บทที่ 1027 คนไม่หาเรื่อง แต่เรื่องมาหาคน
กู้ฮอนและเป่หมิงโม่ผลักประตูห้องVIPส่วนตัวออก ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงบ่นอย่างตำหนิของหยินปู้ฝันดังขึ้นมาซะก่อนแล้ว เขาคอยเอานิ้วมือเคาะที่นาฬิกาข้อมือของตัวเองไม่หยุด “พวกนายดูเวลาดี ๆ ซิ ตั้งแต่สายโทรศัพท์ที่ฉันโทรไปให้พวกนายแล้วมันก็ผ่านมาครึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ แล้วนะ บอกฉันมาซิว่า เวลาครึ่งชั่วโมงนี้พวกนายมัวแต่ไปทำอะไรกันอยู่? ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่า พวกนายน่ะมีเวลากันอีกเยอะแยะ……”
คำพูดเพิ่งพูดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของหยินปู้ฝันก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาแล้ว “โอ้ คุณป้ามาแล้วเหรอครับ”
พอเห็นคนที่ตามหลังเป่หมิงโม่และกู้ฮอนเข้ามานั้น ก็คือแม่ของเป่หมิงโม่หวีหรูเจี๋ย และแน่นอนว่ามีโม่จิ่งเฉิงที่คอยตามอยู่ข้างกายเธอตลอดด้วย
ตามหลังเสียงของหยินปู้ฝันที่หยุดลง ต่อจากนั้นก็คือเสียงที่ฟังดูค่อนข้างร้อนใจดังขึ้นมาจากข้างในห้อง “พี่ค่ะ……”
ในเวลานี้แม่ของหยินปู้ฝันก็ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้ว และพาเท้าที่ก้าวเดินไปอย่างดีอกดีใจไปทางหวีหรูเจี๋ย
นี่ถือว่าเป็นการพบหน้ากันอีกครั้งในรอบหลายปีของทั้งสองพี่น้องเลย
การพบกันครั้งนี้เหมือนมีความรู้สึกว่าห่างกันมาเป็นชาติภพแล้วจริง ๆ
พวกเขากอดกันร้องไห้สะอึกสะอื้น อยู่ในช่วงเวลาแบบนี้บางทีนี่อาจจะเป็นการแสดงความรู้สึกที่สุดแบบหนึ่งแล้ว
*
“กู้ฮอน เธอกำลังคิดอะไรอยู่?” เป่หมิงโม่ยังคงนั่งอยู่ในที่นั่งข้างคนขับ ตอนนี้พวกเขาได้เดินทางออกมาจากข้างในโรงแรมแมนดารินแล้ว
ช่วงไม่รู้ตัวอะไรก็มาถึงเวลาที่ควรจะไปรับเฉิงเฉิงและหยางหยางเลิกเรียนแล้ว
ตอนแรกกู้ฮอนอยากจะไปรับพวกเขาเองคนเดียว แต่เป่หมิงโม่ได้แต่คอยแสดงออกว่าตัวเองอยากจะเจอลูก ๆ ทั้งสองคนมาก และแน่นอน ในเวลาเดียวกันเขาก็อยากจะเจอลูกสาวคนสุดท้องจิ่วจิ่วอีกด้วย
ช่วงหลายวันที่เขาอยู่ในสถานีตำรวจมานี้ คนที่คอยอยู่เคียงข้างจิตใจเขามามากที่สุดนั้นคือลูก ๆ ทั้งสามคน
กู้ฮอนหาเหตุผลไม่เจอ และไม่อยากจะเหตุผลใดมาให้เขากับลูก ๆ ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว
เธอฟังคำถามของเป่หมิงโม่แล้วก็ค่อย ๆ ครุ่นคิดตาม “ฉันกำลังคิดเรื่องความรักระหว่างญาติพี่น้อง เมื่อกี้คุณไม่เห็นว่าในช่วงวินาทีที่คุณป้าหรูเจี๋ยกับแม่ของปู้ฝันพวกเขาพี่น้องเจอกันนั้นช่างทำให้คนซาบซึ้งมากจริง ๆ ใช่ไหม? วันนี้ คุณได้ทำการตัดสินใจที่ถูกต้องทุกอย่างมากเลยนะ”
“ในเมื่อเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง งั้นคุณควรจะใช้อะไรมาตอบแทนผมล่ะ?” เป่หมิงโม่หันหน้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้มชั่ว ๆ บนใบหน้า
“คุณฝันไปเถอะ!”
