บทที่ 993 คำพูดที่ให้แง่คิดของคุณแม่
เพื่อที่จะให้การโต้เถียงระหว่างพี่ชายน้องสาวคู่นี้สงบลง กู้ฮอนจึงต้องก้าวออกมารับหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยอย่างเสียมิได้
สำหรับทั้งสามคนที่อยู่ในอาการโมโห และหาทางให้ตัวเองลงไม่ได้นั้น ถือว่าเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ดีจริงๆ
เรื่องนี้แน่นอนว่าต้องยืนอยู่ฝ่ายโล่ฮาน แม้ว่าเธอจะไปมาหาสู่กับเขาไม่บ่อยเท่าไร แต่การได้พูดคุยกันสั้นๆหลายครั้งก็สามารถสัมผัสได้ว่าโล่ฮานเป็นคนที่ตรงไปตรงมามาก
กู้ฮอนเดินมาถึงเบื้องหน้าลั่วเฉียวและฉิงฮัว ยื่นมือออกไปจับมือของลั่วเฉียวขึ้นมาเบาๆ “ลั่วเฉียว เธอใจเย็นๆก่อน ตอนนี้เธออยู่ในช่วงพักฟื้นหลังคลอดไม่สามารถมีอารมณ์โกรธได้นะ”
เธอพูดพลางมองไปทางฉิงฮัว “ฉันรู้ว่าพวกคุณสองคนไม่ได้อยากจะปิดบังผู้ใหญ่ เพียงแต่เพราะว่าพวกคุณมีความลำบากใจของพวกคุณ แต่ว่านี่ไม่สามารถเอามาเป็นเหตุผลได้ ถ้าหากว่าพวกคุณยังไม่ได้เป็นพ่อแม่คน จึงไม่เคยประสบถึงความห่วงหาอาทรที่มีต่อลูกชายและลูกสาวแบบนั้น แต่ว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะพวกคุณมีลูกของตัวเองแล้ว ลองคิดสักหน่อยว่า ถ้าหากว่าหลังจากที่เขาโตแล้วก็ทำเหมือนกับพวกคุณ ไม่ว่าจะแต่งงานหรือคลอดลูกล้วนแอบปิดบังพวกคุณไว้เงียบๆ พวกคุณจะคิดอย่างไรกัน จะโกรธหรือไม่ หรือว่าเจ็บปวดใจในตอนที่เผชิญหน้ากับเรื่องใหญ่ในชีวิต ลูกที่ตัวเองเลี้ยงมาจนโตกลับไม่แบ่งปันกับตัวเอง ส่วนตัวเองกลับทุ่มเทกำลังและจิตใจให้กับลูกทั้งหมด……..”
คำพูดของกู้ฮอนนั้นกระทบเข้ากับส่วนลึกที่อ่อนแอที่สุดในหัวใจของฉิงฮัวและลั่วเฉียวอย่างเงียบงัน
โทสะที่พุ่งขึ้นมาของฉิงฮัวนั้นดับลงไปแล้ว ลั่วเฉียวก็ก้มศีรษะเหมือนกับเด็กน้อยที่ทำผิดคนหนึ่ง บางครั้งก็ยื่นมือไปปาดน้ำตาที่รินไหลด้วย
กู้ฮอนเห็นว่าบรรลุผลลัพธ์แล้ว เธอก็ตบไหล่ของพวกเขาสองคนเบาๆ “บางครั้งตอนที่พวกเราเผชิญหน้ากับปัญหา จำเป็นจะต้องเปลี่ยนตำแหน่งในการครุ่นคิด หลังจากที่ผ่านการครุ่นคิดไปแล้วก็จะค้นพบเส้นทางที่เหมาะสมกับตัวเองเส้นหนึ่ง
ถัดมา เธอก็หมุนตัวเดินไปด้านหน้าโล่ฮาน
คำพูดเมื่อครู่นี้ของเธอ แม้ว่าจะพูดกับลั่วเฉียวพวกเขาสองคน แต่ว่าโล่ฮานที่ได้ยินก็เกิดความรู้สึกสะเทือนใจ คิดย้อนกลับมาที่ตัวเอง ก็ทำให้พ่อแม่เป็นกังวลต่อตัวเองไม่น้อยเลยไม่ใช่หรือ
