บทที่ 1028 เฉิงเฉิงนักคิดค้นตัวน้อย
หลังจากที่หยางหยางจู่โจมไปหนึ่งทีแล้ว ก็เก็บหมัดกลับมา แล้วก็เอามือทั้งคู่เท้าสะเอวยืนมองจินเล่ยที่มีท่าทางเจ็บปวด “นี่ แกเป็นยังไงบ้าง? คงไม่ใช่แค่ทีเดียวก็ไม่ไหวแล้วนะ? จุ๊ ๆ …… หรือว่าแกโดนต่อยจนชอบแล้วเหรอ?”
นี่สามารถถือได้ว่าเป็นการจู่โจมทีเผลอได้ประสบผลสำเร็จมาก แค่หนึ่งทีก็ชนะแล้ว
“นี่! เด็กอย่างนายนี่ทำไมไม่เล่นตามเกมละ” ลูกน้องสองคนที่ยืนอยู่ข้างจินเล่ย พอเห็นลูกพี่โดนต่อยอีกครั้ง ก็ตกใจขึ้นมาอีกครั้งเหมือนกัน
“นี่ยังต้องเล่นตามเกมอีกเหรอ ฉันเห็นเขาทำท่าทางเหมือนรอโดนต่อยอยู่แล้ว แล้วฉันไม่ควรทำให้เขาสมหวังสักหน่อยเหรอ? คนที่มาขวางไม่ให้เรากลับบ้านก็คือพวกแก ที่พูดว่าจะต่อสู้ก็คือพวกแก ตอนนี้พอต่อยแล้วก็มาบอกว่าฉันไม่เล่นตามเกมอีกก็เป็นพวกแก ฉันว่าตกลงพวกแกสามคนเป็นตัวอะไรเปลี่ยนมากันแน่ ไม่รู้จักอายซะบ้าง”
หยางหยางดูเบื่อหน่ายขึ้นมาบ้างแล้วจริง ๆ
“ใช่ คนมาหาเรื่องก่อนคือพวกนาย ตอนนี้คนที่มาร้องว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เป็นพวกนายอีก ถ้าหากพวกนายไม่มีปัญญานั้นก็อย่ามาหาเรื่องกันดีไหม คราวที่แล้วโดนตี คราวนี้ก็โดนตีเหมือนเดิม สมน้ำหน้า!” จ้าวจิงอี้ก็อยากจะพุ่งเข้าไปเตะจินเล่ยแรง ๆ สักสองทีด้วยตัวเองจริง ๆ
“ดีเลยไอ้เด็กน้อย แกรอฉันไว้ให้ดี ๆ นะ” จินเล่ยเอามือกุมท้องเอาไว้ แล้วมองไปที่ลูกน้องทั้งสองทีหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปทางหน้าประตูโรงเรียน
พอลูกน้องสองคนเห็นลูกพี่ไปแล้ว ในเวลาแบบนี้ยังไม่ลืมว่าต้องหาศักดิ์ศรีของตัวเอง แล้วชี้ไปที่หยางหยาง “แกได้ยินหรือยัง ลูกพี่ของฉันบอกให้พวกแกรออยู่ที่นี่ พอถึงเวลามีให้พวกแกได้ลิ้มลองแน่” พูดจบ ก็วิ่งช้า ๆ ตามไป แล้วไปพยุงจินเล่ยซ้ายคนขวาคนเดินไปทางหน้าประตู
“ช่างเป็นเจ้าสามคนที่ไม่รู้จักยางอายเลยจริง ๆ ต่อยเสร็จนอกจากหนีแล้วยังทำอะไรเป็นอีก” หยางหยางพูดไป อยู่ ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วตะโกนไปทางสามคนนั้นเสียงดังว่า “นี่พวกแกสามคนยังไม่ได้ลอดใต้หว่างขาเลย!”
