บทที่ 997 หยางหยางก็โรแมนติกเป็นเช่นกัน
ลั่วเฉียวได้ยินพี่ชายพูดแบบนี้แล้วก็ไม่ยอมแพ้อยู่บ้าง “หนูไม่ได้เปลี่ยนเรื่องนะคะ พี่เป็นพี่ชายหลานชายคนโตของตระกูลโล่ การแต่งงานคลอดลูกควรจะเป็นพี่ก่อนจะเป็นหนูถึงจะถูก แต่ว่าพี่ล่ะ ตอนนี้ยังวางแผนจะเป็นโสดอยู่เลย คุณพ่อคุณแม่อยากกอดหลานมานานมากแล้ว จะว่าไป ท่ามกลางพวกเราทั้งหมด แน่นอนว่าหนูเด็กที่สุด คนที่เด็กที่สุดควรจะได้รับความรักและการทะนุถนอมจากพวกพี่”
“ป้าเฉียวเฉียวครับ ทั้งวันป้าพูดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่หรือครับ ทำไมวันนี้ถึงได้เปลี่ยนมาพูดว่าตัวเองเด็กเสียแล้วล่ะ” หยางหยางเอ่ยแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่งทันที
ประโยคนี้ทำให้ลั่วเฉียวชะงักจนหน้าแดงก่ำ เธอถลึงตาใส่หยางหยางอย่างดุร้าย “ที่ป้าพูดกับที่หนูพูดไม่ใช่เรื่องเดียวกันเข้าใจไหม กินข้าวก็ยังปิดปากหนูเอาไว้ไม่ได้ ระวังว่าถึงเวลาแล้วจะสายจนถูกคุณครูลงโทษหนูให้ยืนนะ”
หยางหยางแสดงท่าทางจนปัญญาออกมา “เฮ้อ……ผู้หญิงนั้นเปลี่ยนง่ายขนาดนี้เลย”
*
กู้ออนทานข้าวเช้าพร้อมกับทุกคนเสร็จเรียบร้อย ฉิงฮัวถูกให้ลาหยุด ดังนั้นวันนี้เรื่องการส่งเด็กๆทั้งสามคนไปโรงเรียนนั้นตกเป็นหน้าที่ของเธอไปโดยปริยาย
“ลั่วเฉียว หลังจากที่เธอกลับไปแล้วก็ยอมรับผิดกับคุณพ่อคุณแม่ดีๆล่ะรู้หรือไม่ ห้ามเถียงพวกเขาเด็ดขาดนะ ตอนนี้ฉันสามารถที่จะตระหนักได้อย่างลึกซึ้งแล้วว่าการมีคุณพ่อคุณแม่เป็นเรื่องที่มีความสุขมากเรื่องหนึ่ง ทะนุถนอมมันให้ดีล่ะ”
ลั่วเฉียวออกแรงพยักหน้า “ฮอน เธอวางใจเถอะ”
ถัดมาสายตาของเธอก็เบนไปที่โล่ฮาน ระหว่างพวกเขานั้น ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากแล้ว ทั้งหมดล้วนรับรู้ได้ผ่านการแสดงออกโดยไม่ต้องเอ่ยพูดออกมา
โล่ฮานยิ้มบางๆพลางพยักหน้าให้เธอ จากนั้นก็มองไปที่หยางหยาง “หยางหยาง หนูต้องตั้งใจเรียนนะ ไม่อย่างนั้น ครูจะไม่สอนกังฟูให้หนูแล้วนะ”
***
กู้ฮอนขับรถบนถนนเส้นที่มุ่งหน้าไปโรงเรียน หยางหยางนั่งอยู่ข้างเธอ ส่วนเฉิงเฉิงนั่งอยู่ที่เบาะด้านหลัง
“แม่ครับ วันนี้คุณแม่อารมณ์ดีนะครับ” หยางหยางหันหน้าไปมองกู้ฮอน
“ก่อนหน้านี้แม่ดูอารมณ์ไม่ดีชัดเจนมากหรือ” กู้ฮอนยิ้มบางๆ มองลูกชายอีกคนผ่านกระจกมองหลัง
เฉิงเฉิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “เป็นอย่างนั้นจริงๆครับ แม้ว่าพวกเราจะไม่รู้ว่าคุณแม่กำลังหนักใจเพราะเรื่องอะไร แต่พวกเราสามารถรู้สึกได้ จนกระทั่งเมื่อคืนวานยังคงเป็นเช่นนี้ เพียงแต่หลังจากที่เจอกับคุณแม่ในเช้าตรู่วันนี้ก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าไม่เหมือนกับเมื่อก่อน”
