั้นชัดเจน ทำให้เธอคุ้นหูเป็นอย่างมาก
สภาพจิตใจของเธอก็ผ่อนคลายขึ้นตามเสียงที่คุ้นเคยนั้น “ถังเทียนจื้อ คุณอยู่ที่ไหน หยางหยางอยู่กับคุณใช่ไหม ฉันต้องการพูดกับเขา”
“ประธานกู้ ทำไมคุณไม่เรียกผมว่าNotonแล้วล่ะ ที่จริงแล้วผมชอบชื่อนี้มากกว่านะ แม้ผมจะไม่รู้ว่าคุณรู้ได้อย่างไรก็ตาม แต่หยางหยางอยู่กับผมที่นี่แหละ” ในมือของถังเทียนจื้อถือโทรศัพท์ เบื้องหน้าเขาเป็นสวนดอกไม้กว้างขวางแห่งหนึ่ง ด้านหลังของเขาก็คือบ้านพักสองชั้นขนาดเล็กสไตล์ยุโรปหลังหนึ่ง
เรียบร้อย สามารถยืนยันเบาะแสของหยางหยางได้แล้ว กู้ฮอนก็โล่งใจเล็กน้อย ตอนที่ได้ยินเสียงของถังเทียนจื้อนั้น เธอกลัวจริงๆว่าหยางหยางจะไม่ได้อยู่กับเขา ถ้าหากเป็นแบบนั้นล่ะก็ การตามหาหยางหยางก็เปลี่ยนเป็นเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทรแล้ว
“ถังเทียนจื้อ คุณต้องการอะไรกันแน่ถึงได้พาหยางหยางออกมาจากโรงเรียน จะบอกคุณให้นะ การทำแบบนี้มันผิดกฎหมาย ฟังคำเตือนของฉันเถอะ ตอนนี้คุณรีบส่งเขากลับไปเสีย ฉันจะเห็นแก่ที่คุณช่วยพวกเราสองแม่ลูก ปล่อยคุณไป ไม่เอาผิดสักครั้ง”
ถังเทียนจื้อจะถูกคำขู่ง่ายๆของเธอทำให้ตกใจได้ง่ายๆดีไหนกัน เขาค่อยๆเดินไปบนสนามหญ้าเขียวขจี มือหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือ อีกมือสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกง “ประธานกู้ อย่าเพิ่งร้อนใจไป สาเหตุที่ผมพาหยางหยางออกมาก็เพราะมีเรื่อง คุณวางใจเถอะ ผมไม่ทำอะไรเขาหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการให้ฉันทำอะไร มาจนถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก พูดวัตถุประสงค์ของคุณออกมาตรงๆเถอะ” กู้ฮอนในตอนนี้สติสัมปชัญญะกลับคืนมาแล้ว
ในใจเธอเข้าใจดีว่าสำหรับถังเทียนจื้อแล้วหยางหยางไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนัก ก็แค่อาศัยเขาให้ตัวเองออกหน้ามาเจรจาเงื่อนไขกับเขาเท่านั้น และเธอก็ชัดเจนเช่นกันว่าถังเทียนจื้อจะไม่ใช้อุบายอะไรที่ไม่เป็นผลดีกับหยางหยาง
“ประธานกู้ คุณฉลาดอย่างที่คิดเอาไว้เลย ผมโทรศัพท์มาหาคุณเพื่อพูดคุยเรื่องนี้ ถ้าหากว่าคุณสะดวกล่ะก็ อย่างนั้นก็เชิญคุณมาที่ เลขที่66 เจ้าเน่ มีเรื่องอะไรพวกเรามาเจรจากันที่นี่ คุณคิดว่าอย่างไร”
***
เลขที่66 เจ้าเน่ ที่อยู่นี้ฟังแล้วไม่คุ้นเลย แต่ก็เหมือนกับว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เพื่อที่จะได้พบกับลูกชาย เธอก็ยังคงตอบตกลงรับเงื่อนไขของถังเทียนจื้อ
หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว กู้ฮอนก็รีบเก็บข้าวของของตัวเองอย่างรีบร้อน จากนั้นก็ทิ้งข้อความไว้ในกระดาษโน้ตให้กับฉิงฮัว และเดินออกไปจากห้องทำงานอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าเธอก็ขับรถออกไปจากอาคารเป่หมิง
