บทที่ 974 สวัสดี พยาธิตัวกลม
“ประธานกู้ ถ้าหากคุณกังวลว่าผมจะใช้ชื่อเสียงของบริษัทเป่หมิงมาทำผลประโยชน์อะไรให้กับตัวเองแล้วละก็ ผมสามารถประกาศตอนนี้ได้เลยว่า : ถ้าหากบริษัทของผมชนะการประมูลแล้ว ผมจะมอบผลกำไรทุกอย่างให้กับบริษัทเป่หมิง ในเมื่อผมก็ยังเป็นคนของตระกูลเป่หมิงอยู่ ถอยหนึ่งหมื่นก้าวมาพูด บริษัทเป่หมิงเป็นสิ่งที่คุณปู่ของผมก่อสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก จะว่ายังไงดีละไม่ว่ายังไงผมก็คงไม่กินอยู่ข้างในแล้วกลับเอาผลประโยชน์ไปไว้ข้างนอกหรอก”
“ฮวน คุณวางใจเถอะ ถ้าหากยี่เฟิงกล้าทำเรื่องอะไรที่ทำให้บริษัทเป่หมิงเสียเปรียบขึ้นมา ถึงคุณจะไม่เอาเรื่อง ผมก็ต้องตีเขาให้ขาหักเอง” เป่หมิงเฟยหย่วนได้โอกาสก็รีบพูดเสริมขึ้น
ดูท่าเรื่องนี้ก็คงต้องทำตามแบบนี้แล้ว ตอนนี้ตัวเองถือว่าเป็นพรรคส่วนน้อยแล้ว ถ้าหากยังจะยืนการจะทำใจตัวเองอย่างเดียวแล้วละก็ คาดว่าคงจะไม่ใช่แค่เรื่องที่ทำให้ผู้คนโกรธแล้ว เบื้องหลังพวกเขาอาจจะทำให้ทั้งบริษัทเป่หมิงวุ่นวายไปเลยก็เป็นได้ และอีกอย่าง ตอนแรกที่เธอไปพบผู้อำนวยการโกวที่โรงพยาบาลนั้น เขาได้พูดไว้แล้วว่าจะต้องหาเรื่องบริษัทเป่หมิงแน่นอน ถ้าทำแบบนี้ก็อาจจะเป็นทางออกอีกทางก็เป็นไปได้
เรื่องยุติคนก็สงบ เรื่องยุติคนก็สงบเถอะ……
เธอมองเป่หมิงยี่เฟิงทีหนึ่ง “หัวหน้าเป่หมิง ในเมื่อคุณให้คำมั่นสัญญาต่อหน้าทุกคนแล้ว งั้นก็ต้องทำให้เป็นจริง คุณเองก็พูดแล้ว นี่เป็นสิ่งที่คุณปู่เหลือทิ้งไว้ คงไม่อาจให้วิญญาณที่อยู่บนสวรรค์ของท่านผิดหวังหรอกนะ”
เป่หมิงยี่เฟิงยิ้มขึ้นอ่อน ๆ เป้าหมายของตัวเองถือว่าทำสำเร็จแล้ว “ประธานกู้ คุณวางใจเถอะ เรื่องการประมูลคุณไม่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วย ผมจะทำให้สำเร็จเอง” หลังจากนั้นก็หันไปพูดกับคนอื่น ๆ ต่อ “เรื่องราวได้คุยกันเสร็จแล้ว ทุกคนก็สลายกันไปเถอะ กลับไปตั้งใจทำงานกันดี ๆ”
เขากลายเป็นเหมือนประธานที่แอบซ่อนอยู่ของบริษัทเป่หมิงไปโดยปริยาย ผู้คนที่มาก่อกวนก็เหมือนกับไว้หน้าเขา รีบสลายตัวไปอย่างรวดเร็วจนไม่เหลือใครไว้สักคน
“หัวหน้าเป่หมิง ไม่นับถือคุณไม่ได้แล้วจริง ๆ แค่ง่าย ๆ ก็สามารถจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว และที่สำคัญยังได้ใจผู้คนไปไม่น้อย นี่สามารถถือได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย” ถึงแม้กู้ฮอนจะไม่สงสัยว่าเขาเป็นคนก่อเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ว่าเขากลับกลายเป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้มากที่สุด
“ประธานกู้ คุณพูดแบบนี้ช่างปรักปรำผมแล้ว ที่ผมทำก็เพื่อบริษัทเป่หมิงทั้งนั้น ไม่ว่ายังไงเรื่องนี้ถือว่าจบลงได้อย่างสมบูรณ์แล้ว อย่างนี้ผมกลับบ้านได้แล้วใช่ไหม” พูดจบ เขาก็เดินไปตรงหน้าพ่อแม่ “พ่อ แม่ เรากลับบ้านกันเถอะ”
