บทที่ 970 ขอเตือนให้คุณวางมือ
“แม่ครับ…….” เสียงร่าเริงของหยางหยางทำให้บรรยากาศที่ตกอยู่ในขั้นวิกฤตินั้นผ่อนคลายลงไม่น้อย เขาวิ่งมาถึงข้างกายกู้ฮอนอย่างรวดเร็ว “คุณแม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
กู้ฮอนมองหยางหยางครู่หนึ่ง เห็นว่าไม่มีตรงไหนที่ผิดปกติ ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่ยอมเลิกราแน่นอน
“รีบไปขึ้นรถ เรื่องในวันนี้รอกลับบ้านแล้วแม่ค่อยคิดบัญชีกับลูก” เธอดุหยางหยางประโยคหนึ่ง
หยางหยางเบะปาก ใบหน้าเผยแววรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม “อือ” ออกมาเสียงหนึ่งก็หมุนตัวเดินไปทางประตู
เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นหลี่เชินหรือถังเทียนจื้อที่ตามอยู่ด้านหลังหยางหยางล้วนไม่ได้เอ่ยห้ามใดๆ
หยางหยางเหมือนกับลูกสุนัขที่ต่อสู้พ่ายแพ้ตัวหนึ่ง เดินคอตกออกไปจากบ้านพัก ถังเทียนจื้อก็ตามออกไปด้วย อย่างแรกคือเหลือพื้นที่ให้กู้ฮอนและหลี่เชินได้พูดคุยกัน อย่างที่สองก็คือดูแลหยางหยาง
ถึงอย่างไรเขาหรือว่าหลี่เชินล้วนไม่ได้คิดชั่วร้ายอะไรต่อหยางหยาง
หลังจากทั้งสองคนออกไปแล้ว หลี่เชินก็ผายมือเชื้อเชิญกู้ฮอน “พวกเรามีเรื่องอะไรไปพูดคุยกันข้างไหนไม่ได้หรือ”
กู้ฮอนยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน “มีเรื่องอะไรก็พูดที่นี่เถอะค่ะ พูดจบแล้วฉันก็จะไป”
***
หลี่เชินได้ยินกู้ฮอนพูดแบบนี้แล้วก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก ตอนนี้จึงตกอยู่ในสภาวะหยุดชะงักไป
ช่างมันเถอะ จะพูดที่ไหนก็ต้องพูดอยู่ดี
หลี่เชินพยักหน้า “ในเมื่อลูกไม่อยากเข้าไป อย่างนั้นพวกเราพูดคุยที่นี่เลยก็ได้” เขาพูดพลางเงยหน้ามองรูปครอบครัวใบนั้น “ในตอนนั้น พ่อเคยคิดว่าถ้าหากว่าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแบบนี้ต่อไปก็ดี เพียงแต่ว่าในภายหลังความหวังที่ธรรมดาและเรียบง่ายที่สุดนี้นั้นไม่มีทางเป็นจริง จนถึงตอนนี้ก็ไม่สามารถเป็นจริงได้แล้ว”
กู้ฮอนกวาดตามองภาพใบนั้น แต่ก็ไม่ได้ถูกคำพูดของเขาทำให้รู้สึกตื้นตันใจ “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว จะทอดถอนใจอย่างไรคุณแม่ก็ไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว ยังมีอีก ขอให้คุณอย่าพูดอ้อมไปอ้อมมา ฉันค่อนข้างคุ้นเคยกับการที่มีอะไรก็พูดอย่างตรงไปตรงมา คุณโกหกหยางหยางมาก็เพียงเพราะกลัวว่าฉันจะไม่มาพบคุณที่นี่ คุณคิดอะไรอยู่กันแน่คะ”
