บทที่ 998 เรื่องภายในครอบครัว เรื่องคับแค้นใจ
“คนในครอบครัวหรือ” กู้ฮอนรู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง ถัดมาก็รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย “ฉัน ระหว่างฉันกับตระกูลเป่หมิงไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน แม้ว่าตอนนี้จะเป็นประธานบริษัทเป่หมิง แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องมีสักวันหนึ่งที่ฉันไปจากที่นี่”
เป่หมิงยี่เฟิงส่ายหน้า มองไปที่กู้ฮอน “ไม่ เธออบรมสั่งสอนเด็กทั้งสามคนของตระกูลเป่หมิง นี่ทำให้เธอไม่สามารถตัดความสัมพันธ์ใดๆกับตระกูลเป่หมิงได้แล้ว วันนี้ที่ผมเชิญคุณมาก็เพราะอยากพูดเรื่องในครอบครัวกับคุณ”
เขาพูดพลางรินไวน์แดงลงในแก้วของตัวเองจนเต็ม จากนั้นก็เงยหน้าดื่มรวดเดียว
“คุณผู้ชายครับ ต้องการให้ผมช่วยอะไรไหมครับ” ตอนนี้เองที่บริกรคนหนึ่งเดินมาอยู่ข้างเป่หมิงยี่เฟิง เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
ภายในร้านอาหารแห่งนี้ การที่จะเห็นคนที่ดื่มไวน์แดงรวดเดียวทั้งแก้วนั้นพบเห็นได้น้อยมาก
เป่หมิงยี่เฟิงโบกมือ “ขอบคุณครับ ผมไม่เป็นอะไร”
กู้ฮอนก็พูดกับบริกรว่า “ฉันสามารถจัดการเหตุการณ์ตรงนี้ได้ ถ้าหากว่าฉันต้องการความช่วยเหลือก็จะเรียกพวกคุณนะคะ”
เธอมองบริกรที่จากไปแล้ว และมองไปที่ชายหนุ่มตรงข้ามตัวเองที่นับวันยิ่งทำให้เธอมองไม่ออก “ยี่เฟิง คุณอยากพูดอะไรก็พูดเถอะ ฉันจะฟังก็ได้ เพียงแต่คุณต้องรับปากฉันเรื่องหนึ่ง เมื่อครู่นี้ถือเป็นแก้วสุดท้ายแล้วได้ไหม”
***
เป่หมิงยี่เฟิงมองกู้ฮอน และมองไวน์แดงครึ่งขวดที่ถูกแช่ในน้ำแข็งข้างมือของตัวเอง จากนั้นก็ยกมือเรียกบริกรให้เขามานำไวน์ไป
“OK ตอนนี้ปัญหาเรื่องไวน์แก้ไขเรียบร้อยแล้ว ผมขอบคุณคุณอย่างจริงใจที่สามารถนั่งฟังผมพูดได้” ใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้มอันคุ้นเคยขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่เป็นอะไร เพียงแต่เวลาของฉันมีจำกัด หวังว่าคุณจะสามารถพูดสั้นๆกระชับใจความนะ” ตอนนี้กู้ฮอนก็ไม่มั่นใจมากว่าตัวเองทำแบบนี้ถูกหรือผิด อาจจะเป็นเสี้ยววินาทีที่ความเห็นอกเห็นใจของตัวเองถูกเขาเอาชนะ
“ฮอน คุณน่าจะรู้ว่าผมกลับมาที่บริษัทเป่หมิงได้อย่างไร”
กู้ฮอนพยักหน้า “อืม เรื่องนี้ฉันยังถือว่าชัดเจนอยู่ เบื้องหลังคุณมีผู้สนับสนุน เพียงแต่ผู้สนับสนุนคนนี้ฉันไม่เห็นว่าจะมีแนวโน้มที่ดี”
เป่หมิงยี่เฟิงดูเหมือนว่าจะรู้สึกเหมือนกันในตอนนี้ “เป็นแบบนี้แหละ เพียงแต่ว่าผมไม่มีหนทางอื่นๆ เพื่อจะเอาหุ้นของคุณพ่อที่ถูกแย่งไปกลับคืนมา จนถึงขั้นนำทั้งบริษัทเป่หมิงกลับคืนมา”
“เอาล่ะ คุณอย่าพูดอีกเลย ฉันไม่อยากฟังคุณพล่ามถึงความยุติธรรม ฉันคิดว่าจุดเริ่มต้นของคุณนั้นมีปัญหามาก”