*
“เป่หมิงโม่ ห้องไต่สวนของเรานี้เกือบจะกลายเป็นห้องทำงานของนายไปแล้วนะ นี่สองสามวันก็มีคนมาหานายที หรือไม่ฉันส่งข้อความไปรายงานเบื้องบน ให้นายไม่ต้องเปลี่ยนที่แล้ว นายก็ใช้ชีวิตอยู่ที่ที่นี่ของเราไปเลยดีไหม” ผู้คุมเรือนจำเดินไปกับเขาและพูดขึ้นอย่างสนุกสนานไปด้วย
เป่หมิงโม่มองเขาแล้วยิ้มอ่อน ๆ “ถ้าได้อย่างนี้ก็ดีที่สุดนะซิ ในเมื่อห้องนั้นผมเริ่มรู้สึกว่ามันเล็กไปหน่อยแล้ว”
“งั้นฉันจะรายงานให้เบื้องบนจริง ๆ แล้วนะ ในเมื่อก็แค่เพิ่มกรงเหล็กเข้าไปที่หน้าต่างก็พอแล้ว”
“ผมว่าถึงคุณจะพูดไปแล้ว ก็คงต้องหน้าดำคร่ำเครียดกลับมาแน่เลย ผมว่าผมยังไม่ต้องมีความคาดหวังแบบนี้ก่อนดีกว่า”
ผู้คุมเรือนจำก็พยักหน้าอย่างจำยอม “งั้นก็คงต้องลำบากนายแล้ว นายอยู่ที่นี่ก็คิดซะว่าย้อนรำลึกถึงความขมขื่นในอดีตแล้วก็มีความสุขกับปัจจุบันเถอะนะ ไม่ช้าก็เร็วนายจะต้องได้กลับไปบ้านที่หรูหราฟู่ฟ้าที่ผู้คนมากมายต่างก็อิจฉาแน่ ๆ ”
“กลับบ้าน……” เป่หมิงโม่อ่านคำนี้เงียบ ๆ หนึ่งรอบ คำที่คุ้นเคยและแปลกหน้า สำหรับเขาแล้ว ถึงแม้จะร่ำรวยล้นฟ้า แต่ว่าจะมีที่ไหนที่เป็นบ้านของตัวเองได้ล่ะ?
***
พอเห็นเป่หมิงโม่อยู่ ๆ ก็เงียบไป ผู้คุมก็เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา แล้วตบไหล่ของเขาเบา ๆ อย่างเห็นอกเห็นใจ “คนรวยแบบพวกนายนี่ก็เป็นแบบนี้แหละ สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปเขาขาดและอยากได้กัน แต่เหมือนว่าพวกนายจะมีกันหมด แต่ว่ายังไงก็ยังขาดสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปอย่างเราไม่ขาดที่สุดนั้นก็คือ…..ความจริงใจ”
ในส่วนนี้นั้น เป่หมิงโม่ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพราะว่าอยู่ในตระกูลของเขานั้น ทั้งสองสิ่งนี้ก็ล้วนมีอยู่ทั้งนั้น ไม่พูดถึงคนรุ่นก่อน แค่พี่น้องต่างมารดาทั้งสองคนของตัวเองก็เป็นแบบนั้นแล้วไม่ใช่เหรอ
เป่หมิงเฟยหย่วนและหลันเนี่ยน พวกเขานั้นถือได้ว่าคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันแล้ว ถึงแม้ว่าตอนแรกเขาจะแย่งหุ้นทั้งหมดของเป่หมิงเฟยหย่วนไปแล้วก็ตาม และที่สำคัญยังไล่เขาออกจากตระกูลเป่หมิง แล้วก็อยู่สถานการณ์อย่างนั้น หลันเนี่ยนก็ยังไม่ทิ้งเขาไป ที่จริงหลันเนี่ยนถึงจะมีอายุหน่อยแล้ว แต่ถ้าเทียบกับคนที่อายุเท่ากันแล้วหน้าตาก็ยังถือว่าดูดีมาก ถ้าจะบอกอายุน้อยไปอีกสักสิบปีก็ยังมีคนเชื่ออยู่ดี
แต่เจ้าสามเป่หมิงยันนั้นก็ต่างกันแล้ว คนที่เข้ามาเกี่ยวพันกับเขานั้น ไม่มีความจริงใจที่แท้จริงให้กันสักคน มาเพื่อหวังเงิน เพื่อหวังสิ่งที่อยากได้……ไม่ว่ายังไงคือไม่มีใครที่จริงใจเลยสักคน