“คุณโล่ ฉันคิดว่าทางพวกลั่วเฉียวเขารู้แล้วว่าผิด ส่วนที่ว่าควรจะทำอย่างไรนั้น ในใจของพวกเขาก็มีแผนอยู่แล้ว ตอนนี้ฉันอยากจะพูดกับคุณสักเล็กน้อย แม้ว่าพวกเขาจะมีส่วนที่ทำไม่ถูก แต่ว่าคำพูดที่คุณเลือกใช้เมื่อครู่นี้ แม้ว่าฉันจะเป็นคนนอกคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันเห็นด้วยกับคุณ ทำไมคุณถึงมองว่าฉิงฮัวเป็นคนนอกล่ะคะ ในเมื่อเขากับลั่วเฉียวกลายเป็นสามีภรรยากันแล้ว หลังจากนี้ก็กลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายนะคะ”
ถึงอย่างไรโล่ฮานก็เป็นคนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี หลังจากที่เขาได้ฟังคำพูดของกู้ฮอนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจ ชั่วขณะที่ความโกรธลดลงครึ่งหนึ่ง “คุณกู้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ ในจุดนี้ผมกำลังโมโหถึงได้พูดเกินไปอยู่บ้าง”
ได้ยินโล่ฮานยอมอ่อนข้อ วิกฤตที่อยู่ตรงหน้าก็ถูกแก้ไขไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เธอยิ้มบางๆ “เหมือนกับเด็กอย่างเฉิงเฉิงและหยางหยางที่โตขนาดนี้ เมื่อทำเรื่องอะไรผิดล้วนยอมรับผิด พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ก็ต้องแสดงเป็นตัวอย่างให้พวกเขาดูสักหน่อยใช่ไหมคะ ล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่มีใครไม่พอใจในการกระทำของคุณจริงๆหรอกค่ะ”
ความหมายแฝงใต้คำพูดนี้ก็คือให้โล่ฮานเอ่ยปากขอโทษฉิงฮัว เพียงแค่คำขอโทษคำเดียว ความอึมครึมที่ปกคลุมไปทั่วก็จะสลายไป
แน่นอนว่าโล่ฮานก็เข้าใจความหมายของกู้ฮอน แต่ประโยคขอโทษแบบนี้จะพูดสามารถพูดออกมาได้อย่างง่ายดายที่ไหนกัน
***
ตอนนี้ดวงตา 6 ข้างของคนสามคนล้วนจับจ้องอยู่ที่โล่ฮาน โดยเฉพาะลั่วเฉียว ที่จริงแล้วเธอไม่อยากจะถกเถียงเรื่องใครยอมใครเลยจริงๆ เพียงแต่ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นคนของฉิงฮัวแล้ว มีคำที่กล่าวเอาไว้ว่า ‘แต่งกับไก่เดินตามไก่ แต่งกับสุนัขก็เดินตามสุนัข’ ตอนนี้มาพูดว่าสามีของตัวเองเป็นคนนอกนั้นไม่ได้
ฉิงฮัวก็เช่นกัน แม้ว่าถ้าพูดกันตามเหตุผลแล้วปัญหานี้เขาไม่มีอะไรต้องสนใจ แต่ว่าความรู้สึกที่ถูกมองเป็นคนนอกนั้นทำให้ในใจเกิดความรู้สึกบรรยายออกมาไม่ได้อยู่บ้างเล็กน้อย
“ลั่วเฉียว ฉิงฮัว……” หลังจากที่โล่ฮานผ่านการต่อสู้ผ่านในจิตใจมาเล็กน้อย ในที่สุดก็วางศักดิ์ศรีของตัวเองลง มองไปที่พวกเขา พลางเอ่ยว่า “พี่ขอโทษพวกเธอสำหรับประโยคที่พี่พูดไปเมื่อครู่นี้ด้วย โดยเฉพาะฉิงฮัว ให้อภัยต่อคำพูดที่ผมพูดทำร้ายคุณก่อนหน้านี้ด้วย คำพูดเหล่านั้นล้วนเป็นคำพูดที่พูดเพราะอารมณ์ โปรดอย่าเอามาใส่ใจ”
เมื่อคำขอโทษถูกกล่าวออกมา กู้ฮอนก็วางใจได้เสียที
แม้ว่าความขัดแย้งระหว่างคนกับคนจะรุนแรงได้ง่ายมาก เรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่งก็สามารถทะเลาะกันได้ แน่นอนว่าการคลี่คลายความขัดแย้งนั้นก็ทั้งง่ายและไม่ง่ายเช่นกัน
ที่พูดว่าง่ายก็เพราะว่า ขอเพียงแค่ทั้งสองฝ่ายสามารถใจเย็นได้ในทันที และยอมรับความผิดของตัวเองในเวลาเดียวกัน ก็จะสามารถให้อภัยฝ่ายตรงข้ามได้
ส่วนที่บอกว่าไม่ง่ายนั้นก็เป็นเพราะว่าตอนนี้ในใจของคนเราล้วนหุนหันพลันแล่น มีไม่กี่คนที่จะยอมขอโทษฝ่ายตรงข้าม แม้ว่าตัวเองจะผิดจริงๆ ถึงจะรู้ถึงจุดนี้แต่ก็ไม่อาจจะทิ้งสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรีลงได้ และสุดท้ายก็โต้เถียงสู้กันจนตายไปข้าง ไม่ไปมาหาสู่กันอีกเลยชั่วชีวิต
โชคดีที่ว่าพวกเขาสามคนสามารถประจักษ์ชัดต่อความผิดของตัวเองและสามารถยอมรับได้
ลั่วเฉียวที่ได้ยินคำขอโทษของพี่ชายแล้ว ในที่สุดน้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ก็กลั้นไม่อยู่ รินไหลลงมาในทันที
เธอปาดน้ำตา มองไปที่โล่ฮาน พลางเอ่ยเรียกคำหนึ่ง “พี่คะ…….” จากนั้นก็วิ่งไปถึงหน้าเขา ซุกศีรษะเข้าไปในอ้อมกอดแล้วร้องไห้ออกมา
ความขัดแย้งเหมือนในวันนี้นั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ฉิงฮัว คุณก็แสดงท่าทีเสียหน่อย ผู้อื่นขอโทษคุณไปแล้วนะ ครอบครัวเดียวกันไม่มีอะไรต้องเขินอาย” กู้ฮอนมองไปฉิงฮัวที่มีท่าทางทำอะไรไม่ถูก แค่เห็นก็รู้ว่าเขาอยากจะก้าวเข้าไปแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
เมื่อถูกเธอชี้แนะแบบนี้แล้ว ฉิงฮัวก็ดินไปถึงหน้าโล่ฮานด้วยความระมัดระวังเกินเหตุ ยังไม่ทันพูดอะไร ใบหน้าก็แดงก่ำแล้ว “พี่…….โล่ ขอโทษด้วยจริงๆครับ เมื่อครู่นี้ผมใจร้อนมากไป ขอให้คุณยกโทษให้ผมด้วย เรื่องนี้เป็นพวกเราที่ทำผิดก่อน เพียงแต่ว่าขอให้พี่เชื่อว่าพวกเราไม่ได้อยากจะหลบผู้ชราทั้งสอง…..”
โล่ฮานตบไหล่เขา “ความลำบากใจของพวกนาย พี่ก็รู้มาบ้าง นั่นเป็นเพราะว่าพี่มีนิสัยใจร้อนมากเกินไป ควรจะนัดพวกนายออกมาปรึกษาก่อนจะได้ไม่ทำให้เกิดเรื่องแบบในวันนี้ ทำให้คุณกู้เห็นเรื่องขบขันของพวกเราแล้ว”
“ฮ่า! พวกคุณนี่จริงๆเลย ตอนนี้คนในครอบครัวเดียวกันกอดกันกลมแล้ว เห็นฉันเป็นคนนอกใช่หรือไม่ ดูท่าหลังจากนี้เรื่องของพวกคุณพี่ชายน้องสาว ฉันเข้ามายุ่งเกี่ยวให้น้อยหน่อยจะดีกว่า”
แน่นอนว่าคำพูดของกู้ฮอนเป็นเพียงแค่การล้อเล่น แต่ว่าโล่ฮานที่ได้ฟังกลับคิดเป็นจริง เขารีบเอ่ยอธิบายด้วยสีหน้าที่ตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย “คุณกู้ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ปกติคุณดูแลลั่วเฉียวขนาดนี้ ผมจะเห็นคุณเป็นคนนอกได้อย่างไรกัน”
***
“พอแล้วค่ะ เมื่อครู่นี้ฉันแค่หลอกพวกคุณเล่น เรียบร้อยแล้วๆ บรรยากาศอึมครึมสลายไปแล้ว คนในครอบครัวเดียวกันสามารถนั่งพูดคุยกันดีๆได้แล้วนะ”
โล่ฮานตบหลังน้องสาวเบาๆ “พอแล้วๆ ยังจะเช็ดน้ำมูกอยู่ในอ้อมแขนพี่อีก เสื้อผ้าชุดนี้ของพี่ ราคาไม่ถูกเลยนะ ทำสกปรกแล้วจะให้เธอซักให้พี่ อีกอย่างนะ ตอนนี้เธอไม่มีเหตุผลที่จะซุกอยู่ในอ้อมแขนของพี่แล้วด้วย เธอมีสามีแล้ว เขาต่างหากที่เป็นที่พึ่งพิงของเธอ ภารกิจของพี่ก็ถือว่าสมบูรณ์แบบเรียบร้อยแล้ว”
เขาพูดพลางจูงมือของน้องสาวไปมอบให้ฉิงฮัว จากนั้นก็มีสีหน้าท่าทางผ่อนคลาย “ในที่สุดผมก็สามารถทิ้งภาระนี้ไปได้แล้ว……หลังจากนี้เธอจะเช็ดน้ำมูกหรือว่าเช็ดน้ำตากับเสื้อผ้าของเขา พี่ก็ไม่มีปัญหา” พูดแล้วก็เงยหน้าขี้นสูดลมหายใจลึก จากนั้นทอดถอนใจเหมือนกับนักกวีที่เต็มไปด้วยความรู้สึกท่วมท้นว่า “นี่ก็คืออากาศแห่งอิสระ………”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา บรรยากาศภายในห้องรับแขกก็เต็มไปด้วยความสุขขึ้นมาชั่วขณะ ระหว่างคนในครอบครัวนั้นไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องผูกพยาบาทกัน เมื่อคลี่คลายได้แล้วความรู้สึกนั้นก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ลั่วเฉียวที่ยังคงซึ้งใจต่อคำพูดของพี่ชายเมื่อครู่ แต่หลังจากที่ได้ยินคำพูดในส่วนหลังแล้ว ก็หันกลับไปทุบบนร่างโล่ฮานหมัดหนึ่ง “ดี ที่แท้แล้วตั้งแต่เล็กจนโต พี่ก็เห็นว่าหนูเป็นภาระ ทั้งยังไม่ยอมให้หนูเช็ดน้ำมูกบนเสื้อผ้าพี่ด้วย พี่ไม่ให้หนูเช็ด หนูก็จะเช็ด เช็ดกับเสื้อผ้าของสามี ถึงตอนนั้นหนูก็ยังต้องซัก หนูไม่ยอมเสียเปรียบหรอกนะ พี่ชายมีไว้ให้เรียกใช้……..”
ช่างเป็นพี่ชายน้องสาวคู่หนึ่งที่ไม่มีสาระเสียจริง คุยไปคุยมาก็ทะเลาะกันขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เฮ้……นี่คือสังคมที่ไร้น้ำใจต่อกัน เตือนพวกคุณสองพี่น้องนะคะ แต่ในฐานะที่ฉันเป็นฑูตแห่งสันติภาพ กลับไม่ถูกเหลียวแลเสียแล้ว”
ลั่วเฉียวเหลือบตามองกู้ฮอนครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เบะปากอย่างรังเกียจ “กู้ฮอน ทักษะการแสดงของเธอนั้นแย่เกินไปแล้วจริงๆ หลังจากที่เป็นทนายความและประธานบริษัทแล้ว ทักษะการแสดงของเธอก็แย่ลงทุกวัน พวกเราก็ไม่ใช่คนที่พอข้ามแม่น้ำได้แล้วก็รื้อสะพานทิ้ง เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณอันใหญ่หลวงของเธอ จะยอมให้เธอยืมบ้านของพวกเราอาศัยอีกหลายวันแล้วกัน”
กู้ฮอนมองเธอด้วยท่าทางตกตะลึง “ยืมที่พักอาศัยหรือ ฉันไม่เคยคิดจะไปเลยนะ ไม่แน่ว่าชั่วชีวิตนี้ก็จะอาศัยอยู่ที่นี่แหละ”
“ดีเลยๆ ถึงเวลานั้นฉันก็ไม่ต้องหาคนใช้แล้ว งานภายในบ้านก็ให้เธอและเด็กน้อยทั้งสามคนรับผิดชอบทั้งหมดแล้วกัน ฉันก็ไม่ได้รังเกียจที่คนเยอะ” ลั่วเฉียวรีบรับบทเอ่ยต่อ ใบหน้าเต็มไปด้วยท่าทางยินดีปรีดา
เห็นหญิงสาวสองคนโต้เถียงกันไปมา ไม่ว่าโล่ฮานหรือว่าฉิงฮัวล้วนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
พวกเขาเดินไปที่มุมหนึ่ง โล่ฮานถองแขนไปที่ข้างกายฉิงฮัว “”เฮ้ ภรรยาของนายเป็นแบบนี้ตลอดเลยหรือ ไม่ใช่บอกว่าผู้หญิงคลอดลูกแล้วจะโง่ไปสามปีหรือ ทำไมพี่เห็นแล้วเหมือนกับทักษะของเธอก้าวหน้าอย่างพรวดพราดเลยล่ะ”
ฉิงฮัวยักไหล่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงจังเป็นอย่างมาก “ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้น้องสาวของพี่เป็นคนอย่างไร เพียงแต่ว่าหลังจากแต่งกลับมาแล้วก็พบว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติจริงๆ พี่จะยืดหยุ่นสักหน่อยได้ไหม ขอคืนสินค้าน่ะครับ”
ยากที่เขาจะล้อเล่นสักครั้งหนึ่ง สาเหตุคาดว่าล้วนเป็นเพราะติดตามเป่หมิงโม่มาเป็นเวลานานมากเกินไป เพียงแต่ว่าก้อนหินแบบเขาล้วนถูกลั่วเฉียวลับไปแล้ว ในตอนนี้ถึงได้เอ่ยคำพูดหยอกล้อออกมากะทันหัน
“เฮ้! พวกคุณสองคนแดกดันอะไรฉันลับหลังกัน อย่าคิดว่าอะไรฉันก็ล้วนไม่ได้ยินนะ” ลั่วเฉียวพูด สาดสายตาแหลมคมดั่งใบมีดใส่โล่ฮานและฉิงฮัว
***
ลั่วเฉียวในคราวนี้ทำให้ผู้ชายทั้งสองคนตกตะลึงเล็กน้อย รีบโบกมือไปมาอย่างไม่ได้นัดหมาย “พวกเราล้วนไม่ได้พูดอะไรเลยนะ แค่ผู้ชายสองคนที่ได้รับความลำบากแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันเท่านั้นเอง”
“ไม่อนุญาตให้แลกเปลี่ยน คืนวันหลังจากนี้ยังยาวนานนะ!” ลั่วเฉียวดุ
โล่ฮานมองฉิงฮัวอย่างจนปัญญา “นายก็อดทนดีๆแล้วกัน กฎประจำตระกูลของพวกเราก็คือ สินค้าที่ส่งออกไปแล้วนั้นไม่รับคืน”
“โล่ฮาน!”
*
การโต้เถียงกันระหว่างพี่ชายน้องสาวคู่นี้เริ่มขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ว่าการสู้รบในครั้งนี้นั้น สิ้นสุดลงตรงที่ลั่วเฉียวชนะไปอย่างใสสะอาด