บทที่ 973 ผู้สูงส่งมักจะลืมตัว
แม้แต่เป่หมิงยี่เฟิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยังรู้สึกหมดแรงขึ้นมาบ้าง ที่เขาตามมาด้วยหลัก ๆ ก็เพราะว่าตามมาดูเรื่องสนุก ถึงแม้เขาจะไม่อยากเห็นกู้ฮอนโดนบีบบังคับ แต่ว่าถ้าคิดจะทำการใหญ่แล้วละก็ ก็จะต้องห้ามมีความสงสารมากนัก และนี่ก็คือเหตุผลที่เขาไปหาติงฉางชิ่งเพื่อต่อรองแต่แรก
ในที่สุดวันนี้ติงฉางชิ่งก็เดินมาถึงก้าวนี้ แต่ว่าสิ่งที่เกินคาดคือ ตอนแรกนี่ถือว่าเป็นหมากดีกระดานหนึ่ง แต่กลับมาทำเกินไปหน่อย อย่างที่หนึ่งคือตัวติงฉางชิ่งเองไม่ได้ปลดปล่อยความเกลียดชังของเขาออกมาตั้งแต่แรก และในช่วงตอนหลังนั้นยังได้ทำเรื่องราวมากมายที่ทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างง่าย ๆ แล้วอย่างที่สองคือเลือกคนมาก่อกวนผิดคนแล้ว……
โดยรวมแล้วคือใช้ทหารได้ไม่ดีเอง
ตอนนี้กู้ฮอนยังโยนหัวข้อกลับมาให้พวกเป่หมิงยี่เฟิงอีก นี่ไม่ใช่จะให้พวกเขาแสดงท่าทีที่ชัดเจนออกมาเหรอ ถ้าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของกู้ฮอนแล้วละก็ ก็ต้องยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเธอ และที่สำคัญติงฉางชิ่งก็เป็นคนไม่มีเหตุผลก่อนจริง ๆ
แต่ว่าถ้าเห็นด้วยกับกู้ฮอนและยังมามีบทบาทเป็นพยานให้เธออีกแล้วละก็ อย่างงั้นพวกเขาก็ถือว่าต้องผิดใจกับติงฉางชิ่งแล้ว……
นี่มันถือว่าขี่อยู่บนหลังเสือแล้วลงไม่ได้ชัด ๆ
สายตาของกู้ฮอนมองไปทางเป่หมิงยี่เฟิง “หัวหน้าเป่หมิง พวกเขาไม่เชื่อที่ฉันพูด ในฐานะที่คุณเป็นหัวหน้าแผนกคนหนึ่งและได้เข้าร่วมการประชุมนั้นแล้ว และที่สำคัญคุณยังเป็นสมาชิกของตระกูลเป่หมิงอีกด้วย คนส่วนใหญ่น่าจะเชื่อคุณมากกว่าฉัน ตอนนี้ก็รอแค่ให้คุณมาพูดกับพวกเขาสักหน่อย”
“นี่……” สำหรับเป่หมิงยี่เฟิงนี่มันโยนไก่ย่างต้องหักคอให้เขาแล้วจริง ๆ เขามองไปที่พวกคนที่มาก่อกวน ในใจก็คิดขึ้นว่า : เรื่องมันเสียก็เสียก็เพราะว่าเสียมาจากตัวพวกแกแหละ
“ที่ประธานกู้พูดมานั้นไม่ผิด ลุงฉางชิ่งได้ทำเกินไปแล้วจริง ๆ และที่สำคัญฉันก็เห็นด้วยกับความคิดและการกระทำของประธานกู้”
คำพูดประโยคนี้ของเป่หมิงยี่เฟิงถือว่าได้สาดน้ำเย็น ๆ หนึ่งกะละมังใส่หัวกลุ่มคนพวกนี้อีกครั้ง ในใจพวกเขานั้นเข้าใจชัดเจนดีว่า เป่หมิงยี่เฟิงนั้นจ้องตำแหน่งประธานมาตลอด ตามหลักแล้วเขาน่าจะมาร่วมวิจารณ์กู้ฮอนด้วยไม่ใช่เหรอ จากนั้นก็ร่วมแรงร่วมใจกับทุกคนช่วยกันผลักกู้ฮอนให้ตกไปจากตำแหน่งประธานกรรมการ
แต่ว่าอยู่ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ เป่หมิงยี่เฟิงกลับมากลับลำซะนี่ ในสายตาของคนส่วนหนึ่ง กลับยิ่งรู้สึกว่าเป่หมิงยี่เฟิงนั้นช่างหน้าตัวเมีย เพียงแต่ว่าในเมื่อตอนนี้เขาไปเป็นพยานให้กู้ฮอนแล้ว ยังมีอะไรให้น่าพูดต่ออีก