“ปล่อยมือจากเป่หมิงโม่ ปล่อยมือจากบริษัทเป่หมิงเสีย” หลี่เชินไม่เยิ่นเย้อต่อไปอีก พูดจาตรงประเด็นเข้าใจง่าย
“ทำไมจะต้องฟังคุณด้วยคะ ถ้าหากว่าฉันปฏิเสธคำขอของคุณแล้วจะเป็นอย่างไร” นิสัยดื้อรั้นของกู้ฮอนเริ่มปรากฏขึ้นมา
เธอรู้สึกว่านี่เป็นคำพูดที่น่าขบขันจริงๆ
“เพราะว่าพวกเรามีบุญคุณความแค้นกับตระกูลเป่หมิง นี่ยังไม่พออีกหรือ” หลี่เชินพูดพลางชี้นิ้วไปทางภาพครอบครัว “แต่ก่อนพวกเรามีชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมากขนาดไหน แต่ว่าในภายหลังล่ะ ก่อนอื่นคือลูกหายไป ภายหลังแม่ของลูกก็จากไป เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะตระกูลเป่หมิงหรอกหรือ ส่วนลูกล่ะ เพื่อที่จะปกป้องไอ้เด็กนั่น ไม่เสียดายที่จะต้องออกมาเป็นพยาน ต้องการจะช่วยเขาออกมา ทั้งยังไม่นึกเลยว่าลูกจะนั่งบนตำแหน่งประธานบริษัทเป่หมิงด้วย เพื่อที่จะรักษาความมั่งคั่งของตระกูลพวกเขาไว้ ลูกคิดว่าทำแบบนี้แล้วทำให้ใครผิดหวังกัน ทำให้แม่ของลูกผิดหวังไหม!”
กู้ฮอนฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว เธอก็ทำเพียงแค่ยิ้มเฉยชา “ก่อนอื่นฉันขอให้คุณอย่าใช้คำว่า พวกเรา ฉันไม่เคยยอมรับว่าคุณมีความสัมพันธ์อะไรกับฉัน สำหรับเรื่องที่ฉันให้ความช่วยเหลือเป่หมิงโม่นั้น อย่างแรกเลยก็เพราะว่าเขาช่วยชีวิตฉัน ข้อสองในฐานะที่ฉันเป็นทนายความคนหนึ่ง ฉันมีหน้าที่ที่ต้องต่อสู้กับสิ่งชั่วร้าย ฉันเชื่อว่าคุณแม่จะต้องเห็นด้วยกับการกระทำแบบนี้ของฉัน แต่คุณล่ะ ทั้งวันจมอยู่กับการแก้แค้น แม้ว่าจะต้องทำเรื่องเลวร้ายก็ไม่ลังเล ตอนนี้คนที่ควรจะต้องฟังคำเตือนไม่ใช่ฉันแต่เป็นคุณ ไม่ว่าตอนนี้คุณจะมีสถานะอะไรทำอะไรอยู่ ฉันจะทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้คุณนะคะว่า อย่าใช้อำนาจในทางที่ผิด ตอนนี้วางมือก็ยังทัน ไม่อย่างนั้นถึงตอนท้ายจะตกอยู่ในก้นหุบเขาเบื้องลึกที่ไม่สามารถปีนขึ้นมาได้อีก”
เธอเอ่ยจบแล้วก็ไม่มองหลี่เชินอีก หมุนตัวเดินไปทางประตูทันที การพูดเรื่องเหล่านี้กับเขาก็ถือว่าเป็นการพยายามให้คำแนะนำ เพื่อช่วยผู้หลงผิดอย่างดีที่สุดแล้ว ในเวลาเดียวกันก็แสดงให้เห็นจุดยืนและมุมมองของตัวเองอย่างชัดเจน