***
หยางหยางเห็นพวกเขาเดินจากไปไกลแล้ว ทั้งหน้าก็เต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย “คนสมัยนี้ทำไมไม่เห็นความสำคัญของการรักษาคำพูดเลย ดูแล้วถ้าครั้งหน้าเห็นพวกเขาอีก จะต้องทำให้ลุกไม่ขึ้นเลยถึงจะได้ นี่มันทำให้คนน่าโมโหมากเลยจริง ๆ”
พูดแล้ว เขาก็หันกลับไปมองเฉิงเฉิง “นี่ นายเป็นยังไงบ้าง ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เฉิงเฉิงเพียงแค่โดนผลักไปหนึ่งทีเท่านั้น จะเป็นอะไรได้ “ช่างเถอะ อย่าไปสนใจพวกเขาเลย เรากลับบ้านกันเถอะ”
“ฉันว่านะ เรื่องนี้คงไม่จบง่าย ๆ แบบนี้แน่” ในเวลานี้ อยู่ ๆ จ้างจิงอี้ก็พูดขึ้นมาแบบนี้ประโยคหนึ่ง
“ทำไม หรือว่าพวกเขายังจะพาคนอื่นมาอีกเหรอ? อย่างนั้นจะมีอะไรให้น่ากังวลกัน มาหนึ่งคนฉันก็ต่อยหนึ่งคนเหมือนเดิม คราวที่แล้วยังไม่สะใจเลย พอมาคราวนี้โดนทีเดียวเจ้าหมอนั่นก็หนีไปซะแล้ว ฉันยังอยากให้มันเรียกมาหลายคนหน่อย ให้ฉันได้สะใจสักครั้ง อ่อ ใช่แล้ว พอถึงตอนนั้นให้หวูเสี่ยงเอ๋อก็มาด้วย”
หยางหยางได้ยินก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร แต่กลัวเห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นดีใจมาก และมีท่าทางแบบถูหมัดเตรียมพร้อม ตื่นเต้นอยากจะลองมาก ๆ แล้ว
ทั้งสามคนยังคงเดินไปหน้าประตูต่อ
“แอะ? ทำไมถึงยังไม่เห็นรถของคุณแม่ วันนี้เขาลืมมารับพวกเราหรือเปล่านะ?” หยางหยางมองซ้ายมองขวามือเล็ก ๆ เอาใส่ไว้กระเป๋ากางเกง
แน่นอนว่าในเวลาตอนนี้ เป็นเวลารับเด็ก ๆ เลิกเรียนแล้ว และที่หน้าประตูมีรถมาจอดรอกันไม่น้อยแล้ว
“หรือว่าในเวลาแบบนี้อาจจะรถติดหรือเปล่า พวกเรารออยู่ตรงนี้ก่อนดีกว่า” เฉิงเฉิงพูดไป เขาก็หาที่ที่หนึ่งนั่งลง จากนั้นก็หยิบแท็บแล็ตอันหนึ่งออกมาจากกระเป๋า
“ว้า! นี่นายกล้าเอาของแบบนี้มาโรงเรียนด้วยเหรอ มา ให้ฉันเล่นหน่อย พอถึงเวลาฉันจะไม่บอกคุณแม่หรอกนะ”
เฉิงเฉิงมองเขาตาขาว “ถึงนายจะบอกคุณแม่ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เพราะฉันเอามันมาให้ทำการบ้าน ช่วงนี้ฉันกับเพื่อน ๆ หลายคนช่วยกันคิดค้นแอปพลิเคชันทำการบ้านขึ้นมาอันหนึ่ง และตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นทดลอง แต่ว่าพวกเราหลายคนก็เลยใช้อันนี้มาทำการบ้าน”
“เป่หมิงซีเฉิง นายนี่มันสุดยอดจริง ๆ ตอนนี้ก็เริ่มคิดค้นแอปพลิเคชันแล้ว ดูท่าต่อไปนายคงจะได้กลายเป็นบิล เกตส์ของประเทศจีนแน่” สำหรับผลงานของเฉิงเฉิงนั้น จ้าวจิงอี้ชื่นชมร้อยทั้งร้อยเลย
นี่เล่นเอาเฉิงเฉิงฟังแล้วรู้สึกเขินขึ้นมานิดหน่อย ใบหน้าก็แดงขึ้นเล็กน้อยด้วย
“แอปพลิเคชันทำการบ้าน?” หยางหยางกะพริบตาปริบ ๆ “ของแบบนี้เหมือนฉันจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนนะ อ่อ ใช่แล้ว ก็คือแอปพลิเคชันแบบที่ถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงไปในอินเทอร์เน็ตใช่ไหมล่ะ แล้วอย่างรวดเร็วก็จะมีคนมาช่วยให้ตอบใช่ไหม ของแบบนี้มีอะไรน่ามหัศจรรย์กัน มันมีคนทำขึ้นมาตั้งนานแล้ว”
