บทที่ 1031 หยางหยางโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
“เจ้านาย ผมขับรถกลับไปเตรียมตัวสักหน่อยนะครับ” ฉิงฮัวเอ่ยจบก็หักรถของตัวเองกลับไปก่อน
ในตอนนี้เขาไม่อยากเป็นส่วนเกินในการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันในครอบครัว
เดิมหยางหยางยังคิดจะนั่งในตำแหน่งข้างคนขับ เพียงแต่ว่าเฉิงเฉิงดึงเขาเอาไว้ “พวกเรานั่งที่เบาะด้านหลัง แล้วให้คุณพ่อนั่งข้างหน้า”
ดังนั้น เด็กน้อยทั้งสามคนจึงนั่งเรียงกันอยู่ที่เบาะนั่งด้านหลัง เฉิงเฉิงและหยางหยางนั่งอยู่ฝั่งริมของทั้งสองข้าง ส่วนจ้าวจิงอี้นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาสองคน
ยังดีที่ขนาดร่างกายของเด็กๆล้วนค่อนข้างเล็กกระจ้อย ที่เบาะด้านหลังจึงไม่รู้สึกว่าเบียดเสียดกันเลยแม้แต่น้อย
“แม่ครับ ทำไมคุณแม่ถึงเพิ่งมากัน เมื่อตะกี้นี้ยังไม่เห็นเลย พ่อยอดเยี่ยมมากเลยล่ะ ตอนที่หิ้วเจ้าจินเล่ยนั่น ก็สยบได้ภายในชั่วครู่ด้วยความปราดเปรื่องเลย”
หยางหยางในตอนนี้มีศรัทธาเลื่อมใสในตัวคุณพ่อ พูดเป็นต่อยหอยไม่ยอมหยุด เหมือนกับแม่น้ำฮวงโหที่เอ่อล้นทะลักจนหยุดไม่อยู่
***
ที่จริงแล้วตอนที่กู้ฮอนขับรถของเป่หมิงโม่มาถึงหน้าประตูโรงเรียน ก็สังเกตเห็นถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว
และก็เป็นเพราะว่าใจลอยไปเล็กน้อย ถึงได้ชนเข้ากับรถที่จอดอยู่ด้านหน้า
เป่หมิงโม่ไม่ให้เธอลงไป ให้อยู่ในรถ จากนั้นก็จัดการเรื่องรถชนให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว
เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เธอที่นั่งอยู่ในรถนั้นเห็นเหตุการณ์ได้อย่างเลือนรางผ่านผู้คนและรถราที่ผ่านไปผ่านมา แต่ไม่ได้ชัดเจนเท่าไร
เธอรู้ว่าพวกเฉิงเฉิงจะต้องพบเจอกับเรื่องยุ่งยากอย่างแน่นอน
จนกระทั่งในภายหลังที่ฉิงฮัวปรากฏตัวขึ้น เธอถึงได้วางใจได้เต็มที่
ตอนนี้เป่หมิงโม่และเด็กๆล้วนกลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว อีกทั้งเมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีแม้กระทั่งแผลภายนอก ถึงได้วางใจลง
“เรื่องวันนี้เป็นหยางหยางที่ก่อเรื่องออกมาสินะ”
กู้ฮอนมองหยางหยางผ่านกระจกมองหลังแวบหนึ่ง
“แม่ครับ วันนี้ผมถูกปรักปรำนะ หลังจากเลิกเรียนแล้ว ผมก็ไปหาพวกเฉิงเฉิงแล้วเดินมาที่หน้าประตูโรงเรียนด้วยกัน……”
หยางหยางเหมือนกับป้าสะใภ้เสียงหลิน(ตัวละครในBlessingหนังสือโดย หลู่ ซฺวิ่น)ที่เล่าลำดับขั้นตอนเหตุการณ์ใหม่อีกครั้ง
สุดท้าย เฉิงเฉิงและจ้าวจิงอี้ก็เป็นพยานให้กับเขาว่า เรื่องในวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหยางหยางเลยแม้แต่นิดเดียว
กู้ฮอนได้ยินแล้วก็ถอนหายใจ “คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่า ภายในโรงเรียนแบบนี้จะมีนักเรียนประเภทนี้ด้วยเช่นกัน หลังจากนี้พวกลูกต้องระมัดระวังมากหน่อย อย่าก่อเรื่อง ได้ยินไหม”
หยางหยางตบลงที่อก “แม่ครับ แม่วางใจเถอะ ผมมีหลักการของผม”
“หลักการของลูกหรือ”
เป่หมิงโม่ที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ ได้ยินคำพูดที่กู้ฮอนพูดกับลูกๆเมื่อครู่นี้ ในใจก็รู้สึกอบอุ่น นี่น่าจะเป็นชีวิตที่ตัวเองคิดจะแสวงหามาโดยตลอดสินะ