***
กู้ฮอนส่งสายตาพิฆาตไปให้เป่หมิงโม่ “นี่ถ้าคุณยังคงทำตัวทะลึ่งอย่างนี้อีกละก็ ฉันก็จะถีบคุณทีเดียวให้ตกจากรถไปเลย”
เป่หมิงโม่ก็แค่อยากจะหยอกเธอเล่นตั้งแต่แรกเท่านั้น ช่วงเวลาที่เขาอยู่ในนั้นไม่ถือว่าสั้น นอกจากคนที่รับผิดชอบเป็นผู้คุมดูแลเขาคนนั้นแล้ว ก็ไม่มีใครพูดคุยกับเขาเลยจริง ๆ
ถึงแม้กู้ฮอนจะมาเยี่ยมตัวเองบ่อย ๆ แต่ว่าสิ่งที่คุยกันก็มีแค่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับคดีของตัวเองเท่านั้น
“OK” เป่หมิงโม่ยกมือขึ้นมาแล้วทำท่าทางรูดซิปปากตัวเองทีหนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองจะไม่พูดอะไรสักคำแล้ว
แบบนี้กู้ฮอนถึงได้เริ่มขับเคลื่อนรถยนต์ออก
*
ตั้งแต่คราวก่อนที่หยางหยางสั่งสอนจินเล่ยไปแล้วนั้น ถือได้ว่าอยู่ในโรงเรียนก็มีชื่อเสียงอีกแล้ว ใคร ๆ ก็รู้ว่าในชั้นเด็กเล็กนั้นมีแก๊งสองคนที่ต่อสู้เก่งมาก
และหัวหน้าแก๊งสองคนนี้ก็คือคนที่มีชื่อว่าเป่หมิงซีหยาง
และแน่นอนที่ทำให้เขามีชื่อเสียงไม่ใช่เพียงแค่นี้ ที่จริงก่อนหน้านี้พวกเขาก็ได้มีชื่อเสียงในโรงเรียนมาครั้งหนึ่งแล้ว นั่นก็คือเมื่อครั้งช่วงงานแสดงวัฒนธรรมของโรงเรียนนั่นเอง
การแสดง ‘สีสันสุดหรู’ ของพวกเขานั้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในโรงเรียนรวมทั้งครูอาจารย์ต่างก็ต้องตื่นตกใจไปด้วยครั้งหนึ่งเลยจริง ๆ
ประธานกรรมการบริษัทเป่หมิงกรุ๊ปเป่หมิงโม่ และดาราไอดอลผู้มีความสามารถที่กำลังโด่งดังอย่างแอนโทนี่ก็ยังมาในงานอีกด้วย นี่มันถึงแม้จะจ่ายเงินก็ใช่ว่าจะได้เห็นกันได้
แต่ว่าสำหรับเฉิงเฉิงและหยางหยางมาพูดแล้ว โลกภายนอกมองพวกเขาเป็นเพียงแค่มีพ่อเป็นประธานคนหนึ่งและมีอาเป็นดาราเฉย ๆ เท่านั้น
แน่นอนว่าเฉิงเฉิงจะดีกว่าหยางหยางนิดหน่อย เพราะว่าเขาไม่ใช่มีเพียงพวกนี้ แต่หลัก ๆ คือผลการเรียนของเขา ฉายาเด็กน้อยมหัศจรรย์จอมอัจฉริยะคนหนึ่งก็มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ว่าหยางหยางกลับอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่‘เงียบ ๆ ไม่มีข่าวคราว’อะไรมาโดยตลอด หรือบางทีเขาอาจจะมีฉายาอันหนึ่งว่า ‘ตัวร้ายสร้างเรื่อง’ วนไปมาอยู่ในระหว่างครูประจำชั้นเรียนของเขาเท่านั้น
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเดินไปถึงไหนก็มักจะรู้สึกว่าจะมีคนคอยซุบซิบนินทาอยู่ข้างหลังเขา
พูดไม่ถูกว่าเป็นการหัวเราะเยาะ หรือว่าเป็นการนับถือกันแน่
แต่ไม่ว่ายังไงก็ช่างมันเถอะ พวกชื่อเสียงของแบบนี้สำหรับหยางหยางแล้วมันไม่ใช่ของสำคัญอะไรอยู่แล้ว