แต่ว่านอกจากเรื่องนี้แล้วพวกเขายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่สามารถจู่โจมให้ประชิดเข้าไปอีก และแน่นอนคนที่พูดก็ยังเป็นแกนนำคนเมื่อกี้ที่โดนกู้ฮอนพูดขัดจนไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียวคนนั้น “ประธานกู้ ถึงแม้ว่าที่คุณพูดมาจะมีเหตุผล แต่ว่าคุณทำแบบนี้จะให้ลุงฉางชิ่งเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ไม่ว่ายังไง คุณก็ควรต้องไปขอโทษเขาสักหน่อย”
ในเมื่อกู้ฮอนถือไพ่เหนือกว่าแล้ว ทำไมยังต้องพวกเขาพูดอะไรก็คืออะไรล่ะ “ทำไมฉันจะต้องไปขอโทษเขาด้วย? คนที่ทำผิดคือเขาไม่ใช่ฉันสักหน่อย ถ้าจะต้องขอโทษแล้วละก็ ก็ควรจะเป็นเขาที่มาขอโทษฉัน”
นี่มันไม่ดีแล้ว เรื่องราวถูกพูดจนถึงทางตันแล้ว
“ประธานกู้ งั้นคุณสามารถให้คำอธิบายกับเราเรื่องทำไมถึงไม่เข้าร่วมการประกวดราคาของรัฐได้ไหม? ในใจพวกเราต่างก็รู้ดีว่า ครั้งนี้ที่รัฐทำนั้นมันเป็นโครงการใหญ่เลยนะ บริษัทใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากมายในประเทศเขาก็ได้เริ่มเตรียมตัวกันแล้ว สถานการณ์ของบริษัทเป่หมิงของเราตอนนี้ ผมคิดว่าคุณก็น่าจะรู้ดี ในมือมีแค่งานวิศวกรรมสองงานที่กำลังเก็บรายละเอียดอยู่แล้วก็ไม่มีงานอื่นให้ทำแล้ว ด้วยชื่อเสียงของบริษัทเป่หมิงของเรา ถ้าไปร่วมประมูลแล้วละก็ โอกาสชนะก็มีสูงอยู่แล้ว ในฐานะที่คุณเป็นประธานไม่ได้คิดเผื่อบริษัทเป่หมิง และไม่ได้คิดเผื่อพนักงานอย่างพวกเราบ้างเลยเหรอ?”
***
ปัญหาที่กู้ฮอนไม่อยากจะเผชิญหน้าที่สุดก็คือปัญหานี้ เพราะว่าคนคนนั้นพูดได้ไม่ผิด ไม่ว่าจะด้านความรู้สึกหรือด้านเหตุผลแล้ว ถ้าบริษัทเป่หมิงเข้าร่วมการประกวดราคาของรัฐนั้นมีแต่ได้เห็น ๆ ไม่มีเสียสักนิด
และที่สำคัญ การเผชิญหน้ากับการส่งราคาเข้าประมูลกับรัฐนั้น บริษัทเป่หมิงก็มีประสบการณ์มามากมาย และยังมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จมาเยอะแล้วอีกด้วย ถ้าหากเข้าร่วม พูดไม่ได้ว่าโอกาสชนะมีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็มีเจ็ดสิบถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ได้
ความน่าจะเป็นแบบนี้หรือกระทั่งสามารถเมินเฉยอีกยี่สิบถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์นั้น
โครงการที่ใหญ่แบบนี้ มันเป็นสิ่งที่พนักงานบริษัทเป่หมิงทั้งบนทั้งล่างต่างก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยทั้งนั้น
ในเมื่อมีคนเอ่ยหัวข้อนี้ขึ้นมา กู้ฮอนก็ไม่อาจหลบเลี่ยงได้แล้ว โดยเฉพาะเวลาแบบนี้ ถ้าตัวเองหมุนตัวจากไปแล้วละก็ ความโกรธเกลียดของผู้คนที่สงบลงไปเมื่อกี้ก็จะลุกฮือขึ้นอีกครั้งแน่ นี่คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดสักเท่าไหร่
แต่ว่าควรจะตอบพวกเขาว่ายังไงดีล่ะ? หรือจะต้องบอกไปตรง ๆ เลยว่าผู้อำนวยการโกวที่รับผิดชอบการก่อสร้างโครงการวิศวกรรมคนนั้น เป็นแค่สุภาพบุรุษจอมปลอมเหรอ? และเมื่อไม่กี่วันก่อนตัวเองยังเกือบจะโดนเขาทำมิดีมิร้าย ‘ใต้โต๊ะ’ แล้วด้วยงั้นเหรอ?
