บทที่ 986 ลังเลใจ
“สิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เธอมีลูกแล้วสามคน ส่วนพ่อของลูกเพราะช่วยเธอ จึงมีเรื่องกับคนอื่น ตอนนี้ต้องการใครสักคนเพื่อเป็นพยานให้เขาอย่างเร่งด่วน” หยินปู้ฝันกล่าวเสริม
ลุงเฉินมองดูทั้งสองที่เข้าขากันอย่างดี พลางขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อครู่เขาโมโหราวไฟสุมอกจริงๆนั่นแหละ แต่เมื่อได้ฟังคำอธิบายของพวกเขา ความโมโหนั้นมลายหายไปสิ้น พร้อมเอ่ยด้วยความลังเลใจ : “สิ่งที่พวกเธอสองคนพูดเป็นเรื่องจริงหรือ? พวกเธอสองคนไม่ได้เป็นแฟนกัน? หลังจากที่รู้ว่าพวกเธอสองคนหลอกลวงฉันตั้งแต่เมื่อวัน ฉันก็ไม่รู้ว่าควรเชื่อพวกเธอต่อไปได้ไหม”
เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของชายชราอ่อนลง กู้ฮอนและหยินปู้ฝันมีความหวังขึ้นมาเล็กๆ
กู้ฮอนพยักหน้ารัวพร้อมเอ่ย : “ลุงเฉิน ดิฉันกับทนายหยินผู้นี้เป็นเพื่อนหนุ่มสาวกันก็จริง แต่ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ความสัมพันธ์ของเราเสมือนพี่น้อง หลังจากที่พวกเราได้ข่าวว่าลูกชายคุณสลบ ความหวังสุดท้ายของพวกเราก็พลอยสูญสิ้นไปด้วย ตอนแรกพวกเราตัดสินใจไปจากที่นี่ในวันนี้ แต่ดิฉันได้โกหกคุณทั้งสองเมื่อคืน รู้สึกไม่สบายใจนัก จึงมาเพื่อขอโทษท่านในวันนี้”
ชายชราถอนหายใจเฮือกใหญ่ : “เรื่องถึงขนาดนี้แล้ว มันอะไรกัน เอาเถอะ พวกเธอไปเถอะ ฉันรับคำขอโทษของพวกเธอ แต่ของพวกนี้พวกเธอต้องเอากลับไป ฉันไม่ได้ให้การช่วยเหลือใดๆ ไม่สมควรได้รับของพวกนี้”
“คุณลุงเฉิน ของพวกนี้ท่านรับเอาไว้เถอะ ยังไงซะก็เป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆของเรา” หยินปู้ฝันเอ่ย พร้อมส่งสายตาให้กับกู้ฮอน
กู้ฮอนรู้หน้าที่ เธอและหยินปู้ฝันมุ่งไปทางประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว ก่อนเดินลับตาไปจากชุมชนหยวนหยาง
*
ที่สุดหยินปู้ฝันเคลื่อนเครื่องยนต์กลับไปสู่เมืองA
“ไม่รู้ว่าน้ำใจเล็กๆน้อยๆของเราจะช่วยลุงเฉินได้มากแค่ไหน” กู้ฮอนพิงกับเบาะรถ พลางหันกลับไปมองเมืองCที่พวกเขาละทิ้งเอาไว้ข้างหลัง เสมือนยังมีเยื่อใย
“ไม่ต้องคิดมาก เราทั้งคู่พยายามที่สุดแล้ว กลับไปคิดขั้นต่อไปควรทำอย่างไรดีจะดีกว่า” หยินปู้ฝันคิดไปถึงเรื่องราวหลังกลับไปที่เมืองA
เหตุการณ์ตรงหน้าไม่สู้ดีต่อพวกเขานัก
เครื่องยนต์ของพวกเขากำลังแล่นอยู่บนทางด่วน ขณะนี้เองโทรศัพท์ของหยินปู้ฝันดังขึ้น
เขาก้มหน้าลงดูชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอคือศาล
ต่อสายหาตนในคราวนี้ คงเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับเป่หมิงโม่ เขากดเปิดลำโพง : “สวัสดีครับ ผมคือหยินปู้ฝัน ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือครับ?”