พูดแล้ว ก็ยื่นมือออกไปชี้ที่พวกเขาและยิ้มชั่วร้ายขึ้น “ถึงว่าทำไมปกตินายถึงได้ทำการบ้านเร็วมาก ที่แท้เพราะว่าใช้ของแบบนี้นี่เอง คิดไม่ถึงจริง ๆ เลยว่านายก็เริ่มฉวยโอกาสขึ้นมาบ้างแล้ว”
“อะไรเป็นอะไรแล้วเนี่ย ของที่พวกเราทำมันไม่เหมือนกับของพวกนั้นนะ” เฉิงเฉิงถือแท็บแล็ตไว้แล้วแสดงแอปพลิเคชันให้หยางหยางดู “แอปพลิเคชันของเรานี้แบ่งออกเป็นฉบับของครูอาจารย์และฉบับของนักเรียน ใช่ร่วมกับเซิร์ฟเวอร์ของโรงเรียน ครูจะสั่งการบ้านผ่านแอปพลิเคชัน และพวกเราใส่คำตอบผ่านแอปพลิเคชันได้เลย ถึงแม้จะเป็นโจทย์เลขคณิตศาสตร์ ก็สามารถใส่วิธีทำเข้าไปข้างในได้เลย พอทำการบ้านเสร็จก็กดส่งออกได้เลย ส่วนทางด้านครูอาจารย์ก็จะได้รับข้อความแจ้งเตือนทันที และที่สำคัญยังสามารถเดินหน้าตรวจการบ้านได้อีกด้วย พอตรวจทั้งหมดเสร็จแล้ว ก็ยังสามารถเอาเนื้อหาที่ตรวจแก้แล้วรวมทั้งคำวิจารณ์ส่งคืนให้นักเรียนที่ส่งการบ้านได้ทันทีเลย ขั้นตอนส่วนใหญ่ก็เป็นประมาณนี้ ไม่ต้องใช้กระดาษอุปกรณ์ขีดเขียนอีกแล้ว และคนแบบนาย ต่อไปถ้าทำการบ้านไม่เสร็จ ก็จะหาข้ออ้างว่าไม่ได้เอาสมุดการบ้านกลับมาด้วยแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ”
***
พอหยางหยางได้ยินก็รู้สึกไม่พอใจแล้ว “ใครไม่ทำการบ้านเป็นประจำกัน นั่นมันเป็นเรื่องของเมื่อปีที่แล้วต่างหาก ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดยังไง ฉันก็เป็นที่หนึ่งในสามของทั้งระดับชั้นแล้ว จะทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ยังไงกัน ถ้าต่อไปนายยังพูดแบบนี้อีกละก็ ฉันก็จะฟ้องนายโทษฐานหมิ่นประมาทแล้วนะ”
จ้างจิงอี้มองดูหยางหยาง ก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา “ฉันว่านายนะ ยังพูดยากจริง ๆ แหละ”
หยางหยางมองพวกเขาทั้งสองคนทีหนึ่ง “พวกเธอมัน นี่เป็นตั๊กแตนบนเส้นเส้นเดียวกันเลย…..”
“เป่หมิงซีหยาง!”
และในเวลาเดียวกันนี้ ก็ได้ยินจากทางด้านข้างไม่ไกลจากพวกเขาก็มีเสียงเสียงหนึ่งลอยมา
และแน่นอน เสียงนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก นี่เป็นเสียงของจินเล่ยที่เพิ่งโดนพยุงเดินจากไปเมื่อกี้
หยางหยางมีใบหน้าเบื่อหน่าย คิ้วของเขาค่อย ๆ ขมวดกันขึ้น “เจ้าหมอนั่นนี่อยากจะโดนต่อยมากใช่ไหม เพิ่งโดนไปไม่ถึงสิบนาที ก็กลับมาอีกแล้ว”
แต่ว่าเขาเห็นสีหน้าของเฉิงเฉิงและจ้าวจิงอี้ที่มองไปที่เจ้าหมอนั่นเหมือนจะมีอะไรผิดปกติ เหมือนกับว่ามีท่าทางกลัวและตื่นตกใจอยู่ด้วย
“นี่ พวกนายสองคนเป็นอะไรไป ก็แค่เขากลับมาแก้แค้นก็เท่านั้น ไม่ต้องกลัวขนาดนี้ก็ได้มั้ง และถึงแม้ว่าเขาจะพาคนมาเพิ่มมากขึ้น แต่ฉันเห็นคนหนึ่งก็จะต่อยให้ล้มไปคนหนึ่งอยู่ดี” พูดแล้วอยู่ ๆ หยางหยางก็นึกถึงหวูเสี่ยวเอ๋อขึ้นมา