ถึงแม้จะพูดไปอย่างนี้ แล้วจะมีใครยอมเชื่อล่ะ และอีกอย่าง ‘ใต้โต๊ะ’ แบบนี้นั้นเป็นสิ่งที่หลาย ๆ บริษัทอยากจะได้แต่กลับไม่ได้
เห็นกู้ฮอนดูเหมือนมีท่าทีลำบากใจแล้ว เป่หมิงยี่เฟยก็รู้สึกว่านี่คงจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่ตัวเองจะปล่อยไม้เด็ดแล้ว ตอนนี้ก็ไม่กลัวว่าจะต้องสู้ตาต่อตาฟันต่อฟันกับกู้ฮอนแล้ว
คนพวกนี้ก็ดูออกว่าที่กู้ฮอนอ้ำอึ้งพูดไม่ออกนั้น จะต้องมีปัญหาแน่ ๆ เสียงกระซิบกระซาบกันดังขึ้นเป็นระลอก ๆ แกนนำคนนั้นกำลังเริ่มกำไม้กำมือ เตรียมจะต่อว่าเธอให้หนัก เพื่อแก้แค้นทั้งหมดของเมื่อกี้
“ทุกคนเงียบก่อน……” เป่หมิงยี่เฟิงเดินเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และโบกไม้โบกมือให้พวกเขาสงบลง
นี่มันหน้าตาของคนตระกูลเป่หมิง คนส่วนใหญ่ก็ต้องไว้หน้าอยู่แล้ว พวกเขาก็เลยค่อย ๆ เงียบเสียงลง และสายตาก็มองไปที่เขาอย่างพร้อมเพรียง
แม้แต่กู้ฮอนกับฉิงฮัวก็ยังหันสายตาไปมองที่ตัวเขา ในช่วงรอยต่อสำคัญแบบนี้ มาฟังดูซิว่าตกลงเขาอยากจะพูดอะไร
เป่หมิงเฟยหย่วนตื่นตกใจจนรีบร้อนเดินไปถึงข้างกายลูกชาย แล้วพูดเสียงเบาว่า “ยี่เฟิง ตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาไหนแล้ว แกยังจะมาทำเป็นอวดเก่งที่นี่ ถ้าเกิดแกไปขัดใจพวกเขาเข้า ความซวยนี้ก็มาตกอยู่ที่แกแน่นอนนะ”
เป่หมิงยี่เฟิงยิ้มขึ้นจาง ๆ เห็นได้ชัดว่ามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม “พ่อ พ่อวางใจเถอะ ผมจะต้องสามารถเปลี่ยนสถานการณ์จากร้ายให้กลายเป็นดีได้แน่นอน”
ในเมื่อลูกชายก็พูดถึงขนาดนี้แล้ว เป่หมิงเฟยหย่วนก็พูดอะไรอีกมากไม่ได้แล้ว จากนั้นก็ถอยกลับไปตรงตำแหน่งเดิมอีกครั้ง
เป่หมิงยี่เฟิงกระแอมให้โล่งคอ “เพื่อนร่วมงานบริษัทเป่หมิงทุกท่าน ผมรู้ว่าทุกคนนั้นหวังดีกับบริษัทเป่หมิงทั้งนั้น แต่ว่าประธานกู้ก็หวังดีกับบริษัทเป่หมิงเช่นกัน……”
ไม่รอเขาพูดคำพูดต่อไป ภายในฝูงชนก็เริ่มพูดต่อขึ้นมา “เธอเนี่ยนะจะหวังดีกับบริษัทเป่หมิงของเรา? ชิ้นเนื้อที่คนเขากำลังแย่งกัน เกือบจะมาถึงปากเราแล้วเชียว แต่กลับปรากฏว่า โดนเธอโยนทิ้งไปซะงั้น อย่าคิดว่าพวกเราไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับประธานเป่หมิงนะ เธอนั้นไม่กลัวว่าชีวิตต่อไปจะมีปัญหา แต่พวกเรานั้นทั้งบ้านทั้งลูก ยังต้องหาเงินเลี้ยงครอบครัวอีกนะ พวกเธอว่าใช่ไหมล่ะ!”
