บทที่ 980 ฉันเคยมาที่นี่
“นี่ถือว่าเป็นการคะแนนประเมินระดับสูงที่เธอให้ฉันเหรอ? ไม่ยอมรับไม่ได้ว่า สาวงามที่เคยเดินผ่านหน้าผมไม่ได้เยอะเท่าเป่หมิงโม่ แต่ว่าก็ไม่น้อยแน่นอน แต่ว่าคนจำนวนน้อยที่สามารถทำให้ผมถูกตาต้องใจได้นั้น หนึ่งในนั้นเคยมีคุณคนหนึ่ง สำหรับคุณช่ายคนนั้น ผมก็แค่ร่วมแสดงละครไปกับเธอด้วยเท่านั้น หรือว่าคุณไม่เคยสังเกตนามบัตรของเธอเลยเหรอ?”
พอหยินปู้ฝันพูดแบบนี้แล้ว กลับทำให้กู้ฮอนเริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้าง “ก็แค่นามบัตรที่ที่ค่อนข้างพิเศษและดูราคาแพงไม่ใช่เหรอ? มีอะไรน่าสังเกตกัน”
“ในฐานะที่เป็นทนายความ จะมามองข้ามรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ยังไงกัน ช่ายซินซินเป็นถึงผู้ช่วยประธานของหย่วนหยางกรุ๊ปเชียวนะ และหย่วนหยางกรุ๊ปก็ถือได้ว่าเป็นเครือบริษัทใหญ่ติดอันดับหนึ่งอันดับสองของเมืองCเลย พวกเขายังครอบคลุมธุรกิจทางด้านวิศวกรรมอีกด้วย บริษัทใหญ่แบบนี้คิดว่าก็น่าจะมีส่วนได้ร่วมงานกับภาครัฐในท้องที่ด้วย หรือว่าคุณไม่ได้คิดอะไรออกเลยเหรอ?”
พอหยินปู้ฝันพูดเตือนแบบนี้ กู้ฮอนก็เหมือนกับว่าจะนึกถึงอะไรขึ้นมา อยู่ ๆ เธอก็ตกตะลึงขึ้นมา
***
หลังจากผ่านการพูดเตือนของหยินปู้ฝันแล้ว กู้ฮอนก็เข้าใจขึ้นมาทันที “ผู้หญิงที่ชื่อช่ายซินซินนี้มีโอกาสมีความสัมพันธ์อะไรกับผู้อำนวยการโกวใช่หรือเปล่า? บางทีอาจจะรู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู้อำนวยการโกวจากเธอได้ ฉันก็ว่าแล้ว เป็นแค่ผู้ช่วยเล็ก ๆ คนหนึ่ง นายดูซิจากการแต่งตัวของเธอจนถึงรถที่เธอขับ มีอะไรที่เหมาะสมกับฐานะของเธอบ้าง ดูท่าแล้ว ผู้หญิงนี้ขอแค่ให้เปลี่ยนเป็นร้ายก็มีเงินแล้ว”
“ในขณะที่ทุก ๆ เรื่องยังไม่ได้ตรวจสอบละเอียดมาก่อน ทางที่ดีที่สุดก็อย่าเพิ่งสรุปก่อน ไม่งั้นจะกระทบต่อการตัดสินเรื่องทั้งหมดในภายหลังได้”
พอหยินปู้ฝันพูดจบ ก็ยกแก้วกาแฟของตัวเองขึ้นมาดื่มหนึ่งคำ “ช่ายซินซินยังไม่ใช่เป้าหมายที่เราจะตรวจสอบ อย่างน้อยตอนนี้ยังไม่ใช่”
กู้ฮอนพยักหน้าเห็นด้วย
*
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ พวกเขาก็นั่งรถไปยังจุดประสงค์ต่อไป นั่นก็คือ บ้านพ่อแม่ของเสี่ยวเฉิน
ไปตามที่อยู่ พวกเขาจอดรถตรงหน้าประตูชุมชนแห่งหนึ่ง ดูจากหน้าประตูเข้าไปนั้นเห็นตึกสูงตั้งตระหง่าน เป็นรูปแบบครอบคลุมพื้นที่ซึ่งดูไม่เล็ก