อย่างรวดเร็วก็มาถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว หลังจากที่เฉิงเฉิง หยางหยางและจ้าวจิงอี้พบหน้ากันที่สนามหญ้าเหมือนเช่นเคยแล้ว พวกเขาก็เตรียมตัวเดินไปทางหน้าประตูโรงเรียน
แต่ในเวลาแบบนี้ ที่ข้างหลังพวกเขากลับมีเสียงเสียงหนึ่งลอยมา “เจ้าเด็กเป่หมิงซีหยาง ให้ฉันหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“มีคนกำลังเรียกฉันอยู่เหรอ?” หยางหยางเอามือใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง เขาไม่ได้หันกลับไปมอง แต่กลับหันไปถามเฉิงเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ
“ฟังแล้วเหมือนเรียก เป่หมิงซีหยาง นายคงไม่ได้ไปขัดใจใครเข้าอีกหรอกนะ?” ไม่รอเฉิงเฉิงตอบ จ้าวจิงอี้ก็พูดขึ้นก่อนแล้ว
ภาพของหยางหยางที่ในใจของเธอนั้น เหมือนกับว่าไม่ค่อยมีภาพที่ดีเท่าไหร่นักมาตลอด
แต่ว่าก็ไม่โทษเขาหรอก
การมีเฉิงเฉิงเป็นแบบอย่างคนหนึ่งนั้น ถึงจะเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็คงจะมีข้อเสียอะไรอยู่บ้างไม่มากก็น้อยแหละมั้ง
“หรือว่าเธอจะมองฉันในแง่ดีสักหน่อยบ้างไม่ได้เหรอ ถ้าหากฉันอยู่ดีมีสุขทั้งวันเธอก็จะรู้สึกไม่สบายแล้วใช่ไหม?” หยางหยางตอกกลับไปหนึ่งประโยค
และในเวลาเดียวกัน ทั้งสามคนก็หมุนตัวกลับไปดู
โลกนี่มันช่างกลมจริง ๆ ศัตรูมักจะเจอกันบ่อย เห็นเพียงที่ห่างจากพวกเขาไปไม่ไกล มีเด็กสามคนที่โตกว่าพวกเขาหน่อยกำลังเดินมาทางพวกเขา
เฉิงเฉิงมองทีเดียวก็ดูออกแล้วว่า นี่มันเป็นพวกจินเล่ยกับลูกน้องอีกสองคนของเขา พวกเขาเรียกให้หยางหยางหยุด จะต้องไม่มีเรื่องดีแน่ ๆ การเผชิญกับคนแบบนี้ไม่ต้องสนใจพวกเขาก็พอแล้ว ไม่งั้นพวกเขาก็จะคอยแต่มาหาเรื่องอยู่เรื่อย ๆ
“หยางหยาง อย่าไปสนใจพวกเขาเลย ฉันคิดว่าคุณแม่น่าจะมารอพวกเราที่หน้าประตูแล้วนะ อย่ามีเรื่องกันดีกว่า” เฉิงเฉิงว่าแล้วก็หมุนตัวเดินไปทางหน้าประตูโรงเรียนต่อ
***
หยางหยางมองไปที่พวกจินเล่ยแล้ว ก็อดที่จะมีรอยยิ้มน่าสมเพชออกมาไม่ได้ “ฉันยังนึกว่าเป็นใคร ที่แท้เป็นพวกขี้แพ้สามคนนี้นี่เอง ไม่สนก็ไม่สน ในเมื่อวันนี้ฉันไม่มีอารมณ์อะไรจะไปจัดการกับพวกมัน”
เขารวบรวมเสียงให้สูงขึ้นสองคีย์แล้วตะโกนไปทางพวกนั้น “วันนี้ฉันไม่มีเวลาว่างมาสนใจพวกแก เพราะฉะนั้นพวกแกก็รู้ตัวหน่อยนะ ทางที่ดีอย่ามากวนอยู่ต่อหน้าฉันดีไหม ฉันยังต้องรีบกลับไปกินข้าวที่บ้านอีก”
พูดจบก็หมุนตัวเดินไปทางหน้าประตูโรงเรียนพร้อมกับเฉิงเฉิง
พวกจินเล่ยที่อยู่ไม่ไกล ถึงแม้จะเคยโดนหยางหยางจัดการมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ในใจกลับรู้สึกไม่พอใจ วันนี้ที่เรียกให้หยางหยางหยุดก็เพราะว่าเตรียมตัวจะมาแก้แค้นคืน