เมื่อดีใจก็เลยมีส่วนร่วมในการบทสนทนานี้ด้วย
หยางหยางหัวเราะอิอิ “หลักการของผมนั้นง่ายมาก นั่นก็คือผู้อื่นไม่หาเรื่องผม ผมก็ไม่หาเรื่องเขา ผู้อื่นหาเรื่องผม ก็จะถอยให้ สรุปแล้ว ผมจะไม่ลงไม้ลงมือง่ายๆ ครูโล่เคยสอนผมว่า ชกต่อยคนไม่ถือว่ามีความสามารถอะไร คนที่ยิ่งมีความสามารถ ความรับผิดชอบก็ยิ่งใหญ่หลวง จะต้องปกป้องคนที่อ่อนแอกว่าตัวเองเอาไว้”
เป่หมิงโม่พยักหน้า “จุดนี้พ่อค่อนข้างเห็นด้วย ไม่ไปก่อเรื่อง แต่เมื่อเกิดเรื่องก็ไม่ต้องกลัว พวกเราคนตระกูลเป่หมิงนั้นไม่อาจถูกความลำบากเบื้องหน้าสยบให้แพ้ได้อย่างง่ายดาย”
“พอแล้วๆ แต่ก่อนตอนที่พวกคุณสองคนเจอหน้ากันล้วนไม่ยอมรับกันและกันไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึงได้มีความเห็นไปในทางเดียวกันเสียแล้วล่ะ” อารมณ์ของกู้ฮอนในตอนนี้ก็ดีมากเช่นกัน
เธอขับรถมุ่งหน้าไปยังทิศทางกลับบ้าน
*
คืนวันนี้ แสงไฟภายในบ้านพักปิ่นฮอนเป่หยวนหลังนี้สว่างไสว
บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะครึกครื้นอย่างมีความสุข
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กล้วนจมอยู่ในความปีติยินดี
แอนนิทำอาหารมากมาย เพื่อเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจและต้อนรับเป่หมิงโม่
แน่นอนว่า เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กๆ ผู้ใหญ่ล้วนไม่พูดถึงการใช้ชีวิตหลายวันมานี้ของเป่หมิงโม่ในสถานีตำรวจกันอย่างพร้อมใจกันโดยไม่ต้องเอ่ยออกมา
ที่จริงแล้วพวกเขาก็รู้ชัดในสถานการณ์นี้เช่นกัน
ทุกครั้งที่กู้ฮอนกลับมาจากการไปเยี่ยมเขาล้วนเล่าให้พวกเขาฟัง
เวลาค่ำคืนค่อยๆมืดลง งานเลี้ยงกลางคืนนั้นสิ้นสุดลงไปได้สองชั่วโมงกว่าแล้ว เด็กๆล้วนวิ่งขึ้นไปเล่นที่ด้านบนแล้ว นี่ก็เป็นเพราะว่าหลังจากที่ผ่านเรื่องราวในวันนี้มา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดูเหมือนกับว่าจะใกล้ชิดกันมากอีกนิดหนึ่ง
ห้องใต้หลังคา เฉิงเฉิง หยางหยางและจ้าวจิงอี้ก้มหน้าก้มตาเขียนการบ้าน จิ่วจิ่วและเบลล่าทั้งสองล้วนไม่ไปรบกวนพวกเขาอย่างรู้ความ
จนกระทั่งหลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง การบ้านของพวกเขาล้วนเสร็จแล้ว ถึงได้เริ่มมาเล่นเป็นเพื่อนกับน้องสาว
“พี่หยางหยาง เล่าเรื่องที่พี่ต่อยคนชั่วร้ายในวันนี้ให้หนูฟังเถอะนะ” จิ่วจิ่วกอดแขนของหยางหยางอ้อนวอน
***
“ได้สิๆ” หยางหยางหัวเราะฮิฮิ นั่งขัดสมาธิบนพื้น
แสร้งทำท่าทางเหมือนกับนักเล่าเรื่องคนหนึ่ง “กล่าวถึงเรื่องในวันนี้ ระหว่างที่พวกเราเลิกเรียนจะกลับบ้าน จู่ๆก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาขวางทางพวกเรา……”
จิ่วจิ่วเบิกตาโต ตั้งอกตั้งใจฟังเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเลิกเรียนตามแบบฉบับหยางหยาง
เบลล่าหมอบอยู่ข้างกายจิ่วจิ่ว แลบลิ้นออกมา
เฉิงเฉิงไม่ได้มีความสนใจหยางหยางเล่าเรื่องความเป็นวีรบุรุษของตัวเอง เริ่มทำการทดลองซอฟแวร์ของตัวเองต่อไป
จ้าวจิงอี้อยู่ข้างกายเขา แสดงความคิดเห็นเล็กน้อยของตัวเองให้กับเขาในบางครั้ง
*
ชั้นล่าง ริมทะเลสาบหน้าบ้านพัก
ตอนกลางคืนที่แห่งนี้จะมีผู้คนมากมายมาเดินเล่นพักผ่อน มีคนมาลอยเรือลำน้อยบนทะเลสาบ