“ทนายความหยิน ผมเจ้าหน้าที่ศาล ทีแรกเราส่งจดหมายแจ้งเตือนให้กับคุณ แต่คุณไม่อยู่ เพื่อไม่ให้เป็นการล่าช้าเราจึงโทรมาแจ้งคุณ : คดีที่คุณได้รับ เราตัดสินใจเปิดศาลว่าความในวันศุกร์หน้า แน่นอน การว่าความในครั้งนี้ไม่ได้ถูกเปิดเผย ฉะนั้นคุณควรใส่ใจเก็บเป็นความลับ”
หลังจากจบการสนทนากับทางศาล เขาปิดโทรศัพท์ก่อนเอ่ยถามคนข้างกายอย่างกู้ฮอน : “ทางศาลโทรมา เธอคงได้ยินแล้ว เราควรทำยังไงต่อไป?”
หลังกู้ฮอนได้ยินว่าจะมีการเปิดพิจารณาคดีในวันศุกร์หน้า เธอรู้สึกตื่นเต้นซึ่งต่างออกไปจากหยินปู้ฝัน
วันนี้วันอังคาร เหลือเวลาสิบวันด้วยกันกว่าจะถึงวันศุกร์หน้า สิบวันนี้บอกยาวไม่ยาว บอกสั้นไม่สั้น โดยเฉพาะสถานการณ์ตรงหน้าของพวกเขาที่ไร้หลักฐานใดๆในการช่วยเหลือเป่หมิงโม่ให้พ้นคดีได้ ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกกระชั้นชิดมากยิ่งขึ้น
“ตอนนี้ฉันไม่รู้จะทำยังไงต่อไปแล้วจริงๆ คนที่ควรหาก็ไปหาหมดแล้ว ที่เหลือคงทำได้แค่รอ”
“ทำไม เธอยอมแพ้แล้วหรือ?” คำตอบของกู้ฮอนทำให้หยินปู้ฝันตระหนกเล็กน้อย ในคราแรกเธอรู้ดีว่าคดีนี้ยากอย่างยิ่ง
ต่อหน้าเป็นการฟ้องร้องผู้อำนวยการโกว แต่อันที่จริงเป็นการฟ้องร้องรัฐบาล แถมยังอำนาจที่หนุนหลังนั่นอีก กู้ฮอนและเป่หมิงโม่คงเผชิญกับความพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ กู้ฮอนไม่เคยวางใจแต่อย่างใด ไม่คาดคิด หลังจากที่เธออดทนอย่างยาวนาน กลับรู้สึกไร้หนทางอย่างดื้อๆ
หยินปู้ฝันรู้สึกกังวลแทนเธอจากใจจริง เกรงว่าเธอจะผิดหวัง
กู้ฮอนจ้องมองออกไปยังนอกหน้าต่าง อากาศปลอดโปร่งแจ่มใสแท้ๆ แต่ในสายตาเธอกลับเป็นท้องฟ้าที่มืดมน “เพราะอะไร? เพราะอำนาจอยู่ในกำมือ เลยสามารถทำตามใจชอบได้หรือ? อยู่เหนือกฎหมายได้อย่างนั้นหรือ?” เธอกล่าวพร้อมหันไปทางหยินปู้ฝัน : “ปู้ฝัน เรายืนหยัดในความถูกต้องมาโดยตลอด ทำไมในชีวิตจริงเราถึงได้อ่อนแอเช่นนี้? หรือสิ่งที่เรายึดมั่นเป็นเพียงเงาสะท้อนในมหาสมุทร?”