“ใช่……” ผ่านการยุยงไปอีกหนึ่งรอบ อารมณ์ของผู้คนก็เริ่มดุเดือดขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อเทียบกับเมื่อกี้แล้วมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นไม่มีลดน้อยลงเลย
นี่ทำให้เป่หมิงยี่เฟิงไม่ยกมือขึ้นมาปรามให้เงียบลงอีกครั้งไม่ได้
“ความรู้สึกของทุกท่านผมเข้าใจดี เพราะฉะนั้นผมได้คิดทางออกไว้วิธีหนึ่ง ที่สามารถทำให้ทุกคนมีชีวิตอยู่ได้อย่างสบายใจ ในเมื่อประธานกู้ไม่สะดวกให้บริษัทเป่หมิงออกหน้าร่วมประมูล งั้นที่ผมนั้นยังมีบริษัทอีกบริษัทหนึ่ง เราสามารถใช้มันมาเป็นบริษัทลูกของบริษัทเป่หมิงในการเสนอราคา รอถึงถ้าชนะการประมูลและได้เริ่มงานแล้ว ผลกำไรทั้งหมดที่บริษัทได้ก็จะนำส่งมอบขึ้นมาให้บริษัทเป่หมิง ทุกคนคิดว่าเป็นยังไงกันบ้างครับ?”
**
พอคำพูดชุดนี้ของเป่หมิงยี่เฟิงพูดออกไปแล้วนั้น ก็ให้เกิดเสียงดังแซงแซ่ขึ้นมาทันที กู้ฮอนและฉิงฮัวนั้นกลับแปลกใจมากมาย พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเป่หมิงยี่เฟิงจะมาไม้นี้ ตกลงจุดประสงค์ของเขาคืออะไรกันแน่?
“คุณชายเป่หมิง ความคิดของคุณเหมือนจะดีมาก ๆ แต่ว่าพวกเรามีความสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง นั้นก็คือบริษัทที่คุณพูดถึงจะสามารถชนะการประกวดราคาของรัฐได้จริง ๆ เหรอ? และถ้าถึงแม้จะชนะการประมูลได้ แต่ช่วงเวลาในอนาคตที่จะมาถึงนี้ คุณจะสามารถแน่ใจได้เหรอว่าจะนำเอาผลกำไรทั้งหมดมาให้บริษัทเป่หมิงได้ ผลกำไรในการซื้อขายมูลค่าสูงขนาดนี้ จะมีบริษัทไหนยอมเอาออกมากัน”
หลังจากคำถามนี้พูดออกมาแล้วนั้น ก็ทำให้เกิดเสียงพูดคุยของทุกคนขึ้นมา “ใช่ คุณชายเป่หมิง คุณอย่ามาหลอกลวงพวกเรานะ”
เป่หมิงยี่เฟิงยิ้มอ่อน ๆ ทีหนึ่ง “ทุกคนไม่ควรมากังวลถึงส่วนนี้ ที่ผมสามารถให้คำรับประกันได้ขนาดนี้ ก็เพราะว่าบริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นภายใต้ชื่อของผม ในฐานะที่เป็นคนของตระกูลเป่หมิง ผมจะมาทนเห็นบริษัทเป่หมิงต้องมาเจอกับโจทยากแบบนี้แล้วอยู่เฉย ๆ ไม่สนใจไยดีได้ยังไงกัน?”
“คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า คุณชายเป่หมิงยังจะมีบริษัทส่วนตัวอีกบริษัทหนึ่ง” ฉิงฮัวรู้สึกแปลกใจมาก แล้วเขาก็พูดกับกู้ฮอนเสียงเบาขึ้น “ดูท่าแบบนี้แล้ว เขาจะกลายเป็นคนมีสิทธิ์ในการตัดสินใจ และยังไม่ต้องโดนอะไรมาควบคุมอีก”
กู้ฮอนรู้ว่าตอนนี้เป่หมิงยี่เฟิงเริ่มรวบรวมจิตใจผู้คนแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปตัวเองก็มีโอกาสโดนรังเกียจอย่างลับ ๆ แล้ว และตำแหน่งประธานนี้ก็คงกลายเป็นแค่เปลือกเท่านั้น
“วิธีนี้ฉันขอคัดค้าน” เธอจำเป็นจะต้องแสดงเจตนารมณ์ของตัวเองให้ชัดเจนตอนนี้ “คุณเป่หมิง ฉันรู้ว่าความคิดแบบนี้ของคุณเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่ฉันจะต้องย้ำเตือนสักหน่อย ฉันจำได้ว่าในกฎบัญญัติการควบคุมของบริษัทเป่หมิงนั้นมีอยู่ข้อหนึ่งว่า : ทุกคนที่เป็นพนักงานของบริษัทเป่หมิง จะไม่สามารถทำงานอื่นใดนอกเหนือจากของบริษัท นอกซะจากว่าต้องเลิกทำงานเหล่านั้นหรือไม่ก็ต้องถูกไล่ออกจากบริษัทเป่หมิง ในฐานะที่คุณเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเป่หมิง หรือว่าคุณไม่ชัดเจนในความเข้มงวดของกฎบัญญัติข้อนี้เหรอ?”
