บทที่ 991 พร้อมหน้าพร้อมตา
“หม่ามี๊ วันนี้หนูเรียนทำผัดไข่กับคุณป้าแอนนิได้แล้วนะคะ” ทารกน้อยแอบอิงอยู่ในอ้อมกอดของกู้ฮอน ในมือถือตุ๊กตาที่เป่หมิงโม่มอบให้กับเธอเอาไว้
หลังจากที่จิ่วจิ่วเห็นตุ๊กตาตัวนี้แล้วก็ชอบเสียจนไม่ยอมปล่อยให้ห่างมือ
กู้ฮอนกอดลูกสาวแน่น หอมหน้าผากของเธอไปครั้งหนึ่ง “ทารกน้อยของพวกเราเก่งขนาดนี้เลย สามารถช่วยคุณป้าแอนนิทำอาหารได้แล้วด้วย แบบนี้ยอดเยี่ยมกว่าเฉิงเฉิงและหยางหยางอีกนะ พวกเราใครก็ทำไม่เป็น”
จิ่วจิ่วยืดศีรษะเล็กๆขึ้นมา แสดงท่าทางภูมิอกภูมิใจในตัวเองมาก “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วค่ะ พวกเขาล้วนซื่อบื้อ ส่วนหนูเป็นแม่ครัวตัวน้อย รอหนูเรียนรู้จากคุณป้าแอนนิมากกว่านี้หน่อยก็จะสามารถทำอาหารให้คุณแม่ทานได้แล้ว พี่เฉิงเฉิงและพี่หยางหยางอยากกิน หนูก็ไม่ให้หรอก…….”
“ว้าว ไม่ให้อะไรพวกเราหรือ มีของกินไม่แบ่งจะเก็บไว้กินเองคนเดียว น้องสาวไม่ใช่เด็กดีเลยนะ” เสียงของหยางหยางลอยมาจากหน้าประตู ท่าทางร้อนใจเหมือนกับลิงที่ถูกไฟไหม้หางเลยทีเดียว
***
กู้ฮอนเงยหน้ามองหยางหยางที่เดินเข้ามา ด้านหลังเขามีเฉิงเฉิงตามมาด้วย พวกเขาเพิ่งจะกลับมาจากหลังเลิกเรียน
สองวันมานี้เธอไม่มีเวลาว่างไปรับส่งเด็กๆเข้าเรียนเลิกเรียนเลย ภารกิจนี้ล้วนให้ฉิงฮัวรับผิดชอบคนเดียวแล้ว
“ลูกน่ะ ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของกินแล้วก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทำไมแม่ถึงไม่เห็นลูกตอบสนองในเรื่องอื่นเร็วเหมือนเรื่องนี้บ้างล่ะ ดูเฉิงเฉิงกับจิ่วจิ่วสิ พวกเขาล้วนทำให้แม่วางใจมาก”
หยางหยางเบะปากมองกู้ฮอนอย่างไม่ยอมรับ “พวกเขาก็คือพวกเขาสิครับ ผมก็คือผม เป็นดอกไม้ไฟแต่ละดอกที่ไม่เหมือนกัน……”
เจ้าลูกคนนี้เคยฟังเพลง ‘ พี่ชาย‘ ตั้งแต่เมื่อไรกัน มองไม่ออกเลยจริงๆว่าความสนใจชื่นชอบของเขามีเรื่องฟังเพลงเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน ปัญหาก็คือฟังเพลงของนักร้องที่ไม่ได้อยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับเขาด้วย
วัยอย่างเขาควรจะฟัง “โบกมือซ้าย สะบัดมือขวา……” อะไรนั่น เหมือนจะเรียกว่า TF อะไร……
“รีบไปทำการบ้านเดี๋ยวนี้” กู้ฮอนฟาดลงบนก้นของหยางหยางอย่างแรงฝ่ามือหนึ่ง
“แม่ครับ ทำไมมือแม่หนักขึ้นเรื่อยๆแล้วล่ะ การบ้านผมเขียนเสร็จตั้งแต่ตอนอยู่ที่โรงเรียนแล้วนะ……” หยางหยางขมวดคิ้ว อย่างไรเขาก็ไม่ค่อยชื่นชอบวิธีการที่คุณแม่เอามาใช้ทักทายตัวเอง
