บทที่ 1026 ขอค่าตอบแทน
“ยินดีด้วย ในที่สุดก็ได้เป็นอิสระสักที” เวลานี้หยินปู้ฝันเดินไปถึงตรงหน้าเป่หมิงโม่ที่ได้เดินออกมาจากแท่นจำเลยแล้ว แล้วเขาก็ยื่นมือข้างหนึ่งไปข้างหน้า
เป่หมิงโม่ยิ้มขึ้นอ่อน ๆ แล้วก็ยื่นมือออกมาจับมือเขาด้วยเช่นกัน “สามารถมีบทสรุปแบบนี้ได้ มันทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจมากจริง ๆ ตอนแรกตอนที่มาขึ้นศาลนั้นฉันยังคิดอยู่เลยว่าจะเขียนร่างรายการออกมาสักแผ่นดีไหม”
“ร่างรายการ จะเอาไปทำไม?” หยินปู้ฝันแสดงความสงสัยออกมา
“แน่นอน ก็ต้องจดสิ่งของที่จะต้องใช้ตอนที่อยู่ข้างในนะซิ หรือจะให้รอเข้าไปอยู่แล้วค่อยมาคิดเหรอ?”
พอคำพูดนี้ถูกพูดออกมา กลับทำให้หยินปู้ฝันขำขึ้นมาจนได้ เขายื่นมือออกไป กำเป็นหมัดแล้วต่อยไปที่หัวไหล่ของเป่หมิงโม่ “นายนี่ ไปฝึกพูดเล่นเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ดูท่าแล้วเวลาที่นายอยู่ข้างในจะทำให้นายเปลี่ยนไปไม่น้อยเลยนะ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าสถานีตำรวจจะมีผลกับนายมากขนาดนี้นะ ก็น่าจะส่งนายเข้าไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้วถึงจะถูก ถ้าอย่างงั้นละก็ อย่างน้อยก็น่าจะมีผลประโยชน์ต่อคนคนหนึ่งเป็นอย่างมากเลย”
เขาพูดแล้ว ก็ใช้ปากปุ้ยป้ายไปอีกทาง จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องมาช่วยนายคลอดลูกตั้งสามคน แล้วนายยังทำอย่างกับเขาเป็นคนรับใช้อีก ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เธอต้องวิ่งวนเพื่อนายไปไม่น้อยเลย ยังไม่รีบไปแสดงตัวอีก”
แน่นอนว่าเป่หมิงโม่ไม่ได้เป็นคนโง่ ‘เธอ’ คนนี้ แน่นอนว่าก็ต้องหมายถึงกู้ฮอนอยู่แล้ว
เขาเหล่ตามองกู้ฮอนที่ยังคงยืนอยู่ที่ที่นั่งฟังเหมือนเดิม
เธอในเวลานี้ ตั้งแต่ที่ได้ยินคำตัดสินแล้ว ก็ไม่ได้วิ่งไปทางเป่หมิงโม่อย่างดีอกดีใจ แต่กลับมองไปที่สัญลักษณ์ตราแผ่นดินบนบัลลังก์ของผู้พิพากษาและก็เริ่มเหม่อมองขึ้นมา
เป่หมิงโม่ถือได้ว่าปลอดภัยไม่มีอันตรายแล้ว งั้นเรื่องราวต่อจากนี้ไปควรจะเผชิญหน้ายังไงต่อดีล่ะ? เธอเหมือนกับว่าเริ่มกังวลใจขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
และความกังวลใจแบบนี้ก็ไม่ได้เพราะว่าใครอื่น แต่กลับเป็นพ่อแท้ ๆ ของตัวเองหลี่เชิน รวมทั้งถังเทียนจื๋ออีกด้วย
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?”
เสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหูของเธอ และทำให้เธอรู้สึกว่าอุณหภูมิรอบตัวลดลงหลายองศาทันที
พอเธอตั้งสติกลับมาได้ แล้วเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายคนนี้ที่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเหมือนจะสามารถเจอหน้ากันได้ทุกวัน
และตอนนี้พวกเขาใกล้กันขนาดนี้ ไม่ต้องเหมือนอย่างตอนที่อยู่ที่สถานีตำรวจ ที่เหมือนกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นคอยขวางกั้นแยกพวกเขาไว้อีกแล้ว
“คุณ เมื่อกี้คุณถามอะไรฉันเหรอคะ?” กู้ฮอนพอเผชิญหน้ากับเขากลับรู้สึกตื่นเต้นจนไม่รู้จะทำตัวยังไงขึ้นมา
เป่หมิงโม่มองท่าทางของเธอ แล้วยิ้มน้อย ๆ “ดูท่าแล้วเมื่อกี้คุณก็แค่กำลังเหม่อลอยอยู่ใช่ไหม อยู่ตรงนี้ผมขอแสดงความขอบคุณจากใจจริงต่อคุณ ผมรู้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้คุณต้องยุ่งวุ่นวายเพราะผมไปไม่น้อยเลย”
“นี่คุณพูดอะไรกัน คุณก็ต้องมาเกิดเรื่องนี้ขึ้นเพราะฉันทั้งนั้น ตอนนี้คุณกลับมามีอิสระอีกครั้งแล้ว ใจของฉันก็สามารถวางลงได้แล้ว” กู้ฮอนแสร้งยืดแขนออกอย่างผ่อนคลาย
***
สิ่งที่กู้ฮอนทำคือกำลังปิดบังจิตใจที่สับสนวุ่นวายของตนเองตอนนี้อยู่
เพียงแต่ว่า ในตอนที่เธอกำลังยืดแขนออกไปนั้น อยู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองแน่นขึ้น จากนั้นใบหน้าของเธอก็แนบอยู่กับอกกว้างแข็งแกร่งของเป่หมิงโม่แล้ว
ใบหน้าของเธอแดงขึ้นทันที จังหวะหัวใจก็เต้นเร็วขึ้น คนทั้งคนกลายเป็นทำตัวไม่ถูก หรือพูดอีกอย่างคือตัวเองได้สูญเสียการควบคุมตัวเองไปแล้ว
“นี่คุณ จะทำอะไรน่ะ อย่าลืมว่าตอนนี้ยังอยู่ในศาลนะ คุณนี่มันดาวพระเคราะห์เพิ่งถอยไปใจลามกก็มาเลยนะ รีบปล่อยฉันออกเดี๋ยวนี้ ฉันหายใจไม่ออกแล้ว…..”
แต่ว่าเป่หมิงโม่ไม่ได้ฟังที่เธอพูด แต่กลับยิ่งกอดรัดเธอให้แน่นยิ่งขึ้นไปอีก
ในเวลานี้ ข้างหลังพวกเขาก็มีเสียงผิวปากลอยมา
มันเป็นเสียงเป่าของหยินปู้ฝัน
ในตอนที่เห็นภาพเมื่อกี้นั้น พูดตามตรง ในใจของเขานั้นรู้สึกจี๊ด ๆ ขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่ว่าอย่างรวดเร็วเขาก็ปกปิดความรู้สึกแบบนี้ไปได้อย่างดีมาก ๆ
ระหว่างเขากับกู้ฮอนคงถูกกำหนดมาแล้วว่าชาตินี้คงเป็นได้แค่เพื่อนกัน วาสนาที่จะได้เป็นสามีภรรยาต่อกันนั้นคงไม่มีแล้ว
และในช่วงเวลาแบบนี้ สิ่งที่ตัวเองสามารถมอบให้พวกเขาได้ก็คงมีแต่อวยพรแล้ว
พอได้ยินเสียงผิวปาก กู้ฮอนก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากขึ้นไปอีก เธอไม่ได้อยากจะออกห่างจากเป่หมิงโม่ทันทีอีกแล้ว แต่กลับเอาหน้าทั้งหน้าซุกซ่อนไว้ในแผงอกกว้างของเขาแทน
ความรู้สึกของเป่หมิงโม่ในตอนนี้ก็สับสนวุ่นวายด้วยเช่นกัน
ผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมอกตัวเองคนนี้ ถึงจะเป็นคนที่ตัวเองสมควรจะต้องปกป้องให้ดี ทะนุถนอมให้มาก ๆ และใช้ความรู้สึกมาปกป้องดูแลอย่างแท้จริงต่างหาก
เพียงแต่ว่าในช่วงเวลาที่ยาวนานก่อนหน้านี้นั้น ตัวเองยังไม่เข้าใจต่างหาก
“นี่ นี่ นี่พวกคุณทั้งสองคนถ้าหากว่าเกิดอารมณ์ขึ้นมาแล้วละก็ เชิญกลับไปก่อนดีไหม ไปปิดประตูลงใครก็ไม่รบกวนหรอก แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมจะเตือนก็คือ ตอนนี้พวกคุณยังอยู่ในศาลอยู่นะ”
หยินปู้ฝันยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วพูดขึ้นอย่างสนุก
เป่หมิงโม่มาคิดคิดดูแล้วก็ถูก เวลาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตอนนี้นี่
กู้ฮอนโดยปล่อยออกตัวแล้ว ก็รีบร้อนจัดเสื้อผ้าผมเฝ้าของตัวเองให้เรียบร้อยสักหน่อย “เอ่อฉัน ฉันยังมีธุระอื่นอีก……” พูดแล้วเธอก็กะว่าจะเผ่นหนี
ในเวลาอย่างนี้ เธอยิ่งต้องการหาที่สักแห่งให้ตัวเองได้สงบสติลงสักหน่อย ไปสงบสติอารมณ์ดี ๆ การเผชิญหน้ากับเป่หมิงโม่คนปัจจุบัน และหลังจากนี้ระหว่างพวกเขาควรจะมีความสัมพันธ์ยังไงกันต่อไป?
“แอ๊ะ แอ๊ะ อย่าเพิ่งไปซิ เราอุตส่าห์ลากตัวเขาออกมาจากข้างในได้อย่างยากลำบากแล้ว จะปล่อยเขาไปอย่างง่ายดายแบบนี้ได้ยังไง” ในเวลานี้หยินปู้ฝันเดินมาถึงข้างกายกู้ฮอน แล้วยื่นมือไปขวางเธอไว้
“ฉันรู้อยู่แล้ว ว่าเจ้าเด็กอย่างนายนี่คงจะพูดง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้ นายวางใจเถอะ ฉันไม่มีทางเอาเปรียบนายแน่ ช่วงที่ผ่านมานี้นายคนจะโดนทอดทิ้ง น่าจะหาเงินได้ไม่เท่าไหร่ละซิ”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นนายต้องทดแทนความเสียหายของฉันด้วย ไม่งั้นละก็ ฉันจะไปฟ้องร้องที่คุณป้าแน่ ๆ ” หยินปู้ฝันแสร้งทำเป็นท่าทางจริงจัง
“ได้ เรื่องนี่คุยกันง่าย ฉันตัดสินใจจะให้เงินทุนสำนักงานกฎหมายปู้ฝันของนาย แล้วเปลี่ยนสำนักงานที่ทรุดโทรมของนายตอนนี้สักหน่อย ให้มันใหญ่ขึ้นอีกเท่าหนึ่งนายว่าเป็นไงล่ะ?
หยินปู้ฝันขมวดคิ้วน้อย ๆ “เป่หมิงโม่ มีคนแบบนายที่ตอบแทนบุญคุณอย่างกับแก้แค้นกันแบบนี้ด้วยเหรอ จะทำให้มันใหญ่ขนาดนี้ทำไม? แค่ตอนนี้ฉันก็จะอวกอยู่แล้ว แล้วพูดอีกอย่าง แม่ฉันก็รออุ้มหลานแทบไม่ไหวอยู่แล้ว ดูซิแม่ของลูกที่น่าสงสารของฉันยังหาไม่เจอเลย ยังไงก็ต้องให้เวลาฉันไปจัดการกับปัญหานี้สักหน่อยซิ”
เป่หมิงโม่เบ้ปากน้อย ๆ “นายน่ะ เหมือนตอนเด็กไม่มีผิดเลย จิตใจทะเยอทะยานในด้านการงานไม่มีเลยสักนิด นายเป็นแบบนี้แล้วใครจะยังกล้ามาคบกับนายอีก ฉันว่านะ คราวนี้คุณป้าได้ผิดหวังจริง ๆ แล้วล่ะ”
***
หยินปู้ฝันมองเขาตาขาวทีหนึ่ง “ตอนนี้นายทำไมปากพล่อยขนาดนี้แล้วเนี่ย อย่างอื่นอย่าเพิ่งพูดเลย เลี้ยงข้าวเราก่อนสักมื้อค่อยว่ากัน พูดมาตั้งครึ่งวัน ฉันปากแห้งไปตั้งนานแล้วเนี่ย”
เป่หมิงโม่หันหน้าไปมองกู้ฮอน “ตอนนี้คงยังไม่ถึงเวลารับลูกเลิกเรียนหรอกมั้ง และถึงแม้คุณจะกลับไปผมคิดว่าก็คงจะไม่มีเรื่องอะไรให้ทำหรอก ไปด้วยกันเถอะนะ ก็ไปที่โรงแรมแมนดารินเลยแล้วกัน คุณเห็นว่าเป็นยังไงบ้าง”
“โรงแรมของนายเหรอ……OK สมแล้วที่เป็นนักธุรกิจหน้าเลือด จะเลี้ยงข้าวยังจะเลือกที่ของตัวเองเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเงินสักบาทอีก งั้นตอนนี้ฉันก็ล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งละกัน” ในเวลาแบบนี้หยินปู้ฝันไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอหรอก
เผ่นแนบไปไม่เห็นแม้แต่เงาเลย
ที่จริงเวลานี้ กู้ฮอนก็ยังไม่ได้แสดงออกอะไร
“คุณยังยืนนิ่งอึ้งอยู่อีกทำไม ตอนนี้ผมก็ได้แต่ต้องนั่งรถของคุณแล้วนะ ถ้าหากคุณไม่อยากไปแล้วละก็ คาดว่าเจ้าหมอนั่นคงจะต้องกินอย่างราชาแล้วไม่จ่ายเงินแน่ ๆ พอถึงตอนนั้นคุณคงไม่อยากจะไปเอาเขาออกมาจากสถานีตำรวจอีกหรอกนะ” คำพูดของเป่หมิงโม่ทำให้กู้ฮอนต้องเดินตามทางเดินที่เขาวาดออกมาอย่างว่าง่าย
ในระหว่างทางไปโรงแรมแมนดารินนั้น เป่หมิงโม่ที่นั่งอยู่ที่ที่นั่งข้างคนขับก็ได้ปรับเบาะหลังลง แล้วเขาก็บิดขี้เกียจอย่างสุด ๆ ไปทีหนึ่ง
“ช่วงเวลาที่อยู่ข้างในนั้น ทำผมอดกลั้นแทบแย่แล้วจริง ๆ นะ……”
กู้ฮอนกำลังขับรถอยู่ ในสมองของเธอตอนแรกก็มีความคิดฟุ้งซ่านบ้างอยู่แล้ว พอหลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้แล้ว มือก็อดไม่ได้ที่จะสั่นขึ้นมาเล็กน้อย
รถของเธอก็สั่นน้อย ๆ ตามไปด้วย
จากนั้นรถข้างหลังก็กดแตรแสดงความประท้วงให้อย่างโกรธ ๆ
เธอรีบกำพวงมาลัยให้แน่น และในขณะเดียวกันที่หน้าผากก็มีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย
“ทำไมขับรถมานานขนาดนี้แล้ว แต่ความชำนาญกลับไม่พัฒนาบ้างเลย นี่ผมต้องช่วยลูก ๆ ทั้งสามคนของเราปาดเหงื่อสักครั้งแล้วจริง ๆ หรือกระทั่งผมเริ่มสงสัยแล้วว่าพวกเขาอดทนผ่านมาได้ยังไงกัน” สำหรับอุบัติเหตุเล็กน้อยเมื่อกี้นั้น เป่หมิงโม่ไม่ได้แสดงอากัปกิริยาอะไรออกมา
แต่ความรู้สึกผ่อนคลายแบบนั้นกลับไม่จางหายไป เขาเหล่ตามองมาที่กู้ฮอน
“หุบปากไปเลย เมื่อกี้ถ้าคุณไม่พูดไปเรื่อยอยู่ข้าง ๆ แล้วมันจะเกิดอุบัติเหตุเล็ก ๆ นี้ขึ้นได้ยังไง?” กู้ฮอนตอบกลับอย่างเคือง ๆ ไปประโยคหนึ่ง
“ผมเหรอ? ผมพูดอะไรไปเรื่อยล่ะ?” เป่หมิงโม่มีความรู้สึกสงสัยอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ขึ้นมาทันที แล้วย้อนกลับไปคิดคำพูดเมื่อกี้ของตัวเองอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ก็ไม่พบว่ามีส่วนไหนที่ไม่ถูกต้องนี่
หรือว่าช่วงหลายวันมานี้ผู้หญิงคนนี้ยุ่งจนสติเลอะเลือนแล้วเหรอ?
“ผมขอร้องขอความเป็นธรรมได้ไหม?”
“ไม่ได้ ฉันยังนึกว่าคุณอยู่ข้างในตั้งหลายวันมาขนาดนี้ จะแก้นิสัยได้แล้วซะอีก แต่ว่าคิดไม่ถึงว่าพอออกมาได้แล้วก็กลับคืนสู่สภาพเดิมอีกแล้ว ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้ละก็ ฉันน่าจะให้คุณอยู่ในนั้นเพิ่มอีกหลาย ๆ วันไปเลย”
เป่หมิงโม่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าตกลงเมื่อกี้ตัวเองพูดอะไรไปกันแน่
“อ๋าย ผมว่าทนายใหญ่กู้ครับ ที่ศาลเขาตัดสินโทษอย่างหนึ่งยังต้องให้จำเลยรู้ว่าตกลงเรื่องมันเป็นมายังไง แต่ทำไมพอมาถึงที่คุณ อะไรก็ไม่พูดก็ตัดสินโทษโดยตรงเลยแล้วละ แบบนี้ไม่ได้นะ ผมจะต้องรู้เรื่องให้ได้ ไม่งั้นอาหารมื้อนี้คุณต้องเป็นคนจ่ายแล้วนะ”
เป่หมิงโม่พูดแล้ว ก็ปรับเบาะหลังให้ตั้งตรงขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็แสดงออกด้วยท่าทางแน่วแน่มากและหันไปมองทางกู้ฮอน
และแสดงท่าทางจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ด้วย
นี่มันตัวเองหาเรื่องให้กับตัวเองจริง ๆ หรือกระทั่งกู้ฮอนรู้สึกว่าถ้าเมื่อกี้ตัวเองไม่พูดประโยคนั้นออกไปก็คงจะดีแล้ว และก็คงไม่ต้องให้เจ้าหมอนี่สามารถหาเหตุผลมาถกเถียงกับตัวเองได้อีก
ระหว่างที่ถกเถียงกับเขา ก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะเสียเปรียบ
***
“นี่ พวกนายสองคนกำลังทำอะไรเชื่องช้าอยู่เนี่ย ฉันมาถึงแล้วนะเนี่ยทำไมยังไม่เห็นเงาของพวกนายอีก?”
หยินปู้ฝันนั่งอยู่ในห้องVIPส่วนตัว แล้วก็โทรศัพท์สายหนึ่งไปเร่งพวกเขาอย่างเบื่อหน่ายมาก
“พวกเราจะถึงเดี๋ยวนี้แล้ว หรือไม่นายตามคุณป้ามาด้วยเลยดีไหม เมื่อก่อนฉันเคยพูดว่าจะหาโอกาสให้พวกเธอได้เจอกันสักครั้ง แต่เหมือนกับว่าช่วงก่อนจะไม่ค่อยราบรื่น ฉันว่างั้นก็เอาเป็นวันนี้เลยละกัน”
หยินปู้ฝันพยักหน้า “ดูท่านายยังไม่ได้ลืมเรื่องพวกนี้ไป ได้ งั้นเดี๋ยวฉันเรียกเขามาเอง ฉันว่า พวกนายก็อย่ามัวแต่เชื่องช้าอยู่เลย ตอนนี้นายก็ได้ออกมาแล้ว วันเวลาต่อไปยังยาวไกลอยู่นะ……”
“รู้แล้วน่ะ” เป่หมิงโม่ไม่รอให้เขาพูดจบ ก็วางสายลงเลย
เมื่อกี้เขาเปิดลำโพง คำพูดเมื่อกี้ของหยินปู้ฝันก็โดนกู้ฮอนฟังเข้าไปหมดแล้ว ในเวลานี้เธอยังคงพันเกี่ยวอยู่กับการซักไซ้ไล่เลียงของเป่หมิงโม่อยู่เลย แล้วตอนนี้หยินปู้ฝันก็เสริมมาขึ้นอีกประโยคหนึ่ง
สองคนลูกพี่ลูกน้องวันนี้เป็นอะไรกันไปหมดแล้ว หรือว่าต่างก็ปล่อยเธอไปไม่ได้เหรอ…..
พอเผชิญหน้ากับความเงียบไม่พูดอะไรของกู้ฮอน เป่หมิงโม่ก็ไม่ซักไซ้อะไรต่ออีก ถึงแม้เขาจะชอบมองท่าทางตอนที่กู้ฮอนพูดอะไรไม่ออกแล้วโกรธจัดก็ตาม
*
“ในที่สุดพวกนายสองคนก็มาสักที ปล่อยฉันหิวน่ะไม่เป็นไร แต่ว่าถ้าปล่อยแม่ฉันหิวไปด้วยนะ ฉันก็จะสู้สุดชีวิตกับนายไปเลยนะ เป่หมิงโม่”