พวกเขาจะฟังคำพูดหยางหยางที่ให้เลิกแล้วต่อกันซะที่ไหน ก็เลยรีบเร่งฝีเท้าและตามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วยื่นมือออกมาขวางหน้าพวกเขาเอาไว้ “พวกแกสามคนอยากจะหนีเหรอ จะบอกอะไรแกให้นะ มามีเรื่องกับฉันแล้วพวกแกก็อย่าคิดว่าจะได้อยู่ในโรงเรียนนี้อย่างสงบสุขต่อไปอีกเลย”
“ดูท่าแกนี่แผลหายแล้วก็ลืมความเจ็บปวดไปแล้วใช่ไหม แกถือว่าตัวเองเป็นใครกัน กล้ามาขวางอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันขอเตือนแกนะ ทางที่ดีถอยทางเดินให้เราเดินผ่านไปจะดีกว่า ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะมาจัดการกับพวกแก” หยางหยางยังคงมีท่าทางไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเช่นเคย
พูดแล้ว เขาก็เดินไปข้างหน้าแล้วเอาเฉิงเฉิงกับจ้าวจิงอี้มาอยู่หลังเขา นี่ไม่ใช่เพราะว่าเขาจะปกป้องสองคนนั้น แต่กลับเป็นเพราะว่าถ้าหากลงมือกันจริง ๆ แล้วละก็ พวกเขาสองคนจะได้ไม่เป็นตัวถ่วงของตัวเอง
หนังตาของจินเล่ยกระตุกน้อย ๆ ตั้งแต่ที่ตัวเองเสียเปรียบไปเมื่อคราวที่แล้ว เขาก็รู้สึกตกใจขึ้นมาบ้างจริง ๆ ไม่ว่ายังไงก็คิดไม่ออกว่า ตัวเองจะมาโดนคนที่ตัวยังเตี้ยกว่าตัวเองตีเอาได้ยังไง
คิดแล้วก็รู้สึกว่าช่างน่าสมเพชขึ้นมาบ้างจริง ๆ ไม่ได้การแล้ว ศักดิ์ศรีอันนี้ต้องกู้กลับคืนมาให้ได้ ไม่งั้นจะอยู่ในโรงเรียนนี้ต่อไปได้ยังไงกัน
เพราะฉะนั้น วันนี้เขาตั้งใจจะมา‘จัดการ’หยางหยางให้จงได้
“แกไม่มีอารมณ์จะมาจัดการพวกฉัน?” จินเล่ยหัวเราะจนปากเบี้ยว “อย่านึกว่าวันนั้นแกตีพวกเราไปแล้ว แกก็นึกว่าหมดเรื่องแล้วนะ ฉันจะบอกอะไรแกให้ ฉันกับแกมันยังไม่จบ วันนั้นก็เป็นเพียงแค่เพราะว่าพวกเราไม่สบายถึงได้ให้เด็กอย่างแกอยู่เหนือลมได้ วันนี้แกยังกล้าสู้กับเราสักยกไหม คนที่แพ้ ก็ต้องลอดใต้หว่างขากางเกงของคนที่ชนะต่อหน้าคนทั้งหมด แกว่าเป็นไง?”
“ใช่ ตกลงแกกล้าไหม? คงไม่ใช่ว่าจะกลัวขึ้นมาแล้วนะ ฮา ฮา” เด็กชั่วสองคนข้าง ๆ จินเล่ยก็ช่วยกันยั่วยุขึ้นมา
พอเฉิงเฉิงและจ้าวจิงอี้ได้ยินเช่นนี้ ดูท่าวันนี้ถ้าพวกเขาไม่รู้แพ้รู้ชนะแล้วละก็ คงจะจัดการเรื่องนี้ยากแล้วจริง ๆ แต่ว่า เขาก็ยังคงพยายามสุดความสามารถเพื่อจะหยุดยั้งไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
“หยางหยาง อย่าไปสนใจพวกเขา เรากลับบ้านกันเถอะ”
พูดแล้ว เขาก็จับมือของหยางหยาง และพาจ้าวจิงอี้กะว่าจะเดินอ้อมพวกเขาไป
“นี่พวกแกอยากจะหนีเหรอ? จะบอกพวกแกให้ไม่มีทางแน่นอน! นี่พวกฉันกำลังจะคิดบัญชีกับเป่หมิงซีหยาง พวกแกอย่ามายุ่งเรื่องคนอื่นที่นี่ ระวังก่อนที่พวกฉันจะจัดการเขา เราจะจัดการแกซะก่อนนะ!” จินเล่ยพูดกับเฉิงเฉิงอย่างโหดจัด และยื่นมือออกไปผลักเขาทีหนึ่งในเวลาเดียวกัน