กู้ฮอนมีท่าทางตกตะลึงเป็นอย่างมาก “ลูกไม่ใช่พวกที่ต้องรอให้ถึงช่วงเวลาก่อนนอนแล้วถึงจะลงมือเขียนการบ้านหรอกหรือ วันนี้สมองเป็นอะไรมาถึงได้ทำเสร็จเร็วขนาดนี้”
บทสนทนาระหว่างพวกเขาแม่ลูกนั้นให้ความรู้สึกไม่เอาการเอางานแม้แต่น้อยมาโดยตลอด
นี่ทำให้เฉิงเฉิงที่อยู่ด้านข้างและจิ่วจิ่วที่อยู่ในอ้อมกอดของคุณแม่ล้วนรู้สึกหมดคำบรรยายไปชั่วขณะ
เพียงแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาล้วนมีความเห็นตรงกันอย่างหนึ่งว่า บางอย่างในตัวของหยางหยางก็ได้รับการสืบทอดความไม่เอาการเอางานมาจากคุณแม่ แต่ลักษณะพิเศษแบบนี้ของคุณแม่จะแสดงออกมากับหยางหยางเท่านั้น
ทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว กู้ฮอนก็ให้เด็กๆทั้งสามคนอยู่ในห้องรับแขกด้วยกันกับแอนนิ ลั่วเฉียวและฉิงฮัวด้วยกันอย่างยากลำบาก
“แม่ครับ วันนี้วันอะไรหรือ จะจัดงานเลี้ยงรวมตัวคนในครอบครัวอะไรนั่นหรือครับ บ้านผู้ติดตามของผม หวูเสี่ยวเอ๋อ พวกเขามักจะจัดงานปาร์ตี้ครอบครัวพวกนี้บ่อยๆ” หยางหยางนั่งอยู่บนโซฟา ขาสองข้างที่ห้อยลงมาจากโซฟาแกว่งไปแกว่งมา
“หวูเสี่ยวเอ๋อ ชื่อนี้คุ้นหูมากๆ” กู้ฮอนหยุดคิดเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจได้ในทันที “อ๋อ! พ่อของเขาคือเถ้าแก่ที่ร่ำรวยมาจากการทำธุรกิจถ่านหินหรืออะไรนะ ที่ชื่อว่า……หวูเหล่าเอ๋อใช่ไหม”
เมื่อพูดแบบนี้แล้ว เฉิงเฉิงก็นึกขึ้นมาได้เช่นกัน “คุณแม่ คนที่หยางหยางพูดถึงก็คือเขาครับ”
“เด็กชายหยางหยาง ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะ พวกเราไม่มีเวลามาจัดงานเลี้ยงอะไรนั่นหรอก เพียงแต่เห็นว่าวันนี้พวกหนูเชื่อฟังเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเราจึงให้รางวัลพวกหนูด้วยการดูโทรทัศน์กับพวกเรา” ในอ้อมแขนของลั่วเฉียวอุ้มลูกน้อยเอาไว้อยู่ เธอและหยางหยางนั้นเป็นเพื่อนที่ผลัดกันแดกดันอีกฝ่ายโดยไม่แบ่งผู้ใหญ่หรือเด็กคู่หนึ่ง
ถ้าทุกวันไม่ได้ลับฝีปากกันล่ะก็ สำหรับพวกเขามักจะรู้สึกวูบโหวงแปลกๆ เหมือนกับว่าขาดอะไรบางอย่างไป
สำหรับคนอื่นๆนั้นกลายเป็นเรื่องคุ้นเคยที่เห็นกันเป็นปกติไปแล้ว
ตอนที่พวกเขากับกำลังมีปากเสียงกัน ประตูบ้านพักของพวกเขาก็มีเสียง “ก๊อกๆๆ…….” ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
มืดค่ำขนาดนี้แล้วยังจะมีใครมาที่นี่อีก โดยเฉพาะพวกเขาที่ดูเหมือนว่าจะติดต่อกับคนอื่นน้อยมาก นอกจากหยินปู้ฝันแล้ว……..