คาดไม่ถึงเลยว่าลูกๆจะสังเกตตัวเองละเอียดขนาดนี้ ดูท่าหลังจากนี้ตัวเองควรจะระมัดระวังสักหน่อย
“แม่ครับ เมื่อวานนี้ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน ถึงได้ทำให้คุณแม่เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ คุณพ่อแอบโทรศัพท์หาคุณแม่เงียบๆใช่ไหมครับ” หยางหยางนั้นเหมือนกับนักสืบตัวน้อยๆคนหนึ่ง
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เรื่องเมื่อวานนี้เกี่ยวข้องกับเป่หมิงโม่ เพียงแต่ว่าเป็นแค่ส่วนหนึ่งในนั้นเท่านั้นเอง
กู้ฮอนแสร้งทำท่าทางไม่มีอะไร “พ่อเขาไม่โทรศัพท์หาแม่หรอก ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไร หลายวันก่อนหน้านี้แม่นอนไม่หลับ เมื่อวานได้นอนหลับสบายเลยอารมณ์ดีเล็กน้อยเป็นธรรมดา พวกลูกอย่าคิดเพ้อเจ้อล่ะ ตอนนี้เป้าหมายของพวกลูกก็คือตั้งใจเรียน โดยเฉพาะหยางหยาง ลูกอย่ามาทำตัวภาคภูมิใจในตัวเองต่อหน้าแม่หลังจากได้คะแนนเพียงน้อยนิดแบบนี้ล่ะ”
“รู้แล้วครับแม่ แม่วางใจเถอะ” หยางหยางพูดถึงตรงนี้ ก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยประโยคหนึ่งออกมากะทันหัน “แม่ครับ พวกเรามีความสุขมากเช่นกันที่มีคุณแม่อยู่”
คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่า ปากของหยางหยางที่ทำให้ตัวเองเป็นห่วงมาตั้งแต่เด็กจะพูดจาโรแมนติกแบบนี้ออกมา
นี่ทำให้ในใจของกู้ฮอนรู้สึกตื้นตันใจอยู่บ้าง
เพียงแต่ปากกลับพูดว่า “คำพูดกะล่อนไม่จริงจังแบบนี้ของลูกเรียนมาจากอาสามสินะ”
เมื่อเอ่ยถึงเป่หมิงยัน ไม่เพียงแต่หยางหยาง กระทั่งเฉิงเฉิงก็ล้วนรู้สึกคิดถึงเขาอยู่บ้าง ไม่ได้เจอเขาตั้งนานแล้ว ถึงขั้นโทรศัพท์สักสายก็ไม่ได้โทรหาเขา ถึงขั้นไม่ได้เห็นรายงานเกี่ยวกับเขาในโทรทัศน์เลย
เขาเหมือนกับว่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีร่องรอยใดๆ
หลังจากถึงโรงเรียนแล้ว พวกเขาก็ลงจากรถ หลังจากเห็นคุณแม่ขับรถจากไปแล้ว หยางหยางก็ใช้แขนถองไปที่เฉิงเฉิง “เฮ้ พวกเราเลิกเรียนแล้วไปหาอาสามกันเถอะ”
“ไปหาที่ไหนล่ะ ตอนนี้พวกเราก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน” แม้ว่าเฉิงเฉิงจะมีความคิดแบบนี้เหมือนกัน แต่กลับติดที่ว่าตัวเองเป็นพี่ชาย ไม่ควรจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับหยางหยาง
“นี่ง่ายจะตาย พวกเราสามารถไปดูที่บ้านของคุณปู่ก่อน จากนั้นค่อยโทรศัพท์ไปถามว่าเขาอยู่ที่ไหน นายคิดว่าเป็นอย่างไร” เมื่อหยางหยางเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแปลกๆ
เฉิงเฉิงชำเลืองมองเขาครู่หนึ่ง “อย่างนั้นนายโทรศัพท์หาเขาก็ได้แล้ว ถามว่าจะไปหาเขาได้ที่ไหนไม่สะดวกกว่าหรือ”
หยางหยางส่ายหน้า “ฉันอยากเซอร์ไพร์สอาสามของพวกเรา ถ้าหากว่าแจ้งแล้วค่อยไปก็ไม่สนุกแล้วน่ะสิ”
“อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้ ไปเข้าเรียนก่อนเถอะ ถึงเวลาถ้าหากจะไปล่ะก็ ต้องโทรศัพท์บอกคุณแม่ก่อน คุณแม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา นายเพิ่งจะเห็นว่าหลายวันก่อนหน้านี้คุณแม่อารมณ์ไม่ค่อยจะดีตลอดไม่ใช่หรือ ไม่ง่ายเลยที่จะดีขึ้นมาเหมือนวันนี้ นายอยากจะให้คุณแม่เป็นกังวลเรื่องพวกเราหรือ อย่างนั้นที่นายพูดเมื่อครู่นี้ว่า มีคุณแม่แล้วพวกเรามีความสุข ก็เป็นเรื่องโกหกน่ะสิ เพราะถ้ามัวแต่ห่วงเรื่องข้างหน้าแต่ลืมข้างหลังเหมือนกับนายจะทำให้เธอเป็นกังวล แบบนั้นจะทำให้เธอรู้สึกว่ามีพวกเราแล้ว เธอไม่มีความสุข”
***
หลังจากกู้ฮอนส่งเด็กๆทั้งสองคนไปถึงโรงเรียนแล้ว เธอหันรีบขับรถมุ่งไปยังบริษัทเป่หมิง วันนี้เธอให้ฉิงฮัวลาหยุด นี่ก็หมายความว่าทั้งวันนี้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรล้วนต้องให้ตัวเองเผชิญหน้าด้วยตัวคนเดียวแล้ว
สำหรับเธอแล้วถือได้ว่าเป็นบททดสอบที่ค่อนข้างใหญ่หลวง
ยังดีที่ตอนที่เธอมาถึงนั้น ยังไม่ถึงเวลาทำงาน เธอเดินขึ้นลิฟต์โดยสารไปถึงห้องทำงานของประธานบริษัทด้วยความสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนอื่นเธออ่านกำหนดการในวันนี้ที่ทำเสร็จแล้ว ยังดี นอกจากงานที่ต้องทำประจำวันแล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องออกไปข้างนอก พบแขกหรือว่าการประชุมต่างๆ ดูท่าวันนี้จะสามารถผ่านไปได้อย่างสวัสดิภาพเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าก็เป็นเหมือนกับที่กู้ฮอนคาดเอาไว้ การทำงานถัดมาไม่กี่ชั่วโมงของเธอนั้นรู้สึกค่อนข้างผ่อนคลาย
เพียงแต่ว่า ถ้าราบรื่นเกินไป ก็จะน่าเบื่ออยู่บ้าง ดังนั้น ถือว่าเป็นการเซอร์ไพร์สเธออย่างไม่คาดฝันอย่างหนึ่ง
หลังจากที่เธอก้มหน้าก้มตาทำงานด้วยใจที่สงบไปครึ่งวัน ประตูห้องทำงานของเธอก็ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน
“เอ๋ ยากนะที่ฉิงฮัวจะไม่อยู่”
“ไม่ต้องเงยหน้ามองคน ได้ยินแค่เสียงก็สามารถรู้ได้ว่านี่คือเป่หมิงยี่เฟิง แน่นอนว่า นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้ามาที่นี่ได้อย่างสบายๆ
