บทที่ 1021 เสือหน้ายิ้ม
ทนายความของอีกฝั่งมองหยินปู้ฝันแล้วยิ้มเย็น “ผมของเตือนทนายฝ่ายตรงข้ามอย่างสูงเลยนะครับว่า ที่นี่เป็นศาล และจะมาพูดโกหกไม่ได้นะครับ ความสัมพันธ์ระหว่างพยานกับจำเลยนั้น ก่อนจะเปิดศาลผมได้เคยทำการบ้านมาบ้างแล้วว่า พวกเขานั้นได้มีลูกด้วยกันสามคนแล้ว ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อนแล้ว และเพราะเรื่องนี้ ระหว่างพวกเขาก็ยังเคยต่อสู้คดีแย่งสิทธิ์การปกครองลูกที่ค่อนข้างมีโด่งดังในเมืองนี้แล้วอีกด้วย เพียงแต่ว่า ช่วงหลายปีให้หลังมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเริ่มมีดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อยแล้ว ถ้าหากผมจำไม่ผิดแล้วละก็ ตอฟนก่อนที่พยานจะมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของบริษัทเป่หมิงนั้น เธอยังเป็นผู้ช่วยของจำเลยมาตลอดอีกด้วย สามารถพูดได้ว่าเป็นเงาตามตัวไม่ห่างกันสักวันเลยก็ว่าได้ และอีกอย่าง ผมยังรู้ถึงมาว่าชุมชนที่พยานอาศัยอยู่นั้น เป็นชุมชนที่มีชื่อว่า ‘ปิ่นฮอนเป่หยวน’ และชุมชนแห่งนี้ก็คือผลงานการก่อสร้างของบริษัทเป่หมิง หรือพูดอีกอย่างก็คือ เป็นผลงานของจำเลยนั่นเอง เขาตั้งชื่อชุมชนแห่งนี้ด้วยชื่อนี้ ก็เพราะมีความหมายอื่นแอบแฝงอยู่ และนอกเหนือจากนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมยิ่งไม่อยากจะเชื่อเข้าไปอีก และจำเป็นจะต้องให้ท่านผู้พิพากษาและทนายฝ่ายจำเลยต้องเพิ่มความสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีก นั่นก็คือ……”
***
คำพูดท่อนใหญ่ของทนายฝ่ายโจทก์ ทำให้หยินปู้ฝันจำเป็นต้องเสียความได้เปรียบที่อยู่เหนือลมที่เพิ่งได้มาเมื่อกี้ไป
หลักการของเขาถ้าเอาออกมาพูดกันทีละข้อนั้น ล้วนสามารถแก้ต่างกลับไปได้อย่างง่ายดาย แต่ว่าที่ยุ่งยากสุดในตอนนี้ก็คือ เขาเอามาพูดรวดเดียวเยอะขนาดนี้เลย
และเป็นอย่างที่บอก พูดเป็นไม่เท่าฟังเป็น พอเอาสิ่งที่จริงและไม่จริงเหล่านี้มารวมเข้าด้วยกัน ก็จะกลายเป็นอะไรก็เป็นจริงไปหมด
และอีกอย่าง ทนายฝ่ายโจทก์ท่านนี้ยังหลงอยู่ในความสนุกของการ ‘รื้อฟื้นเรื่องเก่า’ อีกด้วย
เขาเอาหลักฐานที่ยิ่งมีประโยชน์มากขึ้นอีกชิ้นหนึ่งออกมา “ในช่วงเวลาที่จำเลยถูกควบคุมตัวอยู่ในสถานีตำรวจนั้น พยานได้ไปเยี่ยมจำเลยเกือบจะทุกวัน ทุกคนลองคิดดูซิครับ ถ้าหากระหว่างพวกเขาไม่มีอะไรกันแล้วละก็ จะทำถึงขั้นนี้ได้เหรอ? แค่เพียงใช้จุดจุดนี้ผมก็สามารถยืนยันได้แล้วว่า ระหว่างพยานและจำเลยนั้นมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือต่อกัน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าอาจจะเกินเลยความสนิทสนมระหว่างคนทั่วไปให้แก่กันแล้ว”
พอเสียงพูดหยุดลง ไม่ว่าจะเป็นกู้ฮอนหรือหยินปู้ฝันในใจก็ต่างกระวนกระวายขึ้นมาทันที คราวนี้แย่แล้ว พยานอย่างกู้ฮอนได้หมดประโยชน์ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
พอที่ผู้อำนวยการโกวฟังมาถึงตรงนี้ ก็มีรอยยิ้มโผล่ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เขานั้นไม่กล้าไปแหย่กู้ฮอนตรง ๆ หรอก แม้กระทั่งเขาได้เลือกแล้วว่าจะไม่ไปหาเรื่องเธออีก แต่ว่าเธอกลับมาหาเรื่องตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า คราวนี้ดีเลย เรื่องยุ่งยากมาหาถึงตัวเลย
และนี่ถึงแม้หลี่เชินจะถามตัวเองขึ้นมา ทีนี้ก็มีเหตุผลเพียงพอแล้ว
ผู้พิพากษาหลิวเคาะค้อนแกเฟิลทีหนึ่ง “ตอนนี้พักศาลก่อนห้านาที”
หลังจากพูดจบแล้ว เขาก็ชี้มือเป็นการส่งสัญญาณให้ทนายฝ่ายโจทก์และหยินปู้ฝันทั้งสองคนตามเขาออกไป
*
ในห้องพักรับรองนอกศาล ผู้พิพากษากำลังนั่งอยู่ตรงกลาง หยินปู้ฝันและทนายฝ่ายโจทก์นั่งขนาบอยู่คนละข้าง
ผู้พิพากษามองไปที่หยินปู้ฝันทีหนึ่ง “ทนายหยิน ตอนแรกผมนึกว่าคุณจะเป็นทนายที่ไม่เลวคนหนึ่งนะ แต่เป็นไปได้ยังไงทำไมถึงได้ทำความผิดพลาดที่เล็กน้อยขนาดนี้ในคดีแบบนี้ขึ้นมาได้”
“เหอ เหอ ผู้พิพากษาหลิว ผมว่าก็ไม่ควรโทษเขาหรอกครับ ต้องเผชิญหน้ากับคดีแบบนี้ ตั้งแต่แรกเขาก็มีโอกาสชนะค่อนข้างยากอยู่แล้ว ถ้าหากไม่ใช้กลอุบายใหม่ ๆ แล้วละก็ ก็ยิ่งไม่มีทางรอดแล้ว”
พอหยินปู้ฝันได้ฟังคำพูดของเขาแล้ว ความโกรธก็ไม่ได้พุ่งขึ้นมาจากที่ที่เดียว เพียงแต่ว่าติดอยู่ตรงที่ว่าผู้พิพากษาก็นั่งอยู่ด้วย ตัวเองถึงได้ไม่สะดวกจะระบายออกมาเท่านั้น “ท่านผู้พิพากษาครับ คุณเข้าใจความสัมพันธ์ของพยานและจำเลยผิดไปแล้วจริง ๆ ครับ ระหว่างพวกเขาไม่มีอะไรกันแล้วจริง ๆ ครับ”
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ คนหนุ่มนะ รีบร้อนอยากจะทำชนะก็ต้องมีทำเรื่องเสี่ยง ๆ กันออกมาบ้าง ทนายหยินครั้งนี้คุณคงต้องได้ซึมซับการสั่งสอนบ้างแล้วล่ะ” ผู้พิพากษาหลิวไม่ได้มีท่าทีคิดจะฟังหยินปู้ฝันอธิบายเลยตั้งแต่แรก เขาลุกยืนขึ้นมาขยับแขนขา “ผมไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย เดี๋ยวก็จะเริ่มการพิจารณาใหม่แล้ว”
หลังจากที่ผู้พิพากษาหลิวจากไปแล้วนั้น ในห้องพักก็เหลือแค่ทนายสองคน
อย่ามองว่าตอนขึ้นศาลนั้นพวกเขาจะถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน ใครก็ไม่ไว้หน้าใคร แต่ว่าเวลานี้ บรรยากาศระหว่างพวกเขา กลับเหมือนจะอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
“ทนายหยิน ครึ่งแรกนั้นจริง ๆ แล้วคุณว่าความได้ไม่เลวเลยนะ มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง มันทำให้ผมรู้สึกว่าจะเกือบจะเอาไม่อยู่แล้วจริง ๆ นะแต่ว่า……” พูดไป เขาก็ค่อย ๆ ยืนขึ้น “คุณก็ยังคงรีบร้อนอยากจะทำให้สำเร็จเร็วเกินไปหน่อย ผมเฝ้ารออยากจะดูการว่าความในครึ่งหลังของคุณมากเลย”
พูดแล้วเขาก็เดินไปทางประตู ในวินาทีที่ดึงประตูออกนั้นเขาก็หันหน้ามา รอยยิ้มที่มีอยู่บนใบหน้าเขานั้นหยินปู้ฝันเห็นแล้วรู้สึกไม่ชอบใจเอาซะเลย “ไพ่ในมือของคุณ ผมคิดว่าคงจะหมดแล้วใช่ไหมล่ะ ถ้าหากเป็นอย่างนี้แล้วละก็ ผมจะบอกคุณนะ ในก่อนจะเริ่มขึ้นศาลใหม่ คุณควรจะคิดดูว่าควรจะไปเกลี้ยกล่อมให้ลูกความของคุณยอมรับผิดทันทีเลยหรือเปล่า”
***
หยินปู้ฝันได้แต่มองทนายฝ่ายตรงข้ามจากไป ในใจของเขานั้นเรียกว่ามีไฟกำลังปะทุขึ้นอยู่
เนื่องจากเวลาพักศาลนั้นน้อยมาก ผู้คนในศาลจึงแทบจะไม่ลุกจากที่นั่งของตัวเองเลย มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่รีบร้อนออกไปเข้าห้องน้ำแล้วก็รีบร้อนกลับเข้ามา
กู้ฮอนนั่งอยู่ในที่นั่งพยาน เธอรู้สึกว่าจะจากไปก็ไม่ใช่ ไม่จากไปก็ไม่ใช่ ฝั่งตรงข้ามของเธอคือเป่หมิงโม่ เธออยากจะเดินไปพูดคุยอะไรกับเขาสักหน่อยจริง ๆ หรือพูดคำว่า : ขอโทษ ขอโทษต่อการแสดงออกที่แย่มากของเธอเมื่อกี้
แต่ว่านี่ก็เป็นเพียงแค่คิดเท่านั้น หลัก ๆ คือเป็นกังวลว่าถ้าตัวเองกระทำเช่นนี้แล้ว ใครจะไปรู้ว่าจะนำพาเรื่องวุ่นวายอะไรใหม่ ๆ มาให้เขาอีกไหม
สำหรับเป่หมิงโม่ เขานั่งอยู่ที่ที่นั่งจำเลย หน้าตาไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าการต่อสู้คดีครั้งนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเขาทั้งสิ้น
แต่ว่า ตอนที่เขาเห็นกู้ฮอนขึ้นศาลมาเป็นพยาน แล้วระหว่างนั้นตอนที่โดนคำถามของทนายฝ่ายตรงข้ามทำให้หัวไหม้หน้าผากไหม้นั้น เขาก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาจริง ๆ
นี่ไม่ใช่เพราะว่าสงสัยในความสามารถของเธอ แต่ว่าการโดนกระทบกระเทือนจิตใจครั้งแล้วครั้งเล่าต่อ ๆ กันแบบนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับจิตใจคนนั้น มันไม่ใช่จะสามารถดูออกได้อย่างผิวเผิน
ตั้งแต่เขาโดนควบคุมตัวมา และผ่านช่วงเวลาหนึ่งในการคิดวิเคราะห์แล้ว เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ให้เธอจัดการเรื่องราวของบริษัทเป่หมิงอีกต่อไป และการทำแบบนี้ก็เพื่อปกป้องเธอด้วยเช่นกัน
สำหรับอนาคตของเธอกับลูก เขาคิดมาตลอดว่า เธอไปเป็นแค่ทนายธรรมดา ๆ คนหนึ่งก็ดีเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงใหญ่โต ขอแค่สุขสงบก็พอแล้ว
แต่ว่าการสะเทือนใจที่เธอได้รับในการขึ้นศาลครั้งนี้ ไม่รู้ว่าหลังจากนี้เธอจะยังอยากจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่อีกไหม
ตอนนี้เขากับกู้ฮอนได้แต่เข้าสู่การสื่อสารผ่านสายตาเท่านั้น นั่นคือมีเพียงพวกเขาถึงจะสามารถรับรู้ในใจได้
มองดูพยานคนหนึ่ง จำเลยคนหนึ่ง ตอนนี้คนที่น่าจะรู้สึกดีใจที่สุดในศาลก็คือผู้อำนวยการโกวคนที่นั่งอยู่ในที่นั่งโจทก์คนนั้นแล้ว
เขารู้สึกว่าตัวเองก็เป็นเหมือนกับนักยิงฝีมือดีคนหนึ่ง ที่ยิงนัดเดียวได้นกถึงสองตัว ด้านหนึ่งเอาเป่หมิงโม่มาขึ้นศาลได้แล้ว และก็คงจะสามารถส่งเขาเข้าคุกได้อย่างรวดเร็วแล้ว ส่วนอีกด้านหนึ่งคือ เขาไม่ได้เป็นคนขัดใจกู้ฮอนเองจริง ๆ อย่างน้อยความซวยนี้คือมีทนายที่เป็นตัวแทนของตัวเองมาแบกรับไว้
อย่างรวดเร็ว ประตูของศาลก็ได้เปิดออกอีกครั้ง ทนายทั้งสองคนก็เดินเข้ามาตาม ๆ กัน
จากปฏิกิริยาของพวกเขาสามารถดูออกได้ว่า การพิจารณาคดีช่วงครึ่งหลังของวันนี้อาจจะมีความเป็นไปได้สูงที่จะมี ‘ฝ่ายหนึ่งล้ม’ เกิดขึ้นได้
และจากจุดนี้ก็ยิ่งทำให้ผู้อำนวยการโกวรู้สึกได้ใจเป็นอย่างมาก
ผ่านไปไม่นาน ผู้พิพากษาก็กลับมาที่นั่งที่บัลลังก์ของตัวเอง
ค้อนแกเฟิลถูกเคาะลง……
“เมื่อกี้ก่อนจะพักศาลเราได้ตัดสินใจแล้วว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพยานคุณกู้ฮอนและจำเลยคุณเป่หมิงโม่นั้นสับสนวุ่นวายมากจริง ๆ คำให้การทั้งหมดของเธอจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะถูกนำมาใช้ในชั้นศาลได้ คุณทนายทั้งสองท่านมีข้อคิดเห็นอะไรหรือไม่?”
บนใบหน้าของทนายฝ่ายโจทก์แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ “ใช่ครับ ผมไม่มีข้อคิดเห็นอะไร การตัดสินแบบนี้ถือเป็นความยุติธรรมตามกฎหมายอย่างเห็นได้ชัดแล้วครับ”
แล้วผู้พิพากษาก็มองไปทางหยินปู้ฝัน “คุณทนายฝ่ายจำเลยล่ะ? ผมดูท่าทางคุณแล้ว คุณมีข้อคิดเห็นอะไรอีก?”
หยินปู้ฝันเพียงแค่ส่ายหน้า แล้วเขาก็ไม่พูดอะไร
สถานการณ์ตอนนี้ ถึงแม้ว่าตัวเองจะมีข้อคิดเห็นอะไรอีก แล้วยังจะทำอะไรได้ สุดท้ายก็ต้องโดนโต้กลับมาอยู่ดี
ผู้พิพากษาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ในเมื่อทนายทั้งสองท่านต่างก็ไม่มีข้อคิดเห็นอะไรแล้ว งั้นก็ขอเชิญพยานคุณกู้ฮอนออกจากคอกพยานด้วยครับ และกระผมของประกาศว่า คำให้การของพยานทั้งหมดเมื่อกี้ ศาลสามารถไม่นำไปประกอบการพิจารณาได้ครับ”
เมื่อกู้ฮอนเห็นหยินปู้ฝันเองก็แสดงออกชัดเจนเช่นนี้แล้ว งั้นตัวเองก็คงทำได้แค่ยอมรับการตัดสินของศาลแล้วเดินออกมาจากคอกพยาน
เวลานี้ คอกพยานได้ว่างลงแล้ว
***
สายตาของผู้พิพากษากวาดมองทุกคนที่อยู่ที่นี่ แล้วสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ทนายทั้งสองคน “ ไม่ทราบว่าพวกคุณยังมีพยานหรือหลักฐานอย่างอื่นจะยื่นต่อศาลอีกไหม? เพื่อจะนำมาประกอบการพิจารณาว่าจำเลยมีความผิดจริงหรือไม่มีความผิด? ”
“เอาละ ในเมื่อเมื่อกี้ทนายฝ่ายจำเลยได้เบิกพยานมาแล้ว ถึงแม้จะไม่เกิดผลประโยชน์อะไรขึ้น ส่วนทางผมนั้น ก็ยังมีพยานที่จะเบิกมาขึ้นศาลอีกหนึ่งคนครับ เขาสามารถยืนยันได้ว่าจำเลยมีความผิดจริงครับ”
ทนายฝ่ายโจทก์พูดขึ้น แล้วหันหน้าไปมองทางเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่ตรงประตูหน้าศาล
เมื่อประตูถูกเปิดออก ก็เห็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งเดินจากข้างนอกเข้ามา
กู้ฮอนที่นั่งอยู่ที่ที่นั่งผู้ฟังและเป่หมิงโม่ที่นั่งอยู่ที่ที่นั่งจำเลย ก็อดไม่ได้ต้องมองไปทางประตู
พวกเขาดูออกอย่างรวดเร็วว่านายทหารชั้นผู้น้อยคนนี้เป็นทหารยามที่เฝ้าอยู่ในป้อมยามวันนั้นพอดี
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นยืนตัวตรงหลังตรง แล้วเดินเข้ามาในศาลด้วยสายตาไม่ว่อกแว่ก เดินมาตามการชี้นำของเจ้าหน้าที่ศาล เดินมาถึงที่คอกพยานและนั่งลง
แล้วเขาก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นทั้งหมดหนึ่งรอบ สถานการณ์ส่วนใหญ่ก็เหมือนกับที่ผู้พิพากษาและกู้ฮอนได้พูดมาในช่วงแรก
แต่พอเล่ามาถึงครึ่งหนึ่ง การพูดถึงส่วนที่เกี่ยวข้องกับเป่หมิงโม่นั้นก็กลายเป็นอีกอย่างหนึ่งไปเลย
หลังจากที่เขาพูดหมดแล้ว ทนายฝ่ายโจทก์ก็เป็นฝ่ายสอบถามขึ้นก่อน “ตอนนั้นที่คุณกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ แล้วเห็นจำเลยขับรถเข้ามา คุณได้ทำยังไงบ้าง?”
ทหารชั้นผู้น้อยคิดก็ไม่คิดก็ตอบออกมาว่า “ผมแสดงเจตนาให้เขาหยุดรถลง และเตรียมจะตรวจสอบเอกสารประจำตัวของเขาครับ”
“แล้วเขาทำยังไงต่อครับ?”
“เขาเร่งความเร็วรถเพิ่มขึ้น แล้วพุ่งผ่านด่านตรวจไปครับ”
“แล้วคุณเลือกใช้วิธีปฏิบัติการยังไงต่อครับ?”
“ผมลองสกัดกั้นดูแต่ไม่สำเร็จครับ ตอนที่เขาพุ่งผ่านไปแล้ว ผมก็รีบรายงานให้เพื่อนคนอื่น ๆ ที่เข้าเวรอยู่ทราบ แล้วให้รีบมาเป็นกำลังเสริมด่วนครับ”
ทนายฝ่ายโจทก์ยิ้มด้วยความพอใจและพยักหน้า
จากนั้นก็หันหลังไปทางผู้พิพากษา “ท่านผู้พิพากษาครับ เมื่อกี้ได้ฟังคำให้การของทหารท่านนี้ไปแล้ว ไม่ทราบว่าท่านมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง ส่วนผมนั้น ตอนที่ฟังมาถึงตรงนี้ กลับรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาเลย เพราะอะไรถึงพูดแบบนี้นั้นเหรอ? ก็เพราะว่าเกาะหูซินเป็นแหล่งรวมที่ทำงานของราชการ แล้วคิดไม่ถึงว่าจะโดนจำเลยทำเป็นเมินการสกัดกั้นและขับรถพุ่งผ่านด่านตรวจไปโดยตรง และนี่ก็คือการกระทำที่ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา แน่นอนว่าจำเลยอยู่ในเมืองAของเรานั้น มีทั้งชื่อเสียงและตำแหน่งไม่น้อย เครือบริษัทเป่หมิงใคร ๆ ก็รู้จัก และถึงจะเป็นเจ้าเมืองเวลาเจอเขาก็ยังต้องเกรงใจเขา แต่ว่า พูดไม่ได้หรอกนะ ว่าแค่ใช้สิ่งเหล่านี้ก็จะมามีสิทธิ์ทำตามใจตัวเองได้จริง ๆ ที่นี่เป็นศาล เป็นที่ที่สมควรที่จะถ่ายทอดพลังงานด้านบวกมากที่สุด เพราะฉะนั้นผมคิดว่าสำหรับจำเลย จะต้องไม่หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งแบบนี้เพราะว่าชื่อเสียงและตำแหน่งของเขา คำพูดของผมพูดหมดแล้วครับ”
ผู้พิพากษาหลิวขมวดหัวคิ้วไว้จนฟังจบแล้ว แล้วพอถึงสุดท้ายก็พยักหน้าตาม เขาคิดว่ามันเป็นหลักการเช่นนี้จริง ๆ
หยินปู้ฝันและกู้ฮอนก็มองออกแล้วว่า ตอนนี้ผู้พิพากษามีความเห็นโอนเอียงไปทางฝั่งโจทก์แล้ว คราวนี้ก็ยิ่งยากเข้าไปอีกนะซิ นี่ควรจะทำยังไงดีล่ะ……
“ทนายฝ่ายจำเลย ไม่ทราบว่าคุณยังมีอะไรต้องการจะถามไหม?”
ในที่สุดเวลานี้ ผู้พิพากษาก็หันสายตากลับมาสนใจที่ตัวหยินปู้ฝันอีกครั้ง