หลี่เชินมองแผ่นหลังของกู้ฮอน นัยน์ตาหรี่ลงอย่างอดไม่ได้ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคำพูดของตัวเองไม่ได้ทำให้ลูกสาวเกิดความเห็นใจ เขากัดฟันแน่น “พ่อทำแบบนี้ไม่มีอะไรที่ผิด ลูกคิดว่าพวกตระกูลเป่หมิงเป็นคนประเภทไหนกัน ตอนแรกที่เป่หมิงเจิ้งเทียนทำให้บริษัทเป่หมิงเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ใช้วิธีสกปรกน้อยเสียเมื่อไร ไม่เพียงแต่บริษัทเป่หมิงเท่านั้น ลูกดูสิบริษัทและครอบครัวที่มีชื่อเสียง ตอนที่พัฒนาให้เติบใหญ่เข้มแข็งนั้น มีใครบ้างที่ไม่เคยเดินบนเส้นทางสีเทา พวกเขาล้วนไม่ใช่คนสะอาด กู้ฮอน ลูกปล่อยวางความชอบธรรมที่ใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนเด็กๆนั้นไป ในสังคมนี้ไม่มีความชอบธรรมที่แท้จริงหรอก ความชอบธรรมทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงแค่คำอ้างของเหล่าผู้มีอำนาจที่บอกเพื่อปกป้องหัวใจของเหล่าประชาชนที่โง่เขลาเท่านั้นเอง”
***
กู้ฮอนหยุดเท้า หันหน้ากลับมาอีกครั้ง ท่าทีของเธอดูเด็ดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ว่าจะเหมือนกับที่คุณพูดหรือไม่ สุดท้ายแล้วฉันก็ยังยึดมั่นในมุมมองและความคิดของตัวเองอยู่ดี และจะพยายามเพื่อสัจธรรมและความชอบธรรมที่ฉันยึดมั่นด้วย มุมมองของคุณและฉันค่อยเหมือนกัน จึงไม่มีบทสนทนาอะไรให้พูดคุยกันต่อไปอีก ยังมี หลังจากนี้ขอให้คุณอย่ามารบกวนลูกๆของฉันอีก”
การเดินออกจากบ้านพักก็หมายความว่าได้แตกหักกับหลี่เชินแล้วจริงๆ แบบนี้ก็ดี ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ชัดเจนแล้ว เมื่อลงมือทำก็ไม่ต้องกังวลหรือต้องคาดเดาอะไรอีก
ร่างเล็กๆของหยางหยางอยู่ใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านพักต้นหนึ่ง เขาเงยหน้ามองขึ้นไป จากการเขย่าไปมาเบาๆของต้นไม้ก็สามารถเห็นได้ว่าด้านบนมีเงาร่างของคนคนหนึ่งอยู่ นั่นก็คือถังเทียนจื้อ มองดูแล้วเหมือนกับว่าเขากำลังเด็ดอะไรอยู่ด้านบนนั้น
กู้ฮอนเดินหน้าตึงมาถึงข้างรถตัวเอง มองไปที่ลูกชาย “หยางหยาง มานี่ พวกเราจะกลับแล้ว”
“แม่ครับ แปปเดียวก็ไปแล้วหรือ ผมยังเล่นที่นี่พอไม่เลย” หยางหยางกำลังมองถังเทียนจื้อที่อยู่บนต้นไม้อย่างสนอกสนใจ จึงไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าของกู้ฮอนในตอนนี้
เด็กๆก็เป็นเช่นนี้ จิตใจและความสนใจมักจะถูกสิ่งหรือเรื่องใหม่ๆดึงดูดได้ง่ายๆ
“กู้หยางหยาง แม่จะพูดอีกรอบนะ รีบไสหัวมาหาแม่เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นลูกก็อย่าคิดว่าจะได้กลับมาที่นี่อีก” กู้ฮอนเห็นท่าทางของลูกชายแล้วก็มีโทสะขึ้นมา อีกทั้งเสียงก็ยังสูงขึ้นหลายส่วนด้วย
หยางหยางนั้นเหมือนจะได้กลิ่นของระเบิดบางๆ เขาสอดมือเล็กๆเข้าไปในกระเป๋ากางเกง มองถังเทียนจื้อที่อยู่บนต้นไม้ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ จากนั้นก็เดินคอตกเหมือนกับตอนที่ออกมาจากบ้านพักไปหากู้ฮอน