เมื่อมาถึงตัวเองแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นซูยิ่งหวั่น หรือ เฟยเอ๋อ….. ก็เทียบกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้……กู้ฮอน ที่น่าตลกคือระหว่างเขากับกู้ฮอนพวกเขาไม่เคยมีความเข้าใจใด ๆ ต่อกันมาก่อนก็มีลูกกันแล้ว และความเข้าใจต่อตัวเธอนั้นก็เพิ่งมาเริ่มต้นจากตอนหลังทั้งนั้น
เป่หมิงโม่เพิ่งคิดมาถึงตรงนี้ ก็ได้ยินผู้คุมพูดขึ้นมาอีกว่า “ที่จริงดวงนายก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ไม่พูดถึงคนอื่น แค่พูดถึงคนที่มาเยี่ยมนายสองสามวันครั้งคนที่ชื่อกู้ฮอนนั้น ฉันรู้สึกว่าพวกนายสองคนก็ดูค่อนข้างเหมาะสมกันดีนะ ถึงแม้พวกนายจะไม่ได้แต่งงานกัน แต่ระหว่างพวกนายก็มีลูกกันแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นสามีภรรยากันแล้วล่ะ”
ประโยคนี้พูดได้จี้ใจเขามาก ๆ เขามองไปที่ผู้คุมแล้วพูดง่าย ๆ คำหนึ่งว่า “สวัสดี พยาธิตัวกลม”
ผู้คุมรู้สึกหน้าเย็นวาบขึ้นมาทันที แต่ว่าปฏิกิริยาตอบสนองของเขาก็ไม่ช้า แสร้งทำเป็นอ่อนน้อมถ่อมตนแล้วพูดขึ้นว่า “ยังโอเค ยังโอเค”
*
เป่หมิงโม่มองกู้ฮอนที่นั่งอยู่ตรงหน้า แล้วเห็นสีหน้าของเธอไม่ได้ดูดีสักเท่าไหร่ ที่จริงทุกครั้งที่เขาเจอกู้ฮอนนั้น มันเหมือนว่าปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกจาง ๆ ชั้นหนึ่งเอาไว้
ภาพแบบนี้เขาช่างคุ้นเคยมากแล้ว
ในเวลาเดียวกันกู้ฮอนก็กำลังคิดว่าจะเปิดปากพูดกับเขายังไงดี ประธานแบบเธอนี้ช่างเป็นได้น่าขายหน้ามาก เวลาเจอปัญหาก็แก้ไขด้วยตัวเองได้น้อยมาก นอกจากต้องลำบากฉิงฮัวแล้ว ก็ต้องคอยมาขอให้เป่หมิงโม่ช่วยคิดวิธีแก้ปัญหาอยู่ตลอด
นี่จะโทษใครได้ล่ะ ตอนแรกที่เป่หมิงโม่บอกให้เธอออกจากบริษัทเป่หมิงไปนั้น กลับโดนเธอปฏิเสธอย่างหนักแน่น เธอรู้สึกว่าเธอจะต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนนี้ แต่ว่าสุดท้าย ความรับผิดชอบส่วนนี้กลับไปตกอยู่ที่หัวของคนรอบข้าง
“ที่มาวันนี้……ฉันมีเรื่องเรื่องหนึ่งอยากจะบอกคุณ” เธอพูดออกมาอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
“พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไรต้องการให้ผมคิดหาวิธีให้คุณเหรอ?” เป่หมิงโม่นั้นกลับเห็นได้ชัดว่าผ่อนคลายอยู่ สำหรับเขาแล้วยังมีเรื่องอะไรสามารถทำให้ตัวเองวุ่นวายใจอีกล่ะ ในช่วงวันเวลาที่อยู่ที่นี่มีเรื่องมากมายที่ถือได้ว่าเขาคิดชัดเจนแล้ว ถ้าหากยังมีอีกละก็ ก็คงเหลือแต่เรื่องของผู้หญิงตรงหน้าคนนี้กับเรื่องลูก ๆ อีกสามคนเท่านั้น
เรื่องของพวกเขาแม่ลูกสำหรับเป่หมิงโม่แล้วถึงจะเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุด
“ฉันไล่ติงฉางชิ่งออกแล้ว” กู้ฮอนพูดจบแล้วก็มองท่าทีของเป่หมิงโม่อย่างระมัดระวัง
“ไล่ออกแล้วก็ไล่ไปเถอะ เขาอายุเยอะซะขนาดนั้นแล้ว ก็ถึงเวลาสมควรเกษียณอยู่แต่บ้านแล้ว ที่จริงคราวที่แล้วที่คุณทะเลาะกับเขา ผมก็รู้สึกแล้วว่าเขาคงอยู่ได้อีกไม่นานหรอก”
***
พอได้ยินเป่หมิงโม่พูดมาแบบนี้ กู้ฮอนก็มองค้อนเขาทีหนึ่ง “ดูท่าแล้ว คุณก็น่าจะไม่ชอบการกระทำของติงฉางชิ่ง มานานแล้วใช่ไหมล่ะ เพียงแต่ติดอยู่ตรงที่ว่าตัวเองไม่สามารถแขวนคำด่า ‘เนรคุณคน’ ไว้ได้ ก็เลยทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งต่อเขา และที่ฉันทำตอนนี้ก็คงเป็นเรื่องที่คุณอยากจะทำมากอยู่แล้วใช่ไหม”
พูดจบเธอก็เห็นสายตาที่เป่หมิงโม่มองตัวเองนั้นมีแววเปลี่ยนไป และที่สำคัญแม้แต่ปฏิกิริยาบนใบหน้าของเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะเอาคำอะไรมาเปรียบเทียบดี “แอะ คุณนี่กำลังขำฉันหรือว่าอะไรกันเนี่ย?”
มุมปากของเป่หมิงโม่โค้งขึ้นข้างบน “ตั้งแต่คุณมารับตำแหน่งประธานก็ฉลาดขึ้นกว่าเดิมมากเลยนะ”
……
“ไสหัวไปเลย ความหมายของคุณแบบนี้ แสดงว่าเมื่อก่อนฉันโง่มากเลยเหรอ?” กู้ฮอนรู้สึกว่าขอแค่พูดคุยกับเขา ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงที่ตัวเองจะต้องโดนพูดจาทิ่มแทงอย่างไร้เยื่อใย
“แน่นอนว่ามีความพอใจอยู่บ้าง แต่ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ อยู่ในสังคมที่วุ่นวายนี้ สมองแบบคุณนี้อย่างน้อยก็ช่วยให้มีเรื่องปวดหัวน้อยลงไปเยอะ” คำพูดนี้ไม่ใช่คำทิ่มแทงจากเป่หมิงโม่ แต่กลับเป็นความรู้สึกลึก ๆ ในใจของเขา
ความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่ว่าคนที่มีความฉลาดมากมายทุกคนจะคิดแบบนี้ แต่ก็ถือได้ว่ามีความน่าจะเป็นครึ่งต่อครึ่งแล้วมั้ง
“นี่คุณถือว่าชื่นชมฉันหรือว่าจะประชดฉันต่อกันแน่ ถ้าหากคุณรังเกียจฉันขนาดนี้ละก็ งั้นครั้งหน้าฉันก็จะไม่มาอีกแล้วนะ เราสองคนจะได้ไม่ต้องมองหน้ากันแล้วไม่รื่นตาของกันและกัน” ที่กู้ฮอนพูดก็เป็นคำโมโหทั้งนั้น ที่จริงเธอสามารถอ่านออกจากท่าทางของเขาได้ว่า คำพูดเมื่อกี้น่าจะมาจากใจจริงของเขา
เป่หมิงโม่ผ่อนไหล่ลงมา “คุณก็คิดซะว่าเป็นความอิจฉาที่ผมมีต่อคุณแบบหนึ่งละกัน เอาละ กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า ที่คุณมาครั้งนี้เพราะว่าเจอกับโจทยากอะไรเข้าแล้วใช่ไหม? พอติงฉางชิ่งจากไปแล้ว ผมคิดว่าคุณคงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขนักหรอกใช่ไหม”
กู้ฮอนมองเขาอย่างตื่นตกใจ “เป่หมิงโม่ ฉันรู้สึกว่าถึงคุณจะไม่เป็นประธานแล้ว ก็อย่าทำให้ความสามารถทั้งตัวนี้เสียเปล่าไปเลยนะ รอคุณออกมาแล้ว ไหน ๆ ก็ว่างงานอยู่ ลองไปเป็นหมอดูสักคน รับรองต้องทำเงินได้ไม่น้อยกว่าตอนคุณเป็นประธานแน่นอน”
เป่หมิงโม่ยื่นมือออกมาลูบคางตัวเอง แล้วครู่หนึ่งก็พยักหน้าตกลง “นี่ถือเป็นความคิดที่ดีทีเดียว แต่ว่าตอนนี้มาดูก่อนดีกว่าว่าผมควรจะช่วยคุณแก้โจทยากที่ติงฉางชิ่งออกให้คุณก่อนยังไงดี”
ในช่วงที่เขากำลังเตรียมจะเริ่มแสดงความคิดเห็นนั้น กู้ฮอนก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “ปัญหาของเขาคุณไม่ต้องช่วยฉันจัดการแล้ว มีคนเป็นคนแกร่งกล้าชิงลงมือก่อนแล้ว…..” จากนั้น เธอก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนจะเลิกงานที่บริษัทเป่หมิงทั้งหมดรอบหนึ่ง
หลังจากที่เป่หมิงโม่ฟังจบแล้วก็ขมวดคิ้วแน่น นี่มันก็เกินกว่าสิ่งที่เขาคาดไว้ คิดไม่ถึงว่าเป่หมิงยี่เฟิงจะกระโดดออกมาในเวลาแบบนี้
เขากะเวลาได้อย่างเหมาะสมมาก ทั้งสามารถทำให้ตัวเองได้รับคำชื่นชมที่ดี และยังข่มความน่าเชื่อถือของกู้ฮอนที่มีน้อยนิดในบริษัทเป่หมิงลงอย่างได้ผล ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ในอนาคตอันใกล้นี้ เขาก็มีโอกาสเข้ามาแทนที่กู้ฮอนแน่ ๆ
เป็นโชคไม่มีทางเป็นเคราะห์ เป็นเคราะห์ก็ไม่มีทางหลบพ้น หมากก้าวนี้เป่หมิงยี่เฟิงได้เตรียมตัวมาอย่างดีตั้งนานแล้ว เขาเตรียมการมานานขนาดนี้ น่าจะหาช่องโหว่อะไรของเขาได้ยาก ในเมื่อเป็นอย่างนี้ กู้ฮอนก็ยิ่งรับมือยากขึ้นไปอีก
“นี่ คุณมีความเห็นยังไงกับเรื่องนี้บ้าง?” กู้ฮอนเห็นเขาเงียบไปสักพัก ก็อดไม่ได้เลยถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“ผมว่าตอนนี้คุณก็ทำได้แค่ปล่อยไปตามธรรมชาติแล้วล่ะ”
“ปล่อยไปตามธรรมชาติ? เป่หมิงโม่นี่คุณหมายความว่ายังไงกัน?” กู้ฮอนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อขึ้นมาเล็กน้อยว่าเขาจะให้คำตอบตัวเองมาอย่างนี้ นี่มันก็คือจะให้ตัวเองมัดมือรอฝังอย่างเดียวเหรอ?
***
เป่หมิงโม่พยักหน้า “ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว คุณก็คงทำได้แค่แบบนี้”
แต่ว่าหลังจากที่กู้ฮอนฟังแล้ว ก็ส่ายหน้าไปมาอย่างกับป๋องแป๋ง “มันจะเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง”
เป่หมิงโม่ยื่นมือมาจับกู้ฮอนเอาไว้ แล้วใช้สายตาที่จริงจังมาก ๆ จดจ้องเธอไว้ “เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ต้องทำได้แค่แบบนี้แหละ ถ้าหากคุณอยากจะไปหยุดยั้งแล้วละก็ ก็มีแต่จะเสียแรงเปล่ารู้ไหม และที่สำคัญ แค่ดูจากความสามารถของเป่หมิงยี่เฟิง ก็ใช่ว่าเขาจะชนะการประมูลได้”
พอกู้ฮอนได้ยินเป่หมิงโม่พูดอย่างนี้ ในใจของตัวเองก็เหมือนจะไม่ใช่รสชาติอยู่บ้าง แต่ว่า ในเมื่อเขายังพูดมาแบบนี้แล้ว ตัวเองยังมีอะไรให้น่าพูดอีกล่ะ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ก็มีแต่ต้องยอมปล่อยเลยตามเลยให้เป่หมิงยี่เฟิงแล้ว