“มีปัญหาหรือ” เป่หมิงยี่เฟิงมองเธออย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ผิด มีปัญหา สถานการณ์ของคุณในตอนนี้เหมือนกับ คนที่มองไม่เห็นภาพด้านในว่าเป็นอย่างไร แม้ว่าในมุมของคุณอาจจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง แต่สำหรับฉันที่อยู่ในฐานะคนนอกนั้น คุณกับเป่หมิงโม่ทั้งสองคนล้วนทำผิด พวกคุณอยากจะสู้กันไปสู้กันมา แต่ไม่เคยคิดเลยว่าพวกคุณล้วนเป็นคนตระกูลเป่หมิง พวกคุณล้วนมีสายเลือดเดียวกัน”
กู้ฮอนพูด หงายมือออกไปข้างตัวเล็กน้อย “ทำไมจะต้องทำแบบนี้กัน ผลลัพธ์ของการสู้กันไปสู้กันมาก็คือให้ผู้อื่นได้เห็นเรื่องขบขัน แบบนี้คุ้มแล้วหรือ”
“ล้วนแซ่เป่หมิง……ถ้าหากว่าเข้าใจเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น เขาก็คงไม่แย่งส่วนที่เป็นของคุณพ่อผมไป ไม่ไล่พวกเราออกไปทั้งครอบครัว ตอนนี้ล่ะ เขาสบายแล้ว หลังจากที่ใช้อิทธิพลเล่ห์เหลี่ยมปิดบังผู้คนแล้ว ก็ให้คุณมาดำรงตำแหน่งประธานหุ้นเชิดนี้ ส่วนผมและคุณพ่อผมล่ะ ทำได้เพียงแค่อาศัยอำนาจของผู้อื่นในการกลับมา ต้องการนำสิ่งที่เป็นของพวกเราส่วนนั้นกลับมา หรือจะพูดว่า ทวงคืนสิ่งที่เป็นของพวกเราส่วนนั้นกลับคืนมาก็เป็นความผิดหรือ” เป่หมิงยี่เฟิงแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับความคิดของกู้ฮอน แน่นอนว่าเขาก็มีเหตุผลของเขา อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความคิดที่เขาปกป้องมานานหลายปี จะถูกกู้ฮอนเปลี่ยนแปลงง่ายๆได้อย่างไรกัน
กู้ออนก็ไม่ได้มีความคิดว่าอาศัยแค่ประโยคเดียวของตัวเองแล้วจะสามารถเปลี่ยนมุมมองของเขาได้ แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองจำเป็นจะต้องพูดมุมมองของตัวเองกับเขาให้ชัดเจน
เพราะเธอชัดเจนว่า บริษัทเป่หมิงนั้นอยู่ในช่วงล่อแหลมมาก บุคคลที่อยู่เบื้องหลังเป่หมิงยี่เฟิงและผู้อำนวยการโกวเป็นบุคคลคนเดียวกัน หลี่เชิน
อย่างไรเป้าหมายที่เขาต้องการต่อสู้ด้วยก็ไม่เคยเปลี่ยนไป นั่นก็คือเป่หมิงโม่
หลังจากที่ตัวเองได้รับรู้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกว่าการอาศัยความสามารถที่แท้จริงในตอนนี้นั้น ไม่มีวิธีที่จะต่อต้านพวกเขาได้อีก ไม่เพียงแต่เช่นนั้น แต่ละย่างก้าวของพวกเขาก็เดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ ยากที่จะรับประกันได้ว่าหลังจากจับเป่หมิงโม่เข้าคุกเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจะหันกลับมาทำอะไรกับบริษัทเป่หมิงหรือไม่
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ตัวเองควรจะทำอย่างไร จะเผชิญหน้ากับตระกูลเป่หมิงได้อย่างไร จะเผชิญหน้ากับเป่หมิงโม่ได้อย่างไร
แม้ว่าเธอจะสามารถหาข้ออ้างมาทำให้พวกเขาไม่สามารถโค่นล้ม แต่ว่าสุดท้ายแล้วความจริงก็ยังคงอยู่
“ยี่เฟิง ในเมื่อคุณก็มีตรรกะของคุณ ฉันก็ไม่อยากจะคัดค้านวิธีของคุณ เพียงแต่ฉันหวังว่าคุณจะสามารถเลือกที่จะ อยู่ห่างจากพวกถังเทียนจื๋อได้ มิเช่นนั้นผลลัพธ์ในตอนท้ายอาจจะเป็นสิ่งที่พวกเรา ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่อยากเผชิญหน้า”
***
กู้ฮอนพูดจบแล้วก็ดื่มน้ำผลไม้ที่วางอยู่ด้านข้างอึกหนึ่ง “ขอโทษด้วยจริงๆ เมื่อครู่ฉันสัญญาไว้ว่าจะไม่พูดคุยเรื่องงาน คิดไม่ถึงเลยว่าฉันจะเป็นคนแรกที่ผิดสัญญา ฉันเห็นว่าคุณไม่ค่อยได้ทานอะไร จะต้องหิวอยู่บ้างแน่นอน มีอะไรรอทานเสร็จแล้วค่อยพูดคุยเถอะ”
เป่หมิงยี่เฟิงเห็นว่าเธอไม่มีความสนใจที่จะพูดคุยต่อไปแล้ว ก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้า ยิ้มบางๆ และเริ่มลงมือทานอาหาร
ช่วงเวลาถัดมานั้น พวกเขาทั้งสองคนล้วนไม่มีใครพูดอะไรมากไปกว่านี้สักประโยคหนึ่ง แต่ในใจของพวกเขากลับดีดรางลูกคิดของตัวเอง
จนกระทั่งทานอาหารเสร็จแล้ว เป่หมิงยี่เฟิงก็ส่งกู้ฮอนกลับไปที่บริษัทเป่หมิง หน้าลิฟต์โดยสารที่ลานจอดรถใต้ดิน เป่หมิงยี่เฟิงยื่นมือกดปุ่มลิฟต์โดยสารตัวหนึ่งในนั้น
ผ่านไปชั่วครู่ หลังจากเสียงกังวานดังขึ้น ประตูลิฟต์โดยสารก็เปิดออก
เขาผายมือเป็นท่าทางเชื้อเชิญอย่างมีมารยาทให้กับกู้ฮอน
กู้ฮอนพยักหน้าให้กับเขาน้อยๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องลิฟต์โดยสาร
หลังจากที่เธอกดปุ่มหมายเลขชั้นห้องทำงานของตัวเองแล้ว ตอนที่ประตูลิฟต์โดยสารกำลังจะปิด ก็ถูกเป่หมิงยี่เฟิงบังคับให้หยุด
“รอก่อน ผมยังมีคำพูดที่อยากพูดกับคุณ” เป่หมิงยี่เฟิงมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านใน พูดเหมือนกับว่ารำลึกถึงเรื่องราวในอดีต “ฮอน ดูเหมือนว่าอาหารมื้อนี้ที่ได้ทานกับคุณ จะเป็นครั้งแรกระหว่างพวกเราที่ทานกันอย่างเป็นมิตรมากที่สุด นี่ทำให้ผมอดคิดถึงช่วงเวลาที่พวกเรายังอยู่ที่โรงเรียนไม่ได้ ตอนนั้นสามารถพูดได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ผมผ่านมาอย่างมีความสุขมากที่สุดแล้ว รอจนจากไปแล้ว ทั้งหมดก็ล้วนเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าหากว่าสามารถย้อนกลับไปในอดีตได้จริงๆ ผมอยากจะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แบบนี้จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ในตอนนี้”
คำพูดสั้นๆของเป่หมิงยี่เฟิงนี้ กลับกระตุ้นให้เกิดคลื่นกระเพื่อมเล็กน้อยในส่วนลึกของหัวใจกู้ฮอน แม้ว่าสิ่งเหล่าจะเป็นเรื่องในอดีตที่นานมากๆแล้วก็ตาม แต่ใครจะไม่มีเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมากันล่ะ”
“ช่วงเวลาในอดีตนั้น……ทำให้ฉันรู้สึกคิดถึงมากจริงๆ แต่ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องในอดีตก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว สิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับพวกเราก็คือต้องมองไปข้างหน้า มีเพียงแต่มองไปข้างหน้าเท่านั้นถึงจะให้ความหวังใหม่กับพวกเรา ยี่เฟิง ตื่นขึ้นจากความทรงจำในอดีตเถอะ ไม่ว่าคุณจะเลือกอะไร ขอให้คุณตื่นขึ้นมาได้ไหม”
กู้ฮอนพูด ยื่นมือไปดึงมือของเป่หมิงยี่เฟิงที่ขวางประตูลิฟต์โดยสารออกเบาๆ…..
ประตูลิฟต์โดยสารค่อยๆปิดลง กั้นระหว่างพวกเขาสองคน คนหนึ่งถูกพาขึ้นไปด้านบนสุด อีกคนหนึ่งกลับถูกทิ้งไว้ในความมืดมิดและหนาวเย็นเล็กน้อยอย่างลานจอดรถชั้นใต้ดิน
ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ สมองของเธอมีภาพเหตุการณ์ของพวกเขาในอดีตที่เป่หมิงยี่เฟิงพูดถึงฉายผ่านรวดเร็วอย่างอดไม่ได้ แต่ก็เหมือนกับแสงเจิดจ้าเป็นประกายของดอกไม้ไฟที่สามารถจะฉีกทำลายความมืดมิด แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนและไร้อำนาจอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้ก็รู้สึกว่าหน่วยตาของตัวเองค่อยๆชื้นเล็กน้อย เธอรีบหยิบกระดาษจากในกระเป๋าเล็กๆออกมาซับหางตาของตัวเองอย่างรวดเร็ว
*
หลังจากกลับมาถึงห้องทำงาน เธอก็ไม่ได้เริ่มทำงานในทันที แต่กลับโทรศัพท์ไปหาลั่วเฉียว นับตั้งแต่พวกเธอและโล่ฮานกลับบ้านไป ครึ่งวันมานี้ก็ไม่ได้โทรศัพท์มาสักสายหนึ่ง เธอจึงรู้สึกเป็นห่วงพวกเขาอยู่บ้าง
หลังจากผู้ชราทั้งสองพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้แล้ว จะรับไม่ได้ในช่วงเวลาหนึ่งหรือไม่
แน่นอนว่าอาจจะมีความเป็นไปได้อย่างมาก แม้ว่าจะเข้าใจในครอบครัวของพวกเขาไม่มาก แต่กลับสัมผัสได้จากคำพูดในเวลาปกติว่า เป็นครอบครัวที่มีประเพณีดั้งเดิมครอบครัวหนึ่ง
และครอบครัวที่เป็นแบบนี้นั้น ก็ไม่อนุญาตให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้
***
กู้ฮอนหยิบโทรศัพท์ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงของลั่วเฉียว หลังจากเสียงรอสายดังขึ้นสองสามครั้ง “ฮอน เธอนี่เอง”
“กลับบ้านไปมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง คุณพ่อคุณแม่ของเธอไม่ได้ทำให้เธอกับฉิงฮัวลำบากใจใช่ไหม” กู้ฮอนเอ่ยถาม
เธอเหมือนจะได้ยินเสียงดังหนวกหูเล็กน้อยจากสภาพแวดล้อมทางฝั่งลั่วเฉียวผ่านทางโทรศัพท์ ไม่เหมือนกับอยู่ที่บ้าน
“อืม…….ก็โอเคอยู่นะ แรกเริ่มมีเหตุการณ์เล็กน้อย เพียงแต่เมื่อลูกน้อยของพวกเราออกหน้า ทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้ว พวกเขาล้วนหันเหความสนใจจากฉันกับลุงฮัวไปที่เจ้าเด็กน้อยแล้ว ดูท่าการคลอดเจ้าตัวน้อยออกมาอย่างน้อยก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคาดว่าชั่วชีวิตนี้ของฉันอาจจะต้องหลบหนีไปข้างนอกแล้ว”
กู้ฮอนหัวเราะเบาๆ “เธอให้กำเนิดลูกน้อยก็เพื่อเป็นโล่ให้เธอใช้หรอกหรือ เขาเป็นผลแห่งการตกผลึกจากความรักของเธอกับฉิงฮัวนะ……”
“ฮอน เธอคร่ำครึเกินไปแล้วนะ จะว่าไป เจ้าเด็กนี่อย่างมากก็เป็นแค่ผลการตกผลึกของความรัก ตอนนั้นยังไม่มีความรู้สึกอะไรนะ…..” “แค่กๆ…..”
ลั่วเฉียวเพิ่งจะพูดถึงตรงนี้ ก็ได้ยินเสียงกระแอมไอของคนคนหนึ่งดังมาจากอีกฟากของโทรศัพท์เธอ ฟังออกว่า คนคนนั้นจะต้องเป็นฉิงฮัวอย่างแน่นอน คาดว่าหลังจากที่เขาได้ยินประโยคเมื่อครู่นี้ จะต้องน้ำตาไหลพรากอย่างแน่นอน
“เอ่อ……แน่นอนล่ะ ตอนนี้ความรู้สึกของฉันกับเขานั้นไม่ธรรมดา จนทำให้ผู้คนเกิดความอิจฉาริษยาและเกลียดชัง เอาเถอะ คุยกันถึงตรงนี้ก็แล้วกัน ตอนนี้พวกเราทานข้าวกันอยู่ข้างนอก มีเรื่องอะไรรอฉันกลับไปเล่าให้เธอฟังแล้วกันนะ” เธอเอ่ยจบก็วางสายโทรศัพท์ไป
“ปีศาจตัวน้อย…….” กู้ฮอนหัวเราะ แม้ว่าเธอจะวางสายโทรศัพท์ไปแล้ว แต่ก็ยังคงด่าเล่นๆใส่ฝั่งนั้นไปประโยคหนึ่ง
ตอนนี้ดูท่า เรื่องของลั่วเฉียวน่าจะสามารถทำให้เธอวางใจได้แล้วจริงๆ
ความรู้สึกที่ได้กลับบ้านนั้นดีจริงๆ
ในตอนนี้ กู้ฮอนก็เริ่มอิจฉาลั่วเฉียวแล้ว เธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากคนหนึ่งจริงๆ แม้ว่าจะทำตัวไม่น่าเชื่อเท่าไร แต่การทำตัวไม่น่าเชื่อถือของเธอ ทำให้เธอได้พบกับผู้ชายที่สามารถจะเป็นคนที่เดินเป็นเพื่อนเธอไปชั่วชีวิต
หลังจากที่มีลูกแล้ว ก็ช่วยเธอแก้ไขปัญหาเรื่องที่มีบ้านแต่ไม่อาจกลับได้ มีคุณพ่อคุณแม่แต่ไม่กล้าพบก็เป็นความลำบากใจอย่างหนึ่ง ให้เธอกลับไปสู่บ้านที่อบอุ่นอีกครั้ง อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับคุณพ่อคุณแม่ที่รักและทะนุถนอมเธอมากที่สุด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจกู้ฮอนก็หนักอึ้งขึ้นมา สิ่งที่ตัวเองมีทั้งหมด ตอนนี้เหลือเพียงแค่ลูกๆทั้งสามคนแล้ว แต่ว่าสิ่งอื่นๆล้วนไม่มีแล้ว
เดิมตัวเองสามารถสัมผัสถึงความสุขและความอบอุ่นอยู่ในอ้อมกอดคุณแม่ แต่ว่าหลังจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่มีหนทางที่จะเป็นจริงได้อีกแล้ว
เพียงแต่ว่าโชคดีที่ตัวเองเคยสัมผัสความสุขเหมือนกับลั่วเฉียวในตอนนี้มาแล้ว มีคุณแม่อยู่ด้วย มีลูกๆทั้งสามคนอยู่ด้วย และยังมี……