ที่เสาหินข้าง ๆ ประตูชุมชนนั้น มีตัวหนังสือที่ใช้สีทองเขียนชื่อชุมชนไว้ว่า ……ชุมชนหย่วนหยาง
“ปู้ฝันนายดูซิ ดูจากชื่อก็คิดออกแล้วว่าที่นี่ก็จะต้องเกี่ยวข้องกับหย่วนหยางกรุ๊ปแน่นอน” กู้ฮอนพูดไปก็เปลี่ยนมุมสำรวจไปเรื่อย ๆ จากตรงนี้
รถคันนี้มันเตี้ยเกินไป ถ้าอยากจะมองให้ชัดเจนก็จะต้องลดกระจกหน้าต่างลง หรือว่าต้องยื่นหัวไปที่กระจกบังลมหน้ารถแล้วแหงนหน้าขึ้นไปดู
เธอนั้นไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของหยินปู้ฝันในเวลานี้ ท่าทางของเขาน่าสงสัยเหมือนว่ากำลังย้อนคิดถึงอะไรอยู่
“อยู่ในรถดูอะไรก็ไม่ชัดเจน หรือว่าพวกเราลงจากรถแล้วออกไปเดินวนข้างในดู” กู้ฮอนพูดแล้วก็เปิดประตูรถออก แล้วยื่นมือไปตบหัวไหล่ของหยินปู้ฝันเบา ๆ หลังจากนั้นตัวเองก็ลงจากรถ
หยินปู้ฝันก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วตามลงไปจากรถ คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลังเดินตามกันเข้าไป
“สิ่งแวดล้อมที่นี่ดูแล้วไม่เลวเลยจริง ๆ อยู่ท่ามกลางเมืองที่อึกทึกครึกโครม กลับมีที่สงบจากความวุ่นวาย และที่สำคัญยังมีผืนหญ้าสีเขียวผืนใหญ่ปูอยู่ท่ามกลางตึกราม ดูท่าแล้วหย่วนหยางกรุ๊ปนี้ไม่ใช่แค่มีชื่อเสียงที่เห็นเพียงภายนอก ยังมีวัตถุดิบที่ดีจริงไม่น้อยเลย”
ตอนนี้กู้ฮอนและหยินปู้ฝันกำลังนั่งอยู่ใจกลางของชุมชน ในศาลาบนภูเขาที่ถมขึ้นมาจากฝีมือมนุษย์ ตรงด้านหน้าของพวกเขาก็สามารถมองเห็นประตูทางเข้าที่พวกเขาเข้ามาอยู่ไม่ไกล
ความสูงของที่นี่สูงถึงตึกสามชั้นได้ แต่ว่าก็ไม่กระทบต่อแสงแดดของชั้นล่างของตึกรอบข้าง คิดไม่ถึงว่าบนเขาเล็ก ๆ นี้ยังสร้างบ่อน้ำที่มีน้ำตกขนาดเล็กไว้ด้วย
กู้ฮอนพูดไปก็ชื่นชมทิวทัศน์รอบข้างไปด้วย แต่ว่าคิ้วของหยินปู้ฝันตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ยังคงขมวดกันไว้อยู่
“นี่ นายเป็นอะไรเนี่ย ตั้งแต่มาถึงที่นี่แล้ว ก็ไม่เคยเห็นหัวคิ้วนายผ่อนคลายลงเลย”
“ที่ตรงนี้ ฉันแน่ใจว่าเมื่อเมื่อวานเคยมาแล้ว” หยินปู้ฝันพูดขึ้นช้า ๆ
กู้ฮอนรู้สึกตกใจและแปลกใจขึ้นมาทันที “ที่นายพูดว่าส่งช่ายซินซินกลับบ้าน ที่แท้คือมาที่นี่เหรอ?” แต่ว่าพอคำพูดเพิ่งพูดออกไป ก็ยิ้มจาง ๆ ขึ้นมา “จะไม่ใช่ได้ไง เธอเป็นถึงผู้ช่วยประธาน อาศัยอยู่ที่นี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ว่าปู้ฝัน ปกตินายแสดงออกด้วยท่าทีคอยสังเกตทุกอย่างครบถ้วนอยู่ตลอด แล้วทำไมตอนนี้ถึงดูออกว่าเป็นที่นี่ล่ะ?”
“ก็เมื่อวานผมกับเขาไม่ได้เข้ามากันจากประตูเมื่อกี้ แต่ว่าเป็นเพราะที่นี่ยังมีประตูหลังอันหนึ่ง และที่ที่เราอยู่ตอนนี้ เมื่อวานผมก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ที่เขาอาศัยอยู่น่าจะไม่ใช่อยู่ใจกลางเมืองของชุมชน แต่ว่าผมเหมือนกับจะคลับคล้ายคลับคลาว่า ในตอนที่ผมมาที่นี่ ตอนที่มึนงงนั้นเหมือนจะเห็นว่าในที่ลึก ๆ ของตึกข้างในเหมือนจะมีเขาเล็ก ๆ อันหนึ่งอยู่ ถ้าหากผมจำไม่ผิดละก็ ประตูหลังอันนั้นน่าจะอยู่ทางโน้น” พูดแล้ว เขาก็หมุนตัวชี้ไปที่ตำแหน่งทางด้านซ้ายของหลังเขา
***
“เมืองCนี้ดูแล้วก็ไม่ถือว่าเล็ก ตอนแรกนึกว่าเพื่อเรื่องนี้แล้วพวกเราจะต้องวิ่งจนหัวไหม้หน้าผากไหม้ทุกวัน ดูจากตอนนี้แล้วเรื่องวุ่นวายใจสามารถผ่านได้อย่างราบรื่นแล้ว อยู่ในนี้มีคนที่เราต้องการหา พ่อแม่ของเสี่ยวเฉินยังมีช่ายซินซินที่ต้องเผชิญหน้าอีก บางทียังมีคนอื่น ๆ ที่เราคาดไม่ถึงก็อาจจะอยู่ในนี้ด้วยก็ได้……”
กู้ฮอนพูดไป บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มบาง ๆ โผล่ออกมา เธอรู้สึกว่าการเดินทางออกมาครั้งนี้ จะต้องมีการเก็บเกี่ยวที่ทำให้เธอพอใจอย่างแน่นอน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าเรามีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนที่อยู่สักที่แล้ว ถึงแม้โรงแรมจะห่างจากที่นี่ไม่ไกลมาก แต่ก็มีระยะทางครึ่งชั่วโมงต้องเดินทาง ถ้าหากเราตัดสินใจอยู่สังเกตการณ์ที่นี่สักวันสองวันแล้วละก็ งั้นก็ย้ายมาอยู่ใกล้ ๆ นี่เลยดีกว่า” หยินปู้ฝันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเจรจาต่อรอง
“นี่ก็เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง” กู้ฮอนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
***
หลังจากที่กู้ฮอนจากไปแล้ววันที่สอง ถังเทียนจื๋อก็มาปรากฏตัวขึ้นในห้องทำงานของเป่หมิงยี่เฟิงอีกครั้ง
พอเขาเข้าประตูมาปุ๊บ ก็โดนเป่หมิงยี่เฟิงยิงคำถามใส่มากมายเป็นชุด “หลายวันมานี้นายหายไปไหนมา สองวันก่อนหยางหยางโดนคนลักพาตัวไปจากโรงเรียน ฉิงฮัวก็มาที่ฉันด้วยตัวเองเพื่อขอคนจากนาย ฉันโทรศัพท์หานายกี่สายไม่รู้ แต่นอกจากสายไม่ว่างแล้วก็คือปิดเครื่อง นี่นายกำลังเล่นเรื่องลี้ลับอะไรอยู่?”
ถังเทียนจื๋อไม่ได้ตอบคำถามเขาโดยตรง แต่ว่าตัวเองกลับเดินเข้าไปในห้องน้ำชาแล้วชงกาแฟออกมาแก้วหนึ่ง จิบเบา ๆ ไปคำหนึ่งแล้วก็หันมาดูเป่หมิงยี่เฟิงที่ยังคงเต็มไปด้วยความโกรธอยู่ “คุณชายเป่หมิง นี่คุณยุ่งเรื่องเยอะเกินไปแล้วมั้ง นี่มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับเธอ คุณคงไม่ต้องทำแบบนี้หรอกมั้ง”
“ไม่ใช่ผมยุ่งเรื่องมากไป แต่เป็นเพราะคุณทำเรื่องไม่เรียบร้อย และที่สำคัญคุณยังเป็นคนในนามของผม และแน่นอนว่าเมื่อมีหนี้อะไร ในสถานการณ์ที่เขาหาคุณไม่เจอก็ต้องมาคิดกับผมอยู่แล้ว ขอร้องล่ะ คราวหน้าคุณอย่าหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ผมอีกได้ไหม”
เป่หมิงยี่เฟิงเผชิญหน้ากับเขานั้นช่างรู้สึกเบื่อหน่ายจริง ๆ ลูกน้องที่ไม่อยู่ในการควบคุมใด ๆ คนหนึ่ง และแท้จริงแล้วก็ยังเป็นตัวแทนของผู้ที่คอยสนับสนุนตัวเองอีกด้วย ความสัมพันธ์แบบนี้นั้นช่างทำให้เขารู้สึกปวดหัวมากจริง ๆ
ถังเทียนจื๋อมองเป่หมิงยี่เฟิงแล้วก็ยิ้มอ่อน “ต่อไปคุณก็จะค่อย ๆ ชินไปเอง ตอนนี้ที่ผมมีเรื่องเรื่องหนึ่งต้องการให้คุณไปจัดการ”
“เรื่องอะไร?” พอได้ยินว่ามีเรื่องให้ตัวเองไปทำ สมาธิของเป่หมิงยี่เฟิงก็เปลี่ยนเป็นหดเกรงขึ้นมาทันที
“คุณชายเป่หมิง ผ่อนคลายลงหน่อย ผมได้ยินมาว่าคุณกะจะใช้ชื่อของตัวเองไปร่วมประกวดราคากับโครงการของรัฐ มีเรื่องแบบนี้อยู่ใช่ไหม?”
เป่หมิงยี่เฟิงพยักหน้า “นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมนายอยากจะแทรกแซง แล้วเอาส่วนแบ่งจากในนี้ด้วยเหรอ?”
“โอ้! ผมว่าคุณชายเป่หมิงคุณคงจะมองจุดประสงค์ของผมคลาดเคลื่อนแล้วมั้งครับ เป้าหมายที่ผมมาที่นี่ไม่ใช่เพราะเงินทั้งนั้น ผมคิดว่าคุณน่าจะชัดเจนดีนะ ไม่งั้นคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นบางทีน่าจะเป็นผมไม่ใช่คุณ” ถังเทียนจื๋อพูดแล้ว ก็ยื่นมือไปชี้ที่ตำแหน่งที่เป่หมิงยี่เฟิงนั่งอยู่
ในใจของเป่หมิงยี่เฟิงนั้นต้องเข้าใจอยู่แล้ว “ก็ได้ งั้นที่คุณมาวันนี้คือจะมาถ่ายทอดคำสั่งของบุคคลเบื้องบนของคุณเหรอ?”
“คนของตระกูลเป่หมิงนี้ช่างฉลาดจริง ๆ ใช่ และตอนที่เรารู้ว่าคุณจะใช้ชื่อตัวเองเข้าร่วมการประมูลนั้น แน่นอนว่ารู้สึกแปลกใจไม่น้อย แต่ว่าเราก็เข้าใจนิสัยของประธานตอนนี้ของบริษัทเป่หมิงดี ว่าต้องไม่เข้าร่วมแน่ แค่คิดถึงจุดนี้ เรารู้สึกว่าที่คุณทำแบบนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ฉลาดมาก สามารถชักจูงจิตใจพนักงานเข้าด้วยกันได้ไม่น้อย ทำให้มีส่วนช่วยเหลือแผนการในอนาคตของคุณกับพวกเราเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้น พวกเราก็ไม่สามารถจะให้คุณลุยเดี่ยวคนเดียวได้”
***
เป่หมิงยี่เฟิงมองถังเทียนจื๋ออย่างไม่เข้าใจ “ความหมายของคุณคือ พวกคุณจะแทรกแซงเรื่องของผมเหรอ? ก่อนอื่นผมจะต้องของคุณความมีน้ำใจของพวกคุณ และอันดับต่อมาคือ สิ่งที่ผมจะแสดงออกมาคือ สำหรับเรื่องนี้ ผมอยากจะทำให้สำเร็จด้วยตัวผมเอง ผมไม่อยากให้มีคนห้อมล้อมผมอยู่ตลอดเวลา……ผมคิดว่าคุณน่าจะเข้าใจความหมายทั้งหมดที่ผมพูดนะ”
สำหรับการยืนกรานของเป่หมิงยี่เฟิงนั้น ถังเทียนจื๋อก็แค่ยักไหล่ แสดงท่าทางแบบว่าเบื่อหน่ายและผายมือออกมา “ในเมื่อคุณชายเป่หมิงมีความมุ่งมั่นมากขนาดนี้ งั้นผมก็ทำได้แค่ต้องสามารถรู้สึกเสียดายแล้ว ที่ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือกับคุณได้”
“คุณถัง ระหว่างพวกเราก็แค่มีความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนกันเท่านั้น ก็ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ แต่ว่าผมแค่อยากจะเตือนคุณสักคำ หลังจากนี้ตอนที่มีความคิดอะไรหรือมีเรื่องอะไรที่จำเป็นจะต้องออกไปจากบริษัทเป่หมิง ทางที่ดีที่สุดคุณช่วยบอกผมก่อนสักคำ ในเมื่อผมยังคงหัวหน้าของคุณอยู่”
“OK คำพูดของคุณผมจะจำไว้ในใจให้ดี ๆ เลย” ถังเทียนจื๋อตอบตกลงอย่างรวดเร็ว แต่กลับมองเป่หมิงยี่เฟยด้วยสายตามีความลึกซึ้งทีหนึ่ง
*
การประกวดราคาของรัฐได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว บริษัททั้งหลายต่างก็ส่งมอบหนังสือเสนอราคาของตัวเองออกมา มีบริษัทมากมายเพื่อที่จะให้โอกาสในการชนะการประมูลเพิ่มขึ้น ถึงกับเลือกใช้วิธีรวมกลุ่มกัน
และในการประมูลครั้งนี้ ข่าวที่ใหญ่ที่สุดและไม่มีข่าวไหนเกินข่าวนี้แล้ว นั่นก็คือบริษัทเป่หมิงไม่คิดจะเข้าร่วมการประมูล นี่ทำให้บริษัทอื่น ๆ ล้วนถึงกับหายใจโล่งได้เปลาะหนึ่ง ในเมื่อบริษัทเป่หมิงถึงเป็นคู่แข่งที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา
และแน่นอน นอกจากข่าวนี้แล้ว ข่าวที่เหลือก็คือข่าวที่เป่หมิงยี่เฟิงจะเข้าร่วมการประมูล แต่ไม่ได้เป็นตัวแทนของบริษัทเป่หมิง
ที่จริงแล้วสำหรับเป่หมิงยี่เฟิงก็ยังมีคนอีกมากที่ไม่ค่อยรู้จักเขา คนที่รู้จักก็แค่รู้จักมาจากการประมูลของบริษัทเจียเม้าครั้งนั้นเท่านั้น หลังจากที่บริษัทเจียเม้าได้ปฏิเสธการประมูลของบริษัทเป่หมิงไปแล้ว และเขาได้ใช้การออกแบบของตัวเองมาชนะใจจนได้รับการชื่นชมและยอมรับจากประธานกรรมการของบริษัทเจียเม้า
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ คนส่วนมากก็แค่รู้สึกว่าเป่หมิงยี่เฟิงแค่โชคดีไปหน่อยเท่านั้น และที่สำคัญเขายังพึ่งพิงบริษัทเป่หมิง ถึงแม้ก่อนหน้านั้นบริษัทเจียเม้าจะปฏิเสธการออกแบบของบริษัทเป่หมิงไปแล้ว แต่ว่าเพียงแค่ไม่อยากจะขัดใจกับบริษัทเป่หมิงจริง ๆ เพราะฉะนั้นถึงได้ช่วยให้เป่หมิงยี่เฟิงทำสำเร็จได้
จากมุมมองต่อเป่หมิงยี่เฟิงที่มีมาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะฉะนั้นการปรากฏตัวของเขาครั้งนี้ ก็เป็นเพียงแค่หัวข้อสนทนาฆ่าเวลาหลังอาหารเท่านั้น และไม่มีใครเอาเขามาคิดว่าเป็นอันตรายอย่างนั้นเลย
การเผชิญหน้าต่อแนวคิดของผู้คนในสายงานเดียวกันที่มีต่อตัวเองนั้น เป่หมิงยี่เฟิงกลับแสดงออกด้วยท่าทีที่ไม่ได้สนใจอะไร จะดีก็ดี จะไม่ดีก็ดี ผู้ชนะที่แท้จริงจะปรากฏออกมาหลังการประมูลเอง
หน้าที่รับผิดชอบบนบ่าของเขาครั้งนี้เปลี่ยนเป็นหนักยิ่งขึ้นแล้ว เพราะว่าเขาจะเอาสิ่งนี้มาเป็นจุดที่จู่โจมเป่หมิงโม่จุดหนึ่ง ทั้งบริษัทเป่หมิงจะต้องโดนเขาโค่นล้ม
เพื่อสิ่งนี้แล้ว เขาถึงกับหยุดการวางแผนทุกอย่างลงชั่วคราว ทุ่มสุดความสามารถเพื่อเผชิญหน้ากับการประมูลในครั้งนี้