ฉิงฮัวโทรศัพท์ไปหลายครั้ง แต่ก็ได้ยินเสียงสายไม่ว่างตลอด ช่างมันเถอะ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกแล้ว เขาฝากเป่หมิงยี่เฟิงและเป่หมิงเฟยหย่วนให้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เมื่อโทรศัพท์ติดต่อถังเทียนจื้อได้แล้วให้ถามเขาก่อนเลยว่าหยางหยางอยู่กับเขาใช่หรือไม่
และเพื่อไม่ให้กู้ฮอนเป็นกังวล เขาก็รีบออกจากห้องทำงานของเป่หมิงยี่เฟิงกลับไปยังห้องทำงานของกู้ฮอน
เพียงแต่ว่าตอนที่เขาเปิดประตูห้องทำงานเข้าไป ภายในก็ว่างเปล่าไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว ส่วนบนโต๊ะทำงานของเธอกลับมีกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งทิ้งเอาไว้
ด้านบนเขียนไว้ว่า หาหยางหยางเจอแล้ว ตอนนี้ฉันจะไปรับเขา จากนั้นด้านหลังก็เขียนที่อยู่และลงชื่อกู้ฮอนเอาไว้
แม้ว่าจะมีเบาะแสของหยางหยางแล้ว แต่เธอไม่ได้อธิบายเอาไว้ว่าคนที่พาหยางหยางไปนั้นเป็นถังเทียนจื้อใช่หรือไม่ ถ้าหากว่าไม่ใช่ล่ะก็ อย่างนั้นกู้ฮอนจะมีอันตรายหรือไม่ เขาไม่อยากให้กู้ฮอนเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกในตอนที่เจ้านายเกิดเรื่องอยู่
แบบนี้เขารู้สึกว่าตัวเองบกพร่องต่อหน้าที่ และไม่สามารถชี้แจงกับเจ้านายได้
ฉิงฮัวรีบเก็บข้าวของของตัวเองในทันที และตามไปยังที่อยู่ที่กู้ฮอนเขียนทิ้งเอาไว้บนกระดาษโน้ต
*
มีเบาะแสของหยางหยางแล้ว กู้ฮอนรู้สึกยินดีเล็กน้อย แต่อย่างไรเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถังเทียนจื้อต้องทำอย่างนี้ ถ้าหากว่าต้องการพูดคุยเจรจากับตัวเองล่ะก็ สามารถบอกกับตัวเองตรงๆเลยก็ได้แล้ว ทำไมจะต้องทำอะไรอ้อมไปอ้อมมาอย่างนี้ด้วย
หรือว่ามีเรื่องอะไรที่เขากลัวว่าตัวเองจะไม่ยอมรับปากถึงได้ทำแบบนี้กัน ถ้าอย่างนั้นจะเป็นเรื่องอะไรกันล่ะ
สรุปแล้วตอนนี้คิดไปก็เสียเปล่า ถึงจุดหมายแล้วก็จะเข้าใจทั้งหมดได้เอง
กู้ฮอนไปถึงสถานที่ที่มีชื่อว่าเลขที่66 เจ้าเน่ ได้อย่างราบรื่นตามการนำทางของแผนที่
นี่คือบ้านพักภูมิทัศน์สีเขียวที่ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองคล้ายกับปิ่นฮอนเป่หยวนที่พวกเธออาศัยอยู่ บ้านทุกหลังที่ตกแต่งอย่างสวยงามล้วนมีสนามหญ้าอยู่ใกล้ๆ
รถในบริเวณบ้านพักล้วนจอดอยู่บนสนามหญ้า กู้ฮอนจึงจอดรถไว้บนสนามเช่นเดียวกัน เห็นเพียงแต่ประตูที่แขวนป้ายเลขที่ 66 ด้านล่างนั้นมีรถออดี้สีขาวคุ้นตาเป็นอย่างมากคันหนึ่งจอดอยู่
นี่ก็คือรถที่ถังเทียนจื้อขับคันนั้น
ดูท่าจะเป็นที่นี่ไม่ผิดแล้ว
กู้ฮอนรีบดับเครื่องยนต์ ในเวลาเดียวกันประตูของบ้านพักหลังนั้นก็เปิดออก ถังเทียนจื้อยืนอยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่ “ประธานกู้นั้นใจร้อนจริงๆนะ แปปเดียวก็มาแล้ว”
กู้ฮอนไม่มีอารมณ์มาพูดจาเกรงใจกับเขา เดินไปถึงด้านหน้าเขา “หยางหยางอยู่ที่ไหน ฉันต้องการพบเขา”
“อยู่ที่นี่” ถังเทียนจื้อชี้นิ้วไปในตัวบ้านที่อยู่ด้านหลัง เธอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านในอย่างเลือนลาง ยังมีเสียงของหยางหยางด้วย ฟังดูแล้วเหมือนกับว่าเขามีความสุขอยู่ด้านใน