“ซ่าๆๆ”
หลังจากที่มีเสียงต้นไม้เขย่าดังลอยมา ถังเทียนจื้อก็กระโดดลงมาจากด้านบน ในเวลาเดียวกับที่เขาลงมานั้น ยังมีเศษใบไม้สีเขียวเล็กน้อยด้วย ดูเหมือนว่าในมือของจะอุ้มอะไรบางอย่างอยู่อย่างระมัดระวัง
“ฮอน ทำไมถึงได้กลับเร็วอย่างนี้ล่ะ ไม่คิดจะพูดกับอาจารย์นานกว่านี้อีกหน่อยหรือ” ถังเทียนจื้อพูดพลางเดินเข้าไปหาพวกเขา
กู้ฮอนไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่มองไปทางลูกชายที่กำลังเดินเข้ามา “ขึ้นรถ”
รอจนถังเทียนจื้อเดินมาใกล้พวกเขา กู้ฮอนก็ติดเครื่องยนต์แล้ว เขามองกู้ฮอนที่หน้าบึ้งตึงและก็มองไปยังอาจารย์ที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู ก็รู้ว่าการพูดคุยของพวกเขาล้มเหลวแล้ว
จากนั้นเขาก็ยิ้มพลางเคาะกระจกรถ ยกสิ่งมีชีวิตในมือตัวเล็กๆขึ้นมาโบกไปมาหน้าหยางหยาง “ในเมื่อจะไปแล้วก็พามันไปด้วยเถอะ”
หน้าต่างรถลดลง ใบหน้าของหยางหยางเต็มไปด้วยความปีติยินดี “ว้าว คุณอาบิวตี้เก่งจริงๆ ขนาดตัวนี้ก็ยังถูกคุณอาจับเอาไว้ได้”
ถังเทียนจื้อยิ้มบางๆ “อามีความสามารถขนาดนั้นที่ไหนกัน มันคล่องแคล่วขนาดนี้ก็จับไม่ง่ายเลย ยังดีที่อาวางกับดักไว้บนต้นไม้ วันนี้ถือว่าเราโชคดีนะ อาจะมอบมันให้เธอแล้วกัน”
เขาพูดพลางวางกระรอกตัวน้อยลงในตะกร้าใบเล็กหลังเอวที่เขาหยิบติดมือมาตอนที่เดินออกมาจากบ้านพัก
หยางหยางรับตะกร้าใบเล็กมาอย่างดีใจ “ขอบคุณครับคุณอาบิวตี้ รอครั้งหน้าผมจะมาเล่นกับคุณอีก คุณอาจับให้ผมสักหลายตัวสิครับ”
ถังเทียนจื้อหัวเราะ “ได้ ไม่มีปัญหา ตอนกลับไปแล้วก็เชื่อฟังคุณแม่ด้วยเข้าใจไหม”
กู้ฮอนได้ยินประโยคนี้ของเขาแล้วก็ทั้งฉิวทั้งขัน เธอพูดเสียงเย็นว่า “ถ้าหากว่าเขาเชื่อฟังฉันจริงๆล่ะก็ คงจะไม่โดดเรียนแล้วถูกคุณพามาที่นี่หรอก”
***
ถังเทียนจื้อถูกพูดใส่ก็ทำได้เพียงแค่ยักไหล่อย่างจนปัญญา จากนั้นก็หันหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มไปพูดกับกู้ฮอน “ผมยอมรับว่าวันนี้ผมทำเกินไปหน่อย เพียงแต่ว่าเกิดจากความหวังดีอย่างแน่นอน”
“ความหวังดี ถ้าหากว่าเกิดจากความหวังดีจริงๆก็คงจะไม่ทำแบบนี้ คุณเขยิบไปหน่อย พวกเราจะกลับแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะขับรถผ่านร่างของคุณไป”
“ฮ่าๆ คุณไม่ทำหรอก ไม่อย่างนั้นก็ยุ่งยากแล้ว คืนวันหลังจากนี้ก็ยากที่จะได้เจอเด็กๆที่น่ารักอย่างพวกเขาสามคนแล้ว เพียงแต่ว่าแบบนี้ อาจารย์ของผมก็เป็นญาติเพียงคนเดียวที่จะใช้สิทธิหน้าที่ผู้ดูแลพวกเขาแล้วน่ะสิ”