“คุณพ่อปู้ฝันมาหรือ” ความคิดแรกที่ปรากฏขึ้นในสมองของเฉิงเฉิงก็คือ อาจจะเป็นเขาที่มา เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่ได้เจอเขา พูดคุยทางโทรศัพท์ก็แค่สั้นๆไม่กี่ประโยค สำหรับเขาและหยางหยางนั้นก็คิดถึงเขาอยู่บ้างจริงๆ
***
“จะเป็นพ่อปู้ฝันมาหรือไม่ ฉันจะไปเปิดประตู ฉันจะไปดูที่ประตู…….” หยางหยางนั้นเป็นเด็กที่อยู่ว่างๆไม่ได้ การโต้เถียงกับลั่วเฉียวก็เหมือนว่าจะไม่ได้รับประโยชน์อะไร
จึงถือโอกาสไม่สนใจเธอแล้ววิ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนสบตากันไปมา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเป็นใครเช่นกัน
“คงจะไม่ใช่ว่าคุณชายปู้ฝันมาจริงๆหรอกนะครับ เขามีข่าวใหม่หรือ” ในใจของฉิงฮัวเฝ้ารอคอยว่าถ้าหากเป็นหยินปู้ฝันที่มา จะต้องมีข่าวดีอะไรอย่างแน่นอน
ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงไม่โทรศัพท์มา แต่ว่ามาหาที่บ้านแทนกัน
แน่นอนว่าเขาไม่หวังว่าจะมีสถานการณ์ที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงปรากฏขึ้น
ส่วนลั่วเฉียว พอได้ยินว่าคนที่มาเคาะประตูอาจจะเป็นหยินปู้ฝัน เธอก็รีบส่งลูกในอ้อมแขนให้กับแอนนิดูแลชั่วคราว จากนั้นก็จัดแต่งเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย
“ลั่วเฉียว นี่เธอทำอะไรน่ะ ตอนที่เธอเจอกับฉิงฮัวยังไม่กระตือรือร้นขนาดนี้นะ” กู้ฮอนมองเธอพลางเอ่ยล้อ
ประโยคนี้นั้นทำให้ฉิงฮัวหน้าแดงก่ำ ไม่ใช่เพราะว่าเขาหึงหยินปู้ฝัน ในใจของเขาชัดเจนดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างลั่วเฉียวและหยินปู้ฝันก็เหมือนกับพี่ชายน้องสาว
“เฮ้ๆ กู้ฮอน ไม่มีคนที่นั่งดูเรื่องสนุกโดยไม่รังเกียจว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แบบเธอนะ ระหว่างฉันกับเขานั้นเป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงอย่างบริสุทธิ์ใจ จะว่าไป ฉันก็มีฉิงฮัวอยู่แล้ว ตอนนี้ถือได้ว่าผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง จะไปมีเสน่ห์ขนาดนั้นได้ที่ไหนกันล่ะ……” ลั่วเฉียวพูด แสดงท่าทางที่ทำให้ผู้คนเห็นแล้วสงสารออกมา
“คุณแม่ครับ คุณพ่อปู้ฝันจะนำข่าวอะไรมาหรือครับ” เฉิงเฉิงที่นั่งมองผู้ใหญ่เสียดสีกันไปมาก็จับประโยคหนึ่งของกู้ฮออนไม่ยอมปล่อย
เขาคิดว่าสาเหตุที่ผู้ใหญ่ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ก็เพราะรอข่าวที่คุณพ่อปู้ฝันนำมาให้พวกเขา
“นี่…….” กู้ฮอนมองเฉิงเฉิง ไม่รู้จริงๆว่าจะอธิบายเรื่องพวกนี้กับเขาอย่างไร
เรื่องของเป่หมิงโม่นั้นถูกเก็บเป็นความลับสำหรับเด็กๆทั้งหมด
“ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไร ก่อนหน้านี้ป้าฝากพ่อปู้ฝันของหนูหิ้วนมผงของต่างประเทศมาให้น่ะ หนูก็เห็นไม่ใช่หรือ ตอนนี้ในประเทศ ของพวกนี้ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร ทำให้ผู้คนพากันแตกตื่น ตอนนี้ที่ต่างประเทศสินค้านี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า” ยังคงเป็นลั่วเฉียวที่สมองประมวลผลได้รวดเร็ว จึงคิดเหตุผลมาพูดอย่างขอไปทีได้อย่างรวดเร็ว
โชคดีที่กระแสการฝากหิ้วสินค้าจากต่างประเทศยังไม่ผ่านไป จะซื้อนมผงไม่กี่กระป๋องอะไรนั่นก็ไม่ใช่ว่าพูดซี้ซั้วไม่ดูฤดูกาลเสียหน่อย
คำถามของเฉิงเฉิงนั้นถือว่าผ่านไปได้แล้ว ไม่เพียงแต่ลั่วเฉียว แต่ผู้ใหญ่คนอื่นๆอีกสามคนก็แอบโล่งใจเงียบๆเช่นกัน
พวกเขาก็เหมือนกับกู้ฮอนที่ไม่ต้องการให้เด็กๆได้รับรู้ข่าวร้าย ตอนนี้พวกเขาถือว่าเป็นครอบครัวที่มีแม่คนเดียวแล้ว แม้ว่าจะมีกินมีใช้ แต่ในใจก็ใช่ว่าจะมีความสุขมากกว่าเด็กๆในครอบครัวที่สมบูรณ์เสมอไป
เด็กๆอย่างพวกเขาสามคนล้วนใช้วิธีการของตัวเองมาอำพรางความกลัดกลุ้มใจของพวกเขา และใช้ท่าทางน่ารักในการเผชิญหน้ากับผู้ใหญ่
หยางหยางวิ่งไปถึงหน้าประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะเปิดประตูกริ่งหน้าประตูก็ดังอีกสามครั้ง
“มาแล้วๆ……กดกริ่งแบบนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกกดจนพังแน่ๆ ถึงตอนนั้นผมจะให้พ่อชดใช้นะ” เดิมการพูดจาระหว่างเขากับหยินปู้ฝันก็เป็นไปอย่างสบายๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก ผ่อนคลายยิ่งกว่าการพูดคุยของตัวเองกับคุณแม่มาก
แต่หลังจากที่เขาเขย่งเท้าบิดลูกบิดให้ประตูค่อยๆเปิดออกแล้ว เขาก็พบว่ามีผู้ชายร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ด้านนอก จึงตะลึงค้างไปชั่วครู่ จากนั้นปากก็ยิ้มจนจะฉีกไปถึงรูหูแล้ว
***
หยางหยางเห็นผู้มาเยือนก็จิตใจเบิกบานขึ้นมาในทันที “ครู ครูมาได้อย่างไรกันครับ นานแล้วที่ไม่ได้เจอครู ดูเหมือนว่าครูจะตากแดดจนดำขึ้นนะ……”
ผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูก็คือพี่ชายของลั่วเฉียว คุณครูสอนพิเศษของหยางหยางที่ชื่อว่าโล่ฮาน นับตั้งแต่ที่เขาจากไปในครั้งที่แล้วก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย
หยางหยางอยากจะโทรศัพท์หาเขา แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้สายไม่ว่างตลอด หลังจากโทรศัพท์ไปได้หลายครั้งแล้ว สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้