จะพูดอย่างไร หยางหยางก็ไม่ได้รับความลำบากอะไร กู้ฮอนยังคงค่อนข้างพอใจอยู่ เธอไม่พูดอะไรต่อ เดินเข้าไปข้างในทันที
เพียงแต่ตอนที่เธอเดินเข้าไปในตัวบ้านแล้วก็ต้องตะลึงค้าง ทัศนียภาพที่นี่ดูแล้วเหมือนกับอุโมงค์แห่งแสงอย่างไรอย่างนั้น กำแพงริมทางเดินทั้งสองข้างล้วนถูกภาพเล็กใหญ่แขวนประดับเรียงรายไว้ ด้านในแสดงภาพขาวดำมากกว่าร้อยภาพ
***
กู้ฮอนเดินเข้าไปในเลขที่66 เจ้าเน่ ก็เหมือนกับเดินเข้าไปในอุโมงค์แห่งแสงอุโมงค์หนึ่ง
เลขที่66 เจ้าเน่ ไม่เหมือนกับหนังสยองขวัญเรื่อง เลขที่81 เจ้าเน่ ที่แห่งนี้ไม่มีเรื่องน่าหวาดกลัว มีเพียงแต่สิ่งที่ดูแล้วมีแต่ความรักในครอบครัวอย่างลึกซึ้ง หรือพูดได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความรักที่มีต่อครอบครัวอย่างลึกซึ้ง
ภาพโปสเตอร์ภาพยนตร์ใบหนึ่งเป็นภาพแรกที่ปรากฏเข้าสู่สายตา กู้ฮอนแค่มองก็รู้แล้ว นั่นเป็นภาพที่เห็นในบ้านหลังเดิมของคุณแม่ ภาพครอบครัวแสนสุขเพียงภาพเดียว
รอบๆรูปนั้นเต็มไปด้วยรูปที่กู้ฮอนไม่เคยเห็นมาก่อน มีภาพคู่ และก็มีภาพเดี่ยว เกือบทุกรูปในนั้นล้วนมีคุณแม่อยู่ด้วย
ยังมีภาพเด็กทารกน้อยบางส่วนด้วย……
กู้ฮอนเห็นแล้วเริ่มน้ำตารื้น สิ่งที่เธอไม่เคยพบเจอหรือเคยพบเจอแล้วแต่ไม่มีความทรงจำในช่วงเวลานั้นทำให้ในใจเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมขึ้นมาคลื่นแล้วคลื่นเล่า
วันเวลาที่ผ่านมานานแสนนานเหล่านั้น คนที่อยู่ในรูปภาพนั้น……..
กู้ฮอนอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบคนที่อยู่ในภาพนั้น เหมือนกับว่าวันเวลาในความทรงจำที่จางหายไปค่อยๆไหลผ่านปลายนิ้วมา
“ฮอน ลูกมาแล้ว” เสียงพูดแก่ชราดังขึ้นที่ริมหู คุ้นเคยแต่ก็แปลกหน้า…….
เธอก้มศีรษะลง รีบหดมือกลับมาปาดน้ำตาที่กำลังจะรินไหลไป
“ฉันมารับลูกค่ะ ขอให้คุณคืนหยางหยางให้ฉันด้วย”
นี่ก็คือวัตถุประสงค์ที่เธอมาที่นี่
ได้ยินเสียงเย็นชาของลูกสาวแล้ว หลี่เชินก็พยักหน้า “นี่ไม่มีปัญหาอะไร ตอนนี้พ่อจะเรียกเขามา” เขาพูดแล้วก็ส่งสายตาให้กับถังเทียนจื้อที่ยืนอยู่ข้างกู้ฮอน
ถังเทียนจื้อพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นก็เดินจากระเบียงทางเดินไป
“ทำไมคุณไม่บอกอะไรก็พาหยางหยางไปคะ คุณรู้หรือไม่ว่าทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว” กู้ฮอนพยายามควบคุมอารมณ์สั่นไหวของตัวเอง หันหน้าไปถลึงตาใส่หลี่เชินอย่างดุร้าย
หลี่เชินนั้นมีท่าทางปีติยินดีอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับว่าไม่เคยเห็นสีหน้าความรู้สึกแบบนี้ของเธอมาก่อน
“พ่อก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว อยากจะคุยกับลูกเป็นการส่วนตัว แต่ว่าลูกกลับไม่ยอมไว้หน้าพ่อเลย ดังนั้นพ่อจึงต้องใช้วิธีนี้ นอกจากนี้ พ่อก็อยากเห็นหน้าหลานชายพ่อด้วย”
“ใครเป็นหลานชายของคุณกัน ระหว่างพวกเรากับคุณไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน” กู้ฮอนใช้คำพูดที่คมดั่งใบมีดโต้กลับไป