กู้ฮอนกลอกตามองบนใส่เขา “ฝันไปเถอะ” จากนั้นก็เข้าเกียร์ถอยหลัง หลังจากรถถอยหลังไปสองสามเมตรแล้ว ล้อรถก็หักเลี้ยว จากนั้นก็หายลับไปจากผืนหญ้าสีเขียวและบ้านพักที่ซ่อนตัวอย่างสันโดษอยู่หลังต้นไม้ตามเส้นทางขามา
ถังเทียนจื้อค่อยๆเดินไปหาหลี่เชินที่ยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู จากนั้นก็ยักไหล่อย่างจนปัญญา “อาจารย์ คุณว่าตอนนี้พวกเราควรจะทำอย่างไรครับ”
หลี่เชินถอนหายใจ บทบาทฐานะการเป็นบิดาและสามีในชีวิตนี้ล้วนล้มเหลวเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมีความยึดมั่นถือมั่นหนึ่งที่พาดผ่านในใจเขา
“ในเมื่อเธอไม่ยินยอม อย่างนั้นก็ไม่ต้องฝืนแล้ว พวกเราก็ทำตามแผนการต่อ อย่างไรสิ่งเหล่านี้สำหรับเธอจะมีหรือไม่มีก็ได้ พวกเราช่วยเธอปลดภาระนี้ทิ้งไป” หลี่เชินพูดอย่างช้าๆแล้วก็หมุนตัวเดินเข้าไปในบ้านพัก
ถังเทียนจื้อเข้าใจความหมายของอาจารย์ หันหน้ากลับไปมองยังสถานที่ที่กู้ฮอนจากไป จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาประโยคหนึ่งว่า “อย่างนั้นก็ขอให้คุณโชคดี”
ถัดมาก็เดินไปข้างรถของตัวเอง เตรียมตัวขึ้นไปนั่งในรถ
ในตอนนี้ก็มีเสียงรถยนต์ดังลอยมาจากที่ไกลๆ หลังจากนั้นก็มีรถ SUV คันหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ข้างบ้านพัก
รถไม่ได้ดับเครื่องยนต์ ประตูรถก็เปิดออก ชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าคนหนึ่งกระโดดลงมาจากด้านใน เขาก็คือฉิงฮัวที่รีบตามมา เห็นได้ชัดเลยว่าเขามาช้าไปก้าวหนึ่ง
เพียงแต่ดูท่าเส้นทางที่เขามาจะไม่ได้พบกับกู้ฮอน ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่ตามมาถึงที่นี่
ถังเทียนจื้อหันหน้าไปมองฉิงฮัว ในใจก็เข้าใจขึ้นมาหลายส่วนในทันที จึงโบกมือไปทางเขา “ผู้ช่วยฉิง ทำไมคุณถึงได้มาที่นี่ได้กัน”
“ทั้งที่เข้าใจอยู่แล้ว คุณช่วยเลิกแกล้งทำมึนให้มันน้อยๆหน่อย คุณผู้หญิงกับคุณชายน้อยหยางหยางล่ะ พวกเขาถูกคุณซ่อนเอาไว้ที่ไหนแล้ว” ตอนที่ฉิงฮัวมาถึงที่นี่ก็ไม่เห็นรถของกู้ฮอน เขากังวลมากว่าพวกเขาจะถูกถังเทียนจื้อส่งคนเคลื่อนย้ายไปแล้ว
เมื่อประสบกับเรื่องของเจ้านายและหยางหยางไป เขาก็รู้ว่าถังเทียนจื้อคนนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถทำออกมาได้หมด
ถังเทียนจื้อแบมือสองข้าง จากนั้นก็มองซ้ายมองขวา “ผู้ช่วยฉิง เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ อีกทั้งคุณก็โชคไม่ดีเอาเสียเลยที่มาในตอนที่พวกเขาเพิ่งจะจากไป