และแล้วเขาก็รีบล้วงโทรศัพท์ออกมา แล้วกดโทรออกไป “ใช่หวูเสี่ยวเอ๋อไหม นายกลับบ้านหรือยัง? ถ้ายังไม่กลับละก็มาที่ประตูหน้าโรงเรียนหน่อย จินเล่ยเจ้าหมอนั่นมาส่งของขวัญให้เราแล้ว”
ในเวลานี้ หวูเสี่ยวเอ๋อกำลังทำความสะอาดอยู่ในห้องเรียน พอได้รับสายโทรศัพท์ของหยางหยาง ตาก็สว่างขึ้นมาทันที “ได้ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้” พูดจบ ก็ทิ้งไม้กวาดที่อยู่ในมือลง แล้วคว้ากระเป๋ามาจากที่นั่งแล้ววิ่งไปทางประตูหน้าโรงเรียนเลย
“เป่หมิงซีหยาง ฉันรู้สึกว่านายน่าจะดูสักหน่อยนะ” จ้าวจิงอี้ตาเห็นจินเล่ยพาคนอีกสามคนเดินมาทางพวกเขาแล้ว ก็ยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกว่ากลัวมากขึ้นแล้วจริง ๆ
หยางหยางขี้เกียจมองไปที่พวกจินเล่ยมาตลอด และนึกว่าถึงจะพาคนมาเพิ่มละก็ ก็คงจะเป็นเหมือนกับพวกลูกน้องสองคนของเขาแบบนั้น
แต่ว่า เขาก็หันหน้าไปมองไปหนึ่งทีอยู่ดี
แค่มองทีเดียวนี้ก็ต้องตกใจ ตกใจจนเขาสะดุ้งเลยจริง ๆ จินเล่ยฟื้นคืนชีพมาอีกครั้งแล้วจริง ๆ และเขาก็พาพรรคพวกมาเพิ่มแล้วจริง ๆ ด้วย แต่ว่าคนที่เขาพามาครั้งนี้กลับเป็นผู้ใหญ่
จากเสื้อผ้าหน้าผมที่ย้อมสีห้าหกสีอย่างโก้เก๋ของพวกเขามาดูแล้วนั้น ต้องไม่ใช่คนดีแน่ ๆ ดูแล้วน่าจะเป็นคนที่เป็นพวกนักเลงยังไงอย่างงั้น
ถ้าให้รับมือกับเด็กที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับตัวเองแล้วละก็ ถึงจะมีเป็นเจ็ดแปดคน หยางหยางก็คงจะไม่มีทางเลอะเลือน แต่ว่าตอนนี้ คนที่ต้องเผชิญหน้าด้วยกลับเป็นผู้ใหญ่ นี่มันช่างทำให้เขาเคว้งคว้างขึ้นจริง ๆ
คนของพวกจินเล่ยเดินทะลุผ่านรถทุกยี่ห้อที่มาจอดรอรับลูกตรงหน้าประตูโรงเรียน และในเวลาเดียวกันก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ไม่น้อย
เพียงแต่ว่าคนที่มารับลูกพวกนี้ ก็เป็นเพียงแค่พวกที่ปัดแต่หิมะที่บังแต่หน้าประตูตัวเองเท่านั้น และที่สำคัญก็ไม่ยินดีที่จะไปสร้างเรื่องยุ่งยากอะไรขึ้นมา
ปฏิกิริยาที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่นแบบนี้ของผู้คน กลับยิ่งทำให้จินเล่ยรู้สึกว่าตัวเองเก่งกาจขึ้นมาในทันที
แล้วเดินมาทางพวกหยางหยางด้วยท่าทางองอาจ
“จะโทรศัพท์แจ้งความไหม?” จ้าวจิงอี้นั้นรู้สึกกลัวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว และร่างกายก็เริ่มสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
เด็กผู้หญิงที่ตัวเท่าเธอแบบนี้ พอเห็นสถานการณ์แบบนี้จะมีกี่คนที่ไม่กลัวบ้างกัน
ไม่เพียงแค่เธอ แม้แต่เฉิงเฉิงกับหยางหยางก็ยังรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ว่าหยางหยางก็ยังคงฝืนยืนหยัดต่อไป “ถ้าโทรศัพท์ให้ตำรวจแล้วละก็ คาดว่าตอนที่พวกเขามาถึงนั้น คงจะเป็นตอนที่พวกเรานอนราบกันหมดแล้ว ไม่งั้นโทรไปบอกลุงหัวฟูเถอะ ฉันว่าน่าจะพึ่งได้กว่า”