“ฉันไม่เห็นด้วยกับความคิดของเธอ เธอรู้ไหมหนึ่งวันช่วงไหนดำมืดที่สุด? คำตอบคือเที่ยงคืน แต่ว่า แม้จะเป็นอย่างนั้นก็ตามแต่ สิ่งนั้นไม่ยั่งยืนคงทน ท้ายที่สุดแสงสว่างก็จะแทนที่เฉกเช่นเดิม ส่วนพวกเราเป็นนักรบที่ต่อสู้ในความมืดมนนี้ เป็นนักรบที่สู้เพื่อแสงสว่างในความมืดมน ฉันเชื่อมาโดยตลอด ความถูกต้องที่ฉันยืนหยัดท้ายที่สุดต้องได้รับชัยชนะ”
กู้ฮอนมีความมั่นใจขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ฟังประโยคของหยินปู้ฝัน แม้จะเข้าใจความหมายนี้ แต่ในใจยังคงอดเป็นกังวลดั่งเดิมไม่ได้ : “พอได้แล้ว ไม่ได้มีหัวหน้านั่งอยู่ตรงนี้สักหน่อย ไม่จำเป็นต้องทางการขนาดนั้นก็ได้ มันก็ใช่ ความมืดมนที่คุณว่านั้นไม่ยั่งยืน แต่สำหรับสังคมความเป็นจริง เป็นเวลาที่ยาวนานอย่างไม่คาดคิด หากแต่สำหรับมนุษย์แล้วนั้น ช่วงเวลาแห่งความมืดมนสาดส่องไปทั้งชีวิต จากที่คุณว่ามาเมื่อครู่ คุณคิดว่าเป็นเหตุเป็นผลหรือไม่? แม้สุดท้าย จะได้รับความเป็นธรรมแต่สิ่งที่เขาสูญเสียคือทั้งหมดของชีวิต”
“เธอพูดไม่ผิดหลอกบางครั้งอาจเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น ส่วนพวกเรามีหน้าที่ทำให้ชีวิตที่มืดมนเหล่านี้มองเห็นแสงสว่างไม่ใช่หรือไง คนอื่นไร้ความเชื่อมั่นได้ แต่พวกเราไม่มีไม่ได้เข้าใจไหม แม้แต่พวกเรายังไม่เชื่อ แล้วสังคมจะเป็นอย่างไร? มันน่ากลัวมาก หากท้ายสุดเราปกป้องไม่ได้แม้แต่ตัวเอง ขณะที่ช่วยผู้อื่น ความจริงเรากำลังช่วยเหลือพวกเราในอนาคต”
กลับจากเมืองC เป็นเวลาเย็นเข้าไปแล้ว เธอไม่ได้ให้หยินปู้ฝันส่งเธอที่บ้าน แต่ตรงไปที่บริษัทเป่หมิงแทน
ไปจากที่นี่สามวันแล้ว แม้ในช่วงนี้ฉิงฮัวไม่ได้ติดต่อตนเลย แต่เธอก็ยังคงเป็นกังวลเรื่องของบริษัทเป่หมิงดั่งเช่นเก่าเสมอ
“คุณหนู กลับมาแล้วหรือ” ฉิงฮัวนั่งอยู่ที่ตำแหน่งของตน ช่วยกู้ฮอนจัดการเอกสารของวัน
หลายวันมานี้ ใช่ว่าฉิงฮัวไม่อยากติดต่อกู้ฮอน แต่เขารู้สึกว่าไม่ได้มีความจำเป็นอะไร
ข้อแรก การไปของกู้ฮอนในครั้งนี้ก็เพื่อเป่หมิงโม่ เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว นอกจากเรื่องเป่หมิงโม่แล้วก็ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ข้อสอง หลังกู้ฮอนไปจาก สองสามวันมานี้บริษัทเป่หมิงโม่ค่อนข้างสงบ ไร้เหตุการณ์ใดๆ
กู้ฮอนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หลังวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ : “ที่บ้านเรียบร้อยดีใช่ไหม?”
ฉิงฮัวพยักหน้า : “สองวันนี้การส่งออกของบริษัทเป่หมิงเป็นไปตามปกติ เรื่องราวทางนั้นเรียบร้อยดีใช่ไหม?”
เขาเป็นกังวลเรื่องนี้มากกว่า
กู้ฮอนขมวดคิ้วพร้อมถอนหายใจ : “ยังไงดีล่ะ พูดยาก”
“คนที่ชื่อ ‘เสี่ยวเฉิน’นั่นไม่ได้เจอหรือ?” ฉิงฮัวเป็นกังวลเรื่องนี้ที่สุด เป้าหมายของการเดินทางในครั้งนี้เพื่อสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ
กู้ฮอนส่ายหน้า : หาเจออยู่หลอก แต่เขาเป็นไปไม่ได้ที่จะมาเป็นพยานของเจ้านายเธอ”
“ทำไม? หรือเขาคิดตั้งตนเป็นปรปักษ์ คุณหนูคุณเอาที่พักมันมา ผมจะไปลากคอมันมาเดี๋ยวนี้ ทำลายคนอื่นแล้วคิดจะเอาตัวรอดไปง่ายๆแบบนี้หรือ ต่อให้มันยอมเป็นพยาน ผมก็มีวิธีทำให้เขาเปลี่ยนความคิดได้” ฉิงฮัวดีดตัวลุกขึ้นด้วยความโมโห เขาหันหลังมุ่งออกไปด้านนอกอย่างไว
“ฉิงฮัวนายไม่ต้องไป เขามาไม่ได้เพราะเหตุผลอื่น” กู้ฮอนชะงักไปชั่วครู่ “ตอนพวกเราหาที่อยู่ของเขาเจอ ถึงได้รู้จากพ่อเขาว่าเขาสลบไปแล้วหลายวัน อย่าว่าแต่เขาไม่ยอมช่วยเราเลย ต่อให้ยอมช่วยตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้านายคง…..” กล่าวถึงตรงนี้ ฉิงฮัวเผยให้เห็นความหวาดหวั่น : “คุณหนู เราไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ?”
กู้ฮอนส่ายหน้า : “ตอนนี้เราไม่มีวิธีอื่นแล้ว อีกอย่าง ระหว่างทางกลับฉันกับหยินปู้ฝันได้รับโทรศัพท์จากศาล วันศุกร์หน้าจะเปิดพิจารณาคดีแล้ว”
เผชิญกับผลลัพธ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นกู้ฮอนหรือฉิงฮัว ต่างก็รับไม่ได้ทั้งนั้น แต่กลับเป็นความจริงแท้แน่นอน
ตกค่ำเมื่อกู้ฮอนกลับถึงบ้าน แอนนิและคนอื่นๆรับประทานอาหารเสร็จแล้วเป็นที่เรียบร้อย
“ฮอน กลับมาแล้วหรือ”
“หม่ามี๊…..” เด็กๆที่เข้าห้องนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นกู้ฮอนขับรถกลับมาแล้ว จึงวิ่งลงมาอย่างดีอกดีใจ
ได้เจอลูกๆและเพื่อนรัก หัวใจอันหนักอึ้งของกู้ฮอนพลันอบอุ่นขึ้นมาจับใจ
ต่อหน้าลูกๆ เธอฝืนยิ้มทักทายกับพวกเขา : “เด็กๆ หลายวันนี้ทุกคนเป็นเด็กดีกันใช่ไหม? ได้สร้างปัญหาให้กับคุณน้าแอนนิและคุณน้าลั่วเฉียวไหม?”
“ไม่ฮะ…..ไม่ฮะ พวกเราเป็นเด็กดีกันฮะ” เหล่าเด็กๆเอ่ยอย่างเร่งรีบ
กู้ฮอนหยักหน้าอย่างพอใจ เธอดึงมือจิ่วจิ่วขึ้นกุม” คำพูดทารกน้อยกับเฉิงเฉิงเชื่อไม่ได้ …..” เธอเอ่ย พร้อมเบี่ยงสายตาไปที่หยางหยาง “คำพูดของหยางหยางแม่ไม่อยากจะเชื่อเลย”
หยางหยางไม่ชอบใจนักเมื่อได้ยินประโยคของเธอ เขายกมือขึ้นเท้าสะเอว : “ แม่ฮะ แม่อคติกับผม ถึงแม้ปกติผมชอบทำให้แม่โกรธ แต่หลายวันที่แม่ไม่อยู่ ผมทำตัวดีมากเลยนะฮะ”
“จริงหรือ อันนี้แม่คงต้องถามเฉิงเฉิงแล้วหละ หนูนี่นะ ทั้งบ้านหนูดื้อที่สุดแล้ว รอให้หนูเป็นเด็กดีได้เมื่อไหร่ แม่คงสบายใจได้สักที”
การปฏิบัติต่อเด็กๆของกู้ฮอน แม้ในความรู้สึกไร้ความแตกต่าง แต่น้ำแก้วนี้จะยกให้พื้นผิวราบเรียบได้อย่างไร คนที่ดื้อด้านย่อมต้องลงแรงมากเป็นพิเศษ
ขณะเดียวกัน หยางหยางเป็นคนเดียวที่เธอเลี้ยงเองกับมือ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีการเอนเอียงกันบ้างเล็กน้อย
เฉิงเฉิงเป็นพี่คนโต เขาเข้าใจเรื่องนี้ดี เขาไม่เคยโกรธเกลียดหยางหยางเลยสักนิด ไม่เพียงเช่นนั้นเขายังช่วยแม่ดูแลคนที่ทำให้เขาปวดหัวด้วยเช่นกันอย่างแฝดน้อง