กู้ฮอนขมวดคิ้วเล็กน้อย ถัดมาก็หยุดงานที่อยู่ในมือ
“หัวหน้าเป่หมิง ถ้าหากว่าคุณมีเรื่องอะไร โทรศัพท์มาก็ได้แล้ว ทำไมถึงได้มาด้วยตัวเองกัน เรื่องการเปิดประมูลของภาครัฐนั้นน่าจะมากพอที่จะทำให้คุณยุ่งไปช่วงหนึ่งแล้ว”
เป่หมิงยี่เฟิงค่อยๆเดินมาถึงด้านหน้าโต๊ะทำงานของเธอ มือทั้งสองข้างท้าวอยู่บนโต๊ะ “ฮอน ผมยังคงชอบความรู้สึกที่คุณเรียกผมว่ายี่เฟิงนะ อย่างไรตอนนี้ฉิงฮัวก็ไม่อยู่ ที่นี่มีเพียงแค่พวกเราสองคน ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นทางการขนาดนั้นก็ได้นะ”
“ถึงแม้ว่าพวกเราสองคนจะสนิทกันมากกว่านี้ แต่ที่นี่ก็เป็นสถานที่ทำงานและอยู่ในเวลางาน พูดมาเถอะว่า คุณมาที่นี่เพื่อเรื่องอะไร” ตอนนี้กู้ฮอนไม่ยินยอมที่จะเสียเวลาไปกับการโต้เถียงเขา
แม้ว่าในตอนนี้ใบหน้าของเขาจะประดับไปด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเบื้องหลังใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้นแอบซ่อนใบหน้าแบบไหนเอาไว้
เป่หมิงยี่เฟิงยกมือขึ้นดูนาฬิกาของตัวเอง จากนั้นก็ชี้ไปที่เข็มนาฬิกาบนหน้าปัด “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำงานแล้ว ดังนั้นที่ผมมาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน เพียงแต่อยากเลี้ยงข้าวคุณมื้อหนึ่งเท่านั้นเอง”
กู้ฮอนเอนศีรษะเล็กน้อย มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ไม่คุยเรื่องงาน เพียงแค่ทานข้าวง่ายๆแค่นั้นหรือ”
เป่หมิงยี่เฟิงพยักหน้า ยังคงรักษารอยยิ้มบางๆเอาไว้ “ไม่ผิด แค่ทานข้าว ทำไม แม้ว่าระหว่างพวกเราอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเข้าใจผิดและความขัดแย้งมากมาย หรือว่าคุณจะไม่ยินยอมตอบรับคำเชิญที่บริสุทธิ์ใจมากขนาดนี้ของผมกัน”
ประโยคนี้เป็นการบอกเธอทางอ้อมว่า ถ้าหากไม่ไปล่ะก็หมายความว่าตัวเองกำลังกลัวเขา ต้องอ่อนข้อให้เขาแล้ว ในฐานะประธานบริษัทคนหนึ่ง จะยอมอ่อนข้อให้เขาได้อย่างไร แบบนี้ไม่เพียงแค่ตัวเองขายหน้า แต่ถึงขั้นเป่หมิงโม่ขายหน้าด้วย
นอกจากนี้แล้ว เมื่อคืนนี้ หลังจากที่โล่ฮานให้เธอกินยาสงบใจเม็ดหนึ่งแล้ว วันนี้เธอก็สามารถที่จะไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นมากอีกแล้ว สามารถหยิบเลือกประสบการณ์บางส่วนมาดูแลจัดการบริษัทเป่หมิงได้
“หัวหน้าเป่หมิง ในเมื่อวันนี้คุณจะเลี้ยง อย่างนั้นฉันจะต้องเห็นแก่หน้าคุณอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า เหมือนกับที่คุณพูด ระหว่างพวกเราเพียงแค่ทานข้าว ปัญหาเรื่องงานจะไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว มิเช่นนั้นฉันจะจากไปในทันที”
***
หลังจากกู้ฮอนรับนัดของเป่หมิงยี่เฟิงแล้ว ก็วางงานที่อยู่ในมือไว้ข้างหนึ่ง จากนั้นก็ตามเขาไปถึงร้านอาหารสไตล์ยุโรปร้านหนึ่งที่มีระยะห่างอยู่ไม่ไกลจากบริษัทเป่หมิงมากนัก
ได้ยินเสียงเพลงที่อ่อนโยนและงดงามลอยมาเข้าหู พวกเขานั่งอยู่ที่ปลายโต๊ะอาหารสองข้าง
บนโต๊ะมีผ้าปูโต๊ะและอุปกรณ์ทานอาหารสีขาวสะอาดวางอยู่
ด้านในบรรจุอาหารอร่อยมากมายที่บริกรนำมาเสิร์ฟ
ทำงานมาตลอดช่วงเช้า แม้ว่าจะไม่ได้ทำกิจกรรมอื่นๆ แต่เธอก็รู้สึกหิวอย่างเลือนราง
ดังนั้น หลังจากที่อาหารมาเสิร์ฟแล้ว เธอก็ไม่เกรงใจที่จะหยิบมีดและช้อน เริ่มลงมือทานอาหารขึ้นมา
เป่หมิงยี่เฟิงนั้นไม่ได้รีบร้อนที่จะเริ่มทานอาหาร ในมือมีเพียงแค่แก้วทรงสูงใบหนึ่ง ค่อยๆลิ้มรสหวานหอมของไวน์แดง
“ทำไมคุณถึงไม่กิน” หลังจากที่กู้ฮอนทานอาหารไปช่วงหนึ่ง ถึงจะสังเกตเห็นอาหารที่อยู่ด้านหน้าเป่หมิงยี่เฟิง ยังคงวางอยู่ที่เดิมตรงนั้นไม่ถูกขยับ
“ที่จริงแล้วผมไม่หิวเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าผมก็อยากจะทานอาหารด้วยกันกับคุณ ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องในอดีตระหว่างพวกเรา ในโลกแห่งความจริงใบนี้ ตามกาลเวลาที่ผ่านพ้นไป พวกเราล้วนเปลี่ยนไปไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไป ก็คือรูปร่างหน้าตาของคุณ”
เป่หมิงยี่เฟิงจิบไวน์แดงคำหนึ่งด้วยท่วงท่าที่สง่างามมาก ดูไปแล้วอารมณ์ความรู้สึกของเขาไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนกับตอนที่อยู่ที่บริษัทเป่หมิง
“คุณเจอเรื่องอะไรมาหรือ” นี่เป็นปฏิกิริยาแรกของกู้ฮอน
เป่หมิงยี่เฟิงส่ายหน้าเบาๆ “ที่จริงแล้ว ผมไม่เหมือนอย่างที่คุณคิดแบบนั้น การที่ผมทำแบบนี้ล้วนไม่มีอะไรมากไปกว่าเพื่อบริษัทเป่หมิง เพื่อแย่งชิงบริษัทเป่หมิงกลับมา”
“ยี่เฟิง ก่อนหน้านี้พวกเราพูดกันแล้วไม่ใช่หรือ บนโต๊ะอาหารนี้ จะไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ใดๆที่เกี่ยวข้องกับงานใช่ไหม” กู้ฮอนวางมีดและส้อมในมือลง เอ่ยเตือนเขาด้วยความปรารถนาดี
เป่หมิงยี่เฟิงส่ายหน้า “ผมไม่ได้พูดเรื่องงานกับคุณ แต่เป็นเรื่องครอบครัว ในฐานะที่เป็นคนตระกูลเป่หมิง ไม่ว่าเรื่องใดๆที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเป่หมิงล้วนถือว่าเป็นเรื่องของครอบครัว”
“ในเมื่อเป็นเรื่องในครอบครัว อย่างนั้นคุณจะบอกฉันทำไม”
“เพราะว่าผมเห็นว่าคุณเป็นคนในครอบครัวของตัวเอง”