วันนี้เห็นว่าเขามาก็เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างไม่คาดฝันเรื่องหนึ่งจริงๆ
ได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างดีใจของหยางหยางที่อยู่หน้าประตูแล้ว คนที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกก็ได้ยินไม่ชัดเจนว่าเขาโห่ร้องอะไร ถึงขั้นคิดว่าไม่ใช่ว่าหยินปู้ฝันมาหรอกหรือ จะต้องโห่ร้องอย่างดีใจขนาดนี้ด้วยหรือ……
โล่ฮานที่ยืนอยู่หน้าประตูยิ้มบางๆให้หยางหยาง จากนั้นก็ยื่นมือไปโยกศีรษะเล็กๆของเขาเบาๆ “ใช่แล้ว พวกเราไม่ได้พบกันนานมากแล้วจริงๆ หนูดูอ้วนขึ้นเล็กน้อยกว่าตอนที่ครูจากไปนะ ปกติแล้วไม่ได้ออกกำลังกายใช่ไหม”
เขาพูดแล้วก็ยื่นมือไปหยิกแขนเล็กนั้นเบาๆ
“ผมเชื่อฟังมากนะครับ ออกกำลังกายทุกวันเลยด้วย ส่วนปัญหาเรื่องที่อ้วนขึ้นนั้น……ฮิฮิ ผมไม่สามารถต้านทานต่อความยั่วยวนของอาหารอร่อยอันโอชะได้จริงๆ” หยางหยางแสดงกล้ามเนื้อเล็กๆบนแขนของตัวเองไปพลาง มืออีกข้างก็ลูบไปที่พุงน้อยๆของตัวเองด้วยอาการเขินอายไปพลาง
หลังจากสนทนากันอยู่หน้าประตูไปรอบหนึ่ง ในที่สุดคนด้านในก็เข้าใจแล้วว่าใครมากันแน่
“แย่ละ พี่ชายฉันมาแล้ว ทำอย่างไรดีๆ……ไม่อย่างนั้นฉันขึ้นไปแอบที่ชั้นบนก่อน……” ลั่วเฉียวได้ยินเสียงของโล่ฮานแล้วก็เหมือนกับมดที่เดินอยู่บนหม้อร้อนๆในทันที เริ่มที่จะหมุนไปหมุนมาทำอะไรไม่ถูก
ในเวลาเดียวกันกับที่ภายในห้องรับแขกกำลังวุ่นวายนั้น หยางหยางก็จูงมือใหญ่ของโล่ฮานเดินเข้ามาด้านในแล้ว
“ครูโล่ หลายวันมานี้ครูไปอยู่ที่ไหนมาครับ ทำไมจู่ๆวันนี้ถึงได้มาเยี่ยมผมกัน”
สำหรับหยางหยางแล้ว โล่ฮานมีอิทธิพลไม่น้อยกว่าหยินปู้ฝันเท่าไร จนถึงขั้นพูดได้ว่าครอบครองตำแหน่งในใจของหยางหยางมากกว่าเขาเสียอีก
นี่ก็เป็นสิ่งที่บ่มเพาะมาจากการมีปฏิสัมพันธ์ด้วยกันทั้งวันในช่วงเวลาหนึ่ง และในช่วงเวลานั้นโล่ฮานมีบทบาทเป็นทั้งคุณครูและเพื่อน
ในเวลาเดียวกันกับที่สอนความรู้ให้เขา ก็ได้สอนในสิ่งที่เขาให้ความสนใจเป็นอย่างมากด้วย
“แม่ครับ แม่ดูสิว่าใครมา…….” หยางหยางจูงโล่ฮานมาถึงหน้าประตูห้องรับแขกด้วยอารมณ์ดีอกดีใจ
เป็นวาสนาไม่ใช่คราวเคราะห์ ถ้าเป็นคราวเคราะห์ก็หลบไม่พ้น จะปิดบังอย่างไรก็ไม่อาจจะปิดบังไปได้ตลอดชีวิตหรอก ยังคงต้องมีวันหนึ่งที่ความลับถูกเปิดโปงออกมา นอกจากนี้ก็จะรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณด้วยว่าการที่ตัวเองทำแบบนี้ไม่เป็นแบบที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้
แอบแต่งงานไม่บอกพ่อแม่ก็ถือว่าทำเกินไปแล้ว ถ้าหากว่ามีลูกแล้วยังจะปิดบังอีกก็ไม่เข้าท่าแล้ว