และแรงที่ใช้นี่ก็ไม่ใช่น้อย ๆ เฉิงเฉิงไม่ได้ยืนอย่างมั่นคง จึงเซถอยหลังไปหลายก้าว ยังดีที่จ้าวจิงอี้จับตัวไว้ได้ทัน ไม่งั้นคงจะล้มลงกับพื้นแล้ว
จินเล่ยมองเฉิงเฉิงทีหนึ่ง เหมือนอย่างกับหาความมั่นใจกลับมาให้ตัวเองได้แล้วยังไงอย่างงั้น ในตอนแรกที่เขาจะมาแก้แค้นนั้น ในใจยังมีความห่วงกังวลอยู่บ้างอยู่เลย
แต่ว่าตอนนี้ความห่วงกังวลแบบนี้ได้หายไปหมดแล้ว เขาไม่เชื่อว่าลำพังด้วยหมัดตัวเองจะไม่สามารถจัดการเจ้าเด็กคนหนึ่งที่เล็กและอ่อนแอกว่าตัวเองไม่ได้
“นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” พอหยางหยางเห็นเฉิงเฉิงโดนรังแกแล้ว ก็มีแรงโกรธแรงหนึ่งพุ่งขึ้นมาทันที
***
เฉิงเฉิงโดนจินเล่ยผลักจนเกือบจะล้ม นี่มันทำให้หยางหยางโกรธแล้ว มันไม่ใช่การยั่วยุเขาต่อหน้าชัด ๆ เหรอ
“อะไรของแกนี่ ฉันไม่อยากจะสนใจแก แต่แกกลับมายั่วยวนเองเลยนะ” หยางหยางเดินไปรอจินเล่ยตรงหน้าของเขา
และในเวลานี้จินเล่ยดูมีท่าทีได้ใจ เขาเอามือขึ้นมากอดไว้ตรงหน้าอกแล้วมองหยางหยางที่กำลังแหงนหน้ามองเขาด้วยท่าทาง ‘มองจากบนลงล่าง’
เขาคิดยังไงก็คิดไม่ตกว่า คราวที่แล้วตัวเองทำไมถึงได้โดนเด็กที่เตี้ยกว่าตัวเองตีเอาได้ขนาดนั้น
ความรู้สึกของเขาในวันนี้นั้นดีมาก ๆ คิดว่าวันนี้จะต้องสามารถกู้ศักดิ์ศรีกลับมาให้ได้อย่างแน่นอน
เรื่องราวนั้นต่าง ๆ สิ่งที่คิดไว้มักจะอิ่มเอมสวยงาม แต่ความจริงนั้นมักจะผอมแห้งเหลือแต่กระดูก
จินเล่ยมองหยางหยางด้วยใบหน้ารังเกียจ “เจ้าเด็กน้อย ฉันรู้สึกว่าแกน่าจะมาลอดใต้หว่างขาฉันไปโดยตรงเลยดีกว่า แบบนี้แกก็จะได้ไม่ต้องโดนต่อยยกหนึ่งแล้ว”
“ฮา ฮา ใช่ ใช่ ลูกพี่ของเราก็ไม่ใช่คนไม่มีน้ำใจ ขอแค่แกลอดผ่านไปดี ๆ ก็จะไม่มีเรื่องอะไรทั้งนั้นแล้ว อ่อใช่แล้ว และก็ต้องลอดของพวกเราไปด้วยนะ” ลูกน้องทั้งสองคนของจินเล่ยก็พูดอย่างกับสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือไปด้วย
จิตใจเคียดแค้นของพวกเขาไม่ได้หนักเท่าลูกพี่ แต่ว่าเมื่อมีเปรียบให้เอาก็ลวดเอาด้วยสักหน่อย
“ยังไม่แน่ว่าใครจะต่อยใครเลย……” หยางหยางกวาดตามองพวกเขาทีหนึ่ง แล้วหมัดของเขาก็เหวี่ยงตามมาติด ๆ ไปที่จินเล่ย
หนึ่งหมัดนี้ทำให้จินเล่ยรู้สึกไม่ทันได้ระมัดระวังเลย
หมัดของหยางหยางต่อยไปที่ท้องของจินเล่ยอย่างหนักหน่วงและพอเหมาะพอดี
ความรู้สึกแบบนั้นมันสะใจมากจริง ๆ ……
หัวของจินเล่ยงอไปข้างหน้าทันที กรามทั้งสองข้างขบกันแน่น
ยังดีที่ในปากของเขาไม่มีของอะไร ไม่งั้นละก็พูดได้ยากว่าจะมีอะไรพุ่งออกมาไหม เขางอตัวลงไป มือข้างหนึ่งกุมตรงตำแหน่งที่โดนต่อยไว้ ส่วนมืออีกข้างยื่นออกมาหนึ่งนิ้วชี้ไปที่หยางหยางอย่างสั่นเทา