***
พอเฉิงเฉิงได้ยินหยางหยางพูดแบบนี้ ถึงแม้จะไม่ถือว่าเห็นด้วย แต่ตาดูแล้วตอนนี้ก็คงมีแต่วิธีนี้แล้วล่ะ แล้วเขาก็รีบร้อนหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาฉิงฮัว
*
ตั้งแต่เป่หมิงยี่เฟิงมาดำรงตำแหน่งประธานบริษัทเป่หมิงแล้ว ก็ถือว่ายังดีกับฉิงฮัวอยู่มาก ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจมากเท่าไหร่
และสำหรับด้านหน้าที่การงานนั้น แน่นอนก็ยังคงเหมือนเมื่อก่อน คือรับผิดของเรื่องราวที่ติดต่อกับบริษัทGTทั้งหมดเช่นเดิม
แต่สิ่งเดียวที่ค่อนข้างบาดตาก็คือคนที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วยทุกวัน……ถังเทียนจื๋อ
เจ้าหมอนี่มันทำให้ฉิงฮัวรู้สึกว่าไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่ถูกชะตาอยู่ดี
แต่ถังเทียนจื๋อนั้น ยังคงมาบริษัททุกวัน เหมือนอย่างกับแขกคนหนึ่งยังไงอย่างงั้น มาแล้วดื่มชาทุกวันหนึ่งแก้ว แล้วก็นั่งอยู่ตรงตำแหน่งที่เคยเป็นที่นั่งของกู้ฮอนเมื่อก่อน
ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะของฉิงฮัวพอดิบพอดี
แต่ว่าพวกเขาสองคนนั้นเหมือนจะพอมีใจตรงกันบ้าง ที่ต่างก็เบื่อขี้หน้าอีกฝ่าย ตั้งแต่นั้นมาก็ลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นไปมากทีเดียว
ในจุดจุดนี้ถือได้ว่าทำให้เป่หมิงยี่เฟิงโล่งอกไปได้เปลาะหนึ่งเลย
ในตอนที่ฉิงฮัวกำลังก้มหน้าทำงานอยู่นั้น อยู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น พอหยิบโทรศัพท์ออกมาก็เห็นว่าเป็นเฉิงเฉิงโทรเข้ามา
เขาอดไม่ได้ต้องค่อย ๆ ขมวดคิ้วขึ้นน้อย ๆ
ตอนนี้นั้นมีแม่ของพวกเขาเป็นคนไปรับส่งที่โรงเรียน แล้วทำไมอยู่ ๆ ถึงได้โทรศัพท์หาตัวเองได้ล่ะ?
แล้วในเวลานี้ อยู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่า วันนี้น่าจะเป็นวันขึ้นศาล เลยอดไม่ได้ที่จะเริ่มเป็นห่วงเจ้านายขึ้นมาแล้ว
ที่ศาลจะเป็นยังไงกันบ้างนะ?
“คุณชายน้อยเฉิงเฉิง มีเรื่องอะไรเหรอครับ?” ในตอนที่เขารับโทรศัพท์นั้น ก็รู้สึกว่าคุยที่นี่ก็ได้มันก็ไม่มีอะไรน่าจะต้องปิดบัง
พอได้ยินว่าเป็นสายโทรมาจากเฉิงเฉิง เป่หมิงยี่เฟิงละถังเทียนจื๋อทั้งสองคนก็อดไม่ได้ที่จะต้องตั้งอกตั้งใจฟังขึ้นมา
พวกเขาก็รู้เหมือนกันว่าวันนี้น่าจะเป็นวันที่จะพิจารณาคดีของเป่หมิงโม่แล้ว ที่เด็ก ๆ โทรมาตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่ามีเรื่องหรืออุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า
“ทำไม คุณหนูยังไม่ได้ไปรับพวกเธออีกเหรอ? อืม ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ พวกเธอไม่ต้องตื่นตกใจนะ พยายามถ่วงเวลาเอาไว้ และบอกคุณชายน้อยหยางหยางด้วยว่า พยายามอย่างขัดแย้งกับพวกเขาซึ่ง ๆ หน้า ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็วิ่งหนีเข้าไปในโรงเรียนเลย ไปหาคุณครูหรือว่าผู้อำนวยการโรงเรียนก็ได้ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหล