บทที่ 1024 แผนการชุดที่สอง
“ท่านผู้พิพากษาครับ ผมฟังมาถึงตรงนี้ ต้องขอนับถือทนายฝ่ายจำเลยเป็นอย่างสูง ที่สามารถเอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยทั้งสองเรื่องมารวมเป็นเรื่องเดียวกันได้ ดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของคุณช่ายคนนี้ จะสามารถเปิดเผยความชอบส่วนตัวของผู้อำนวยการโกวได้ แต่ว่า โปรดสังเกตที่ผมพูดคือ แต่ว่า ถึงแม้ผู้อำนวยการโกวจะมีความชอบแบบนี้ แต่ว่าก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่ามันมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับคดีนี้นี่ครับ”
“คุณทนายฝ่ายตรงข้ามที่พูดแบบนี้นี่มันเถียงข้าง ๆ คู ๆ ชัด ๆ การที่คุณช่ายมาพูดให้การเป็นพยานก็สามารถยืนยันได้แล้วว่า ก่อนหน้านี้ที่พยานของผมคุณกู้ได้พูดไว้ทั้งหมดนั้นเป็นความจริง ไม่ใช่ความเท็จแม้แต่นิดเดียว” หยินปู้ฝันโกรธจนหน้าก็จะเขียวอยู่แล้ว
เขาสู้คดีมาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นใครเถียงข้าง ๆ คู ๆ แบบนี้มาก่อน ขนาดความจริงได้กระจ่างต่อหน้าแล้ว ยังคิดหาวิธีมาเถียงข้าง ๆ คู ๆ อีก
ทนายฝ่ายโจทก์หันหน้ามาใบหน้ายิ้มแย้มมองไปที่หยินปู้ฝัน “นี่ผมไม่ได้เถียงข้าง ๆ คู ๆ นะครับ แต่คือการตั้งคำถามอย่างสมเหตุสมผลต่างหาก ในโลกใบนี้มีเรื่องบังเอิญอยู่มากมาย หรือจะบอกว่าเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นเหล่านี้ก็จะต้องมาเกี่ยวข้องกันหมดเหรอ? แล้วอีกอย่างที่คุณช่ายคนนี้พูดมาทั้งหมดนั้น จะต้องเป็นความจริงทั้งหมดเหรอ? และที่สำคัญที่คุณกู้พยานของคุณพูดมาทั้งหมดนั้น ผู้พิพากษาได้คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจำเลย คำให้การของเธอจึงไม่เป็นผล ในเมื่อนอกจากคำให้การของเธอแล้ว ก็ไม่มีของใครอื่นอีก สำหรับหลักฐานนั้น ก็ยิ่งไม่มีทางหามาได้อยู่แล้ว พูดกลับกันอีกด้าน ลูกความของผมผู้อำนวยการโกวนั้น บนตัวกลับยังเหลือร่องรอยบาดแผลเป็นหลักฐานที่โดนจำเลยทำร้ายอยู่ และที่สำคัญที่โรงพยาบาลก็ยังมีเหมือนกัน”
คำพูดประโยคนี้นั้นถือได้ว่าเป็นโยนหินหนึ่งก้อนทำให้เกิดคลื่นได้เป็นพันคลื่นเลย
ก่อนอื่นมันทำให้ช่ายซินซินโกรธขึ้นมา เธอนั้นเป็นผู้หญิงที่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟมากคนหนึ่ง ถึงแม้ในสายตาคนอื่นจะไม่ได้มีความสำคัญและเป็น ‘ผู้หญิงที่ดี’มาแต่ตั้งเดิมคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่ไม่ว่าจะเวลาไหนก็พูดเรื่องปลอมวิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อย
เธอยกมือขึ้นมาแล้วชี้ไปที่ทนายฝ่ายโจทก์ “คุณมีสิทธิ์อะไรมาพูดว่าสิ่งที่ฉันพูดไปไม่ใช่ความจริง? ฉันจะบอกอะไรคุณให้นะ เมื่อก่อนฉันยังเคยเป็นคนที่ทั้งหัวใจคอยปกป้องผู้ชายหลายใจคนนี้เลย แต่ว่า นอกจากเขาจะหลายใจแล้วยังใจไม้ไส้ระกำอีกด้วย เขาถึงขนาดสั่งคนมาทำร้ายฉันอีกด้วย”
พูดแล้ว เธอก็เอาผมที่บดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งไว้ตลอดเปิดออก “ดูซิผู้ชายคนนี้ทำอะไรกับฉันลงไว้บ้าง!” พูดแล้ว ในดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยประกายระยิบระยับ
คนที่อยู่ในนี้ พอเห็นหน้าอีกครึ่งหนึ่งของเธอแล้ว ก็อดไม่ได้จะต้องสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง
หยินปู้ฝันกับกู้ฮอนเป็นคนที่เคยเห็นโฉมหน้าของเธอมาก่อนแล้ว ถึงแม้จะถือไม่ได้ว่างามจนเมืองล่มประเทศล่มก็ตาม แต่ว่าถ้าเอาไปทิ้งไว้ในฝูงชน ก็ยังสามารถทำให้ผู้คนเหลียวมองได้ไม่น้อย
และก็คือโฉมหน้าที่ค่อนข้างดีแบบนี้ คิดไม่ถึง แค่ไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่วัน ใบหน้าครึ่งหนึ่งกลับปรากฏบาดแผลสองรอยที่ทำให้คนรู้สึกใจกระตุกขึ้นมาแบบนี้แล้ว
โดยเฉพาะมีอยู่แผลหนึ่งยาวจากใบหน้าของเธอไปจนถึงคอเลย ถ้าหากคนคนนั้นโหดเหี้ยมอีกหน่อยหนึ่งแล้วละก็ ก็คงจะเอาชีวิตเธอไปแล้วแน่นอน
“ทุกคนเห็นแล้วใช่ไหม นี่ก็คือคนที่เรียกกันว่าผู้อำนวยการโกวคนนั้น ที่กำลังนั่งอยู่ที่แท่นโจทก์ในตอนนี้เป็นคนทำมันขึ้นมา! พูดอย่างไม่ปิดบังพวกคุณเลย ตั้งแต่ตอนที่คุณทนายหยินท่านนี้และคุณกู้มาหาฉัน แล้วก็ขอร้องอ้อนวอนฉันให้ไปช่วยเป็นพยานของพวกเขาเพื่อชี้ตัวเขานั้น ตอนนั้นฉันยังลังเลในใจ และได้ปฏิเสธพวกเขาไป ด้วยเหตุนี้ฉันยังบอกให้เขาเตรียมตัวเป็นไว้พิเศษด้วย แต่ผลปรากฏว่า……โชคยังดีที่ฉันแสดงละครได้ดี ถึงหลอกตาคนที่เขาส่งมาทำร้ายฉันได้สำเร็จ ตั้งแต่เรื่องนี้เกิดขึ้นมา ฉันก็ถือได้ว่ามองผู้ชายคนนี้ชัดเจนแล้ว”
ช่ายซินซินร้องเรียนออกมาด้วยเลือดและน้ำตา ทำให้ผู้อำนวยการโกวที่นั่งอยู่ที่แท่นโจทก์ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วจริง ๆ เรื่องน่าอับอายที่เห็นแสงไม่ได้เหล่านี้โดนขุดออกมาอย่างไร้เยื่อใย เมื่อเทียบกับความขายหน้าแล้ว สิ่งที่ทำให้เขากลัวมากขึ้นคือ กระดาษห่อไฟไม่อยู่แล้ว มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ยังไม่ทันได้ตัดสินโทษเป่หมิงโม่อย่างเด็ดขาดเลย ตัวเองก็คงต้องรับโทษก่อนซะแล้ว
***
การร้องเรียนของช่ายซินซินทำให้คนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดต้องตกตะลึงขึ้นอีกครั้งแล้วจริง ๆ
จ้างวานฆ่าคนเพื่อปิดปากนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วจริง ๆ โทษนี้หนักหน่วงยิ่งกว่าโทษที่เป่หมิงโม่ทำไว้มากมายจริง ๆ
เป่หมิงโม่ถึงจะโดนตัดสินโทษแล้ว ก็คงอยู่ข้างในไม่กี่ปีก็ออกมาได้แล้ว และที่สำคัญยังสามารถตั้งตัวขึ้นมาใหม่ได้อีก
แต่ผู้อำนวยการโกวท่านนี้กลับไม่เหมือนกัน เพราะว่าเรื่องนี้ถ้าพัวพันเข้าไปแล้ว ความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งที่เขาทุ่มเทด้วยแรงกายแรงใจไปส่วนใหญ่เพื่อที่จะไขว่คว้ามาก็ต้องมาสิ้นสุดลงเท่านี้แล้ว นอกเหนือจากนั้นยังจะโดนตีจนไม่มีทางได้ฟื้นคืนชีพอีกต่อไปแน่
ในเวลานี้ผู้อำนวยการโกวได้สูญเสียความสามารถทุกอย่างที่จะมาช่วยตัวเองแก้ต่างต่อไปแล้ว และถึงแม้จะเป็นทนายที่เป็นตัวแทนของเขาก็ยังขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา
ตอนแรกเป็นการต่อสู้คดีที่สู้จนมีแสงสว่างขึ้นมาแล้ว แต่ตอนนี้กลับโดนคลุกเคล้ากันจนเละเทะไปหมด
นี่ยังไม่ว่า ยังไม่ได้ทำอะไรเป่หมิงโม่เลย ฝ่ายตัวเองก็มีคนหนึ่งกำลังจะเข้าสู่อันตรายในโทษฐานจ้างวานฆ่าซะแล้ว
ต่อไปคดีนี้ควรจะสู้ยังไงต่อไปดีล่ะ……
ยังไม่พูด ทนายคนนี้ยังถือเป็น‘คนที่ช่ำชองในยุทธภพ’แห่งโลกกฎหมายมานานหลายปี หลังจากที่ครุ่นคิดสั้น ๆ ไปแล้ว เขาก็เปิดปากพูดขึ้นอีกว่า “ขอให้ทุกท่านสงบสติสักครู่ โดยเฉพาะคุณช่ายท่านนี้ ผมนั้น ในฐานะของทนายฝ่ายโจทก์ อยากจะขอเตือนทุกท่านที่นี่สักนิดว่า ที่ขึ้นศาลกันวันนี้ใจความสำคัญก็คือเพื่อพิจารณาคดีที่จำเลยทำร้ายคนและฝ่าด่านตรวจบุกรุกเข้าไปในเขตพื้นที่ทำงานของราชการ ขอให้ทุกท่านเอาความสนใจกลับมาอยู่ที่ปัญหานี้ด้วยครับ”
หยินปู้ฝันที่พอคว้าโอกาสรอดเส้นเดียวได้นั้น ก็ไม่มีทางฟังคำพูดชุดนี้ของทนายฝ่ายโจทก์แน่นอน เขามองไปที่ผู้พิพากษาอย่างจริงจัง “ท่านผู้พิพากษาที่เคารพครับ ถึงแม้คำให้การทั้งชุดเมื่อกี้ของพยานจะไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ แต่ว่าผมกลับเห็นว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากเลยครับ ที่พยานเสี่ยงเกือบเอาชีวิตไม่รอด สาเหตุก็เพราะว่ามาจากคดีนี้ไม่ใช่เหรอ และแน่นอน ลองคิดสมมุติดูนะครับว่าถ้าหากตอนแรกพวกเราไม่ไปหาเธอแล้วละก็ เธอก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ความผิดพลาดใหญ่หลวงที่โจทก์ทำอย่างหนึ่งก็คือ เขารีบร้อนปิดบังไม่ว่าจะคนหรือสิ่งของอะไรที่จะสามารถมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้เร็วเกินไป ก็เหมือนอย่างที่ทนายฝ่ายตรงข้ามพูดไว้ บนโลกใบนี้นั้นมีเรื่องบังเอิญมากมายเกินไปแล้ว ที่จริงตอนแรกผมก็ไม่มีความมั่นใจว่า จากเรื่องนี้จะสามารถทำให้ตามหาช่องโหว่ของโจทก์ได้ แต่ว่าเขาค่อนข้างเคร่งเครียดกับเรื่องนี้มากเกินไป ก็เลยกลับทำให้ผลักตัวเองมาอยู่ตรงหน้าเรา ตอนนี้เรื่องที่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นความจริงก็คือ ในคืนที่เกิดเรื่องขึ้นฝ่ายโจทก์ได้หวังที่จะเดินหน้ากระทำชำเราพยานของผมคุณกู้จริง ๆ”
คราวนี้ ทนายฝ่ายโจทก์ก็ได้ยกมือขึ้นมาพูดเหมือนกัน “ท่านผู้พิพากษาที่เคารพครับ ผมมีความเห็นที่แตกต่างครับ ถึงแม้ตอนนี้จะมีเหตุผลหลายอย่างที่ชี้ไปที่ลูกความของผมผู้อำนวยการโกว ในที่นี่ผมก็พูดอะไรมากไม่ได้ คนทุกคนก็ต้องได้รับผลตามความผิดที่ตัวเองได้กระทำไว้ทั้งนั้น”
พอคำพูดนี้พูดออกไป ก็ทำให้ผู้อำนวยการโกวที่แทบจะไม่มีแรงปัดป้องแล้วต้องล้มลงไปกับพื้นแรง ๆ อีกครั้ง
เขารู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อแล้วจริง ๆ ทนายที่ช่วยแก้ต่างให้ตัวเองจะสามารถพูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้
เขายื่นมือไปอยากจะดึงทนายมาอยู่ข้างกายตัวเองแล้วถามว่าตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน แต่ว่าก็กลับคลาดเคลื่อนไปได้อย่างสวยงามเลย
ทนายฝ่ายโจทก์ยังคงพูดต่อไป “แต่ว่า ความผิดที่จำเลยทำร้ายคนอื่นและฝ่าด่านบุกรุกเข้าไปในเขตพื้นที่ราชการก็ยังไม่อาจลบล้างไปได้ นี่ก็อย่างที่ว่าไว้เรื่องหนึ่งส่วนเรื่องหนึ่ง ถึงแม้จะสามารถมีคำแก้ตัวได้เป็นหมื่นเป็นพันอย่าง แต่ว่าผิดไปแล้วก็คือผิดไปแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่อนุญาตให้แก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ไปได้”
ที่เขาต้องพูดมาแบบนี้ ที่จริงแล้วก็เพราะว่าได้รับ‘คำชี้แนะ’มาถึงได้ทำออกไปแบบนี้ ตอนแรกเขาได้รับทราบมาว่า เรื่องคดีของเป่หมิงโม่นี้ ฝ่ายตรงข้ามจะต้องคิดทุกวิถีทางเพื่อหาช่องโหว่มาให้ได้แน่
สมมุติว่าถ้าช่องโหว่ถูกพวกเขาหาเจอเข้าแล้วจริง ๆ งั้นก็ต้องเลือกใช้แผนการชุดที่สองแล้ว
***
ก่อนที่ทนายฝ่ายโจทก์จะมาขึ้นศาลนั้น ในสถานการณ์ที่ผู้อำนวยการโกวไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เขาก็ได้รับคำชี้แนะมาว่า ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วจริง ๆ สามารถเลือกใช้แผนการชุดที่สองได้
เป้าหมายหลักของแผนการชุดนี้ก็คือ‘สละรถเพื่อรักษาแม่ทัพ’ ต้องคิดทุกวิถีทางเพื่อให้เป่หมิงโม่ได้รับโทษให้ได้
ตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีแผนการแบบนี้ชุดหนึ่งด้วย ข้าราชการแบบผู้อำนวยการโกวนี้ ต้องโดนขจัดทิ้งแบบนี้เลยเหรอ? การให้เป่หมิงโม่รับโทษเป็นเรื่องที่สำคัญขนาดนี้จริง ๆ เหรอ?
ถึงแม้จะมีข้อสงสัยอยู่มากมาย แต่ว่าก็เขาก็ถามกลับไม่ได้ ได้แต่เพียงทำตามคำชี้แนะเท่านั้น
ผู้อำนวยการโกวโดนกระทำจนเป็นอย่างในตอนนี้ ที่ด้านหนึ่งนั้นไล่ล่าสกัดกั้นตัวเอง ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นกลับสละตัวเองทิ้งอย่างไร้เยื่อใย เขาในตอนนี้เหมือนกับคนใบ้กินอึ่งโน้ยจริง ๆ ที่ถึงแม้จะขมมากแค่ไหนแต่ก็พูดออกมาไม่ได้
การกระทำของฝ่ายโจทก์อย่างนี้ ในขณะเดียวกันก็ทำให้ฝ่ายจำเลยทั้งสามคนรู้สึกคาดไม่ถึงเหมือนกัน
หยินปู้ฝันที่ฉลาดหลักแหลมเข้าใจความต้องการของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว และนั่นก็คือต้องการต่อต้านเป่หมิงโม่เท่านั้น
“ท่านผู้พิพากษาครับ กฎหมายไม่ดูดายน้ำใจของมนุษย์ แน่นอน ‘น้ำใจของมนุษย์’ที่ผมพูดถึงในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าผมอยากจะขอให้ท่านเมตตาหรือว่าเป็นอย่างอื่น แต่ว่าเป็นจิตใจที่เมตตากรุณาดวงหนึ่ง เป้าหมายของการก่อตั้งกฎหมายขึ้นมาก็เพราะว่าอยากจะให้คนทุกคนเป็นคนดี ห่างไกลจากความชั่วร้าย และสำหรับคดีนี้ ที่จำเลยคุณเป่หมิงโม่ได้กระทำความผิดไปนั้นก็เพราะว่า เพื่อหยุดยั้งไม่ให้ความชั่วร้ายได้เกิดขึ้น ผมขอร้องขออย่างจริงใจจากตรงนี้ว่า ขอให้ท่านผู้พิพากษาได้โปรดตัดสินให้ลูกความของผมคุณเป่หมิงโม่พ้นผิดด้วยครับ”
“นี่มัน……” ตอนนี้ยุ่งเหยิงจนทำให้ผู้พิพากษาหลิวเริ่มมึนงงขึ้นมาบ้างแล้ว นี่ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ คดีที่ตอนแรกดูไปแล้วค่อนข้างง่าย แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้ยุ่งเหยิงจนดูเหมือนกับละครแนวสืบสวนสอบสวนที่ลึกลับซับซ้อนแยกแยะไม่ออกไปได้ละ
โดยเฉพาะฝ่ายโจทก์ ตกลงจะมาเดินทางไหนกันแน่ คดีสู้มาจนเกือบครึ่ง ตอนเริ่มแรกยังปกป้องผู้อำนวยการโกวครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่พอหลังจากที่มีพยานที่ชื่อช่ายซินซินปรากฏตัวมาแล้วนั้น จุดยืนก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ในตอนที่สถานการณ์ดูไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองแล้วนั้น กลับทอดทิ้งผู้อำนวยการโกวไปอย่างไม่เสียดายเลยสักนิด
และแน่นอน นี่ก็ไม่กระทบต่อการพิจารณาคดีทั้งหมด ในเมื่อพูดอย่างจริงจังแล้วฝ่ายโจทก์นั้นมีอยู่สองฝ่าย คนหนึ่งคือผู้อำนวยการโกวที่โดนเป่หมิงโม่ทำร้ายจนบาดเจ็บ ส่วนอีกฝ่ายนั้นกลับไม่ใช่คนที่มีชีวิต แต่เป็นฝ่ายราชการ
“ท่านผู้พิพากษาครับ ถึงแม้กฎหมายจะไม่ดูดายน้ำใจมนุษย์ แต่ว่าก็ต้องกำหนดดูตามสถานการณ์ด้วย นี่มันไม่มีทางไม่มีขีดจำกัดไม่ได้ ก็อย่างเช่นคนคนหนึ่งหวังอยากจะช่วยอีกคนคนหนึ่งแต่กลับชนอีกคนคนหนึ่งตาย หรือว่าต้องเอาตามหลักการของทนายอีกฝ่าย ไม่ต้องติดตามผู้กระทำผิดมารับผิดชอบตามกฎหมายเหรอครับ? ไม่รู้สึกว่านี่เป็นหลักการที่ไร้สาระเอามาก ๆ เลยเหรอ เขาก็ทำลายสิทธิ์ของคนที่โดนชนตายคนนั้นเหมือนกัน ก็ต้องรับผิดตามหน้าที่ อย่างในคดีนี้ก็เป็นหลักการเดียวกัน ถึงแม้จำเลยจะตั้งใจอยากจะช่วยคน แต่ว่าในเวลาเดียวกันก็ได้ทำลายสิทธิ์ของราชการและขีดจำกัด แล้วลองคิดดู ถ้าหากโดนปล่อยตัวไปแบบพ้นผิด และถ้าเรื่องถูกแพร่ออกไป ก็อาจจะแพร่ข่าวคราวแบบนี้ไปสู่ผู้คนมากมายได้ พูดในทางผลกระทบหนักแล้ว : ขอแค่ตัวเองมีเหตุผลมากพอ ก็จะสามารถฝ่าฝืนเข้าไปในสถานที่ราชการได้อย่างไม่มีข้อแม้ แล้วพูดในทางที่ผลกระทบน้อยแล้ว : ขอแค่ตัวเองมีเหตุผลมากพอ ก็จะสามารถฝ่าฝืนเข้าไปในบ้านคนอื่นได้อย่างไม่มีข้อแม้…… ถ้าหากเป็นแบบนี้แล้ว สังคมนี้ก็จะกลายเป็นสังคมที่น่ากลัวมากยิ่งขึ้นไปอีกนะซิครับ”
ทนายฝ่ายโจทก์พูดไปแล้ว ก็เริ่มคำพูดจริงใจของตัวเองออกมา “กฎหมายนั้นมีด้านที่มีน้ำใจของมันอยู่ด้านหนึ่ง และก็มีด้านที่ไร้น้ำใจของมันอยู่ด้วยเช่นกัน ความไร้น้ำใจของกฎหมายอยู่ที่มันไม่ต้องคำนึงถึงปัจจัยมากมายของเรื่อง ขอแค่ให้มองที่ถึงบทสรุป และขอแค่บทสรุปของมันอันนี้สามารถสั่งสอนผู้คนส่วนใหญ่ได้ก็พอ อย่างนี้การตัดสินโทษก็ถือว่าได้ผลแล้ว”
***
หลังจากที่ทนายฝ่ายโจทก์กล่าวคำของตัวเองจบแล้ว ก็ถอนหายใจยาว ๆ ไปทีหนึ่ง “คำพูดของผมพูดจบแล้ว ขอเชิญท่านผู้พิพากษาตัดสินคดีได้แล้วครับ ผมหวังเพียงแค่ว่าคดีนี้จะกลายเป็นหลักกิโลเมตรอันหนึ่ง ที่สามารถทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ว่า ไม่ใช่บอกว่ากระทำผิดเพราะความหวังดี ก็คือความไม่ผิด ซึ่งมันก็จะต้องได้รับการลงโทษเฉกเช่นเดียวกัน ของคุณครับ”
พูดจบ เขาก็กลับไปนั่งที่ที่นั่งของตัวเองอย่างสบายใจ