คำพูดของกู้ฮอนอย่างแรกทำให้เป่หมิงเฟยหย่วนกับหลันเนี่ยนต้องปาดเหงื่อเพราะว่าลูกชาย กฎบัญญัติข้อนี้ยังเป็นข้อที่คุณท่านเป่หมิงเป็นคนตั้งขึ้นเองกับมือ จุดประสงค์ก็เพื่อให้พนักงานที่เป็นของบริษัทเป่หมิงทุกคนตั้งอกตั้งใจทำงานแต่เพียงที่เดียว ถึงจะสามารถทำให้เกิดผลประโยชน์ที่มีคุณภาพที่สุดได้
นี่เธอกำลังบีบบังคับให้เป่หมิงยี่เฟิงต้องเลือก ระหว่างอยู่ในบริษัทเป่หมิงต่อ หรือว่าจะจากไป และไม่ว่าเขาตัดสินใจยังไง ก็เป็นผลดีต่อกู้ฮอนทั้งนั้น
พอเป่หมิงยี่เฟิงพูดคำพูดเหล่านี้จนแล้ว ตัวเองก็เหมือนจะรู้สึกถึงว่ากู้ฮอนมีโอกาสที่จะถามตัวเองแบบนี้แล้ว หรือกระทั่งยังสามารถใช้สิ่งนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อขจัดตัวเองให้ออกไปจากบริษัทเป่หมิงอย่างสิ้นซาก
ทำไมเขาถึงทำเรื่องที่พอหัวร้อนก็ทำออกมาได้แบบนี้ ก็ต้องเป็นเพราะว่าตัวเขานั้นได้คิดวิธีรับมือไว้อยู่แล้วนะซิ
เขาหันหน้ามายิ้มอ่อน ๆ ให้กู้ฮอน “ประธานกู้ เหมือนว่าคุณจะลืมไปแล้ว หรือว่าคุณไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำ ผมมาอยู่ตรงนี้ในฐานะหุ้นส่วนใหญ่อันดับสองของบริษัทเป่หมิง ก่อนหน้านั้นผมก็มีบริษัทภายใต้ชื่อของตัวเองอยู่แล้ว ประธานเป่หมิงคนก่อนก็รู้เรื่องนี้ดี ในตอนนั้นเขาก็อนุญาตให้ผมทำแบบนี้ได้แล้ว แล้วตอนนี้คุณออกตัวมาเอ่ยถึงความสงสัยแบบนี้ ผมแค่สามารถเข้าใจได้ว่า คุณไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในนี้ถึงได้ทำแบบนี้ออกมา แล้วถ้าหากทั้ง ๆ ที่คุณรู้อยู่แล้วแต่ก็ยังทำละก็…… งั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว”
ตอนแรกอยากจะซัดเป่หมิงยี่เฟิงสักจุดหนึ่ง แต่ว่าคิดไม่ถึงว่าเขากลับซัดกลับมาแบบนี้ นี่ถึงกับทำให้กู้ฮอนรู้สึกเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกเลย
“ใช่ เรื่องมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว” หลังจากที่เป่หมิงยี่เฟิงเตือนขึ้น ในฝูงชนที่วุ่นวายก็มีหัวหน้าแผนกคนหนึ่งทนไม่ไหวก้าวออกมาเป็นพยานให้ จากที่พวกเขาดูแล้ว ถึงแม้จะขัดใจกับกู้ฮอน ก็ต้องปกป้องเป่หมิงยี่เฟิงไว้ พวกเขาถึงจะมีความหวังอยู่ต่อไปได้ในความเป็นจริง
***
พูดอย่างจริงจังแล้ว สถานะของเป่หมิงยี่เฟิงนั้นค่อนข้างพิเศษจริง ๆ ด้วย เขาเป็นผู้ก่อตั้งของอีกบริษัทหนึ่ง และก็ยังมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนอันดับสองของบริษัทเป่หมิง เรื่องที่มาทำงานในบริษัทเป่หมิงและยังโดนเป่หมิงโม่ยอมรับแล้วด้วยนั้น ไม่ว่ายังไง นี่กลับทำให้กู้ฮอนตัดสินใจอะไรได้อย่างยากลำบาก