เป่หมิงโม่และกู้ฮอนนั่งอยู่บนม้านั่งยาวตัวหนึ่ง
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่า วันนี้ผมจะยังสามารถอยู่ที่ได้” เป่หมิงโม่พูดพลางสูดลมหายใจที่แฝงไปด้วยกลิ่นแมกไม้และดินโคลนอันสดชื่นเข้าไปลึก
“คุณมองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้นเลยหรือ” กู้ฮอนหันหน้าไปมองเป่หมิงโม่
เป่หมิงโม่เงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า ขมวดคิ้วเล็กน้อย “จะพูดอย่างไรดีล่ะ ไม่ใช่ว่าผมมองโลกในแง่ร้าย แต่บุคคลที่พวกคุณต้องเผชิญหน้าไม่ใช่คนธรรมดา การเป็นศัตรูกับคนแบบนี้ เป็นเรื่องที่อันตรายมากเรื่องหนึ่ง คุณก็เห็นสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงหนึ่งก่อนหน้านี้ตอนขึ้นศาลแล้ว พวกเขาพลิกคำให้การทั้งหมดของคุณได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากว่าไม่ใช่ว่าในภายหลังมีคนที่ชื่อช่ายซินซินมา คาดว่าผลลัพธ์จะต้องเป็นอีกแบบหนึ่งแน่นอน”
กู้ฮอนพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ เดิมพวกเราก็ไม่ได้มีความมั่นใจในคดีความนี้มากนักเช่นกัน การปรากฏตัวของเธอก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเราเหมือนกัน”
“พวกคุณรู้จักเธอได้อย่างไร ผมก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเธอมา คาดไม่ถึงเลยจริงๆว่าสิ่งที่เธอผ่านมาจะไม่ราบรื่นขนาดนี้”
พวกเราพบกับเธอตอนที่ไปหาพยานอีกคนหนึ่งที่เมือง C การที่สามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ทุกหนทุกแห่งได้นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเรื่องหนึ่งเลยจริงๆ แรกเริ่มฉันค่อนข้างรังเกียจเธอ จนกระทั่งวันนี้ฉันเริ่มที่จะเห็นอกเห็นใจเธอ ราคาที่เธอต้องจ่ายไปนั้นเยอะแยะมากมายเกินไปแล้วจริงๆ”
กู้ฮอนเอ่ยจบแล้วก็มองที่ทะเลสาบอย่างครุ่นคิด
“คุณพูดไม่ผิดเลย ไม่ง่ายเลยจริงๆ รอวันหลัง ถ้าหากยังมีโอกาสล่ะก็ อาจจะสามารถช่วยเหลือเธอได้สักครั้ง”
“ได้ยินหยางหยางเล่าว่า พวกคุณปล่อยเด็กที่ก่อความวุ่นวายคนนั้นไปหรือ ทำไมถึงทำแบบนี้ ไม่เป็นห่วงว่าเขาจะมาหาเรื่องเด็กๆอีกหรือ เรื่องในวันนี้ เป็นครั้งที่สองที่เขามาหาเรื่องพวกเขาแล้ว” ในฐานะมารดา กู้ฮอนนั้นเป็นกังวลจริงๆ
ถ้าหากว่าเปลี่ยนเป็นเธอล่ะก็ แม้ว่าจะไม่ตีเด็กคนนั้นสักยก แต่ก็อาจจะให้พวกหยางหยางสั่งสอนเขาสักหน่อย ให้เขาหวาดกลัวจริงๆ
แต่เธอจะต้องพาเด็กคนนั้นไปพบกับทางโรงเรียน หรือไม่ก็ไปพบผู้ปกครองของเด็กคนนั้นเพื่อถกกันอย่างแน่นอน
สำหรับการกระทำแบบนี้ของเป่หมิงโม่ นั้นไม่เข้าใจอยู่บ้างจริงๆ
เป่หมิงโม่หัวเราะ “เด็กๆก็มีกฎเกณฑ์ทางสังคมของพวกเขาเอง แม้ว่าจะเกิดเรื่องอย่างการขัดแย้งกันประเภทนี้ ผมก็รู้สึกว่าพวกเขากำลังตามหาจุดยืนของตัวเองในสังคมเล็กๆนี้อยู่ หลังจากที่พวกเขาวางรากฐานของตัวเองได้มั่นคงแล้ว ก็จะปกป้องตำแหน่งนี้เอาไว้ เพียงแต่ว่าพวกหยางหยางไปแตะโดนตำแหน่งของเด็กคนนั้นโดยไม่ได้เจตนา ดังนั้นถึงได้ทำให้เกิดเรื่องในภายหลังขึ้นมา”
สำหรับเรื่องนี้แล้ว กู้ฮอนมีความเห็นที่ไม่เหมือนกัน “คุณไม่ได้ยินที่หยางหยางพูดหรือว่า แรกเริ่ม เป็นเด็กคนนั้นที่มาหาเรื่องก่อน”
***
เป่หมิงโม่พยักหน้า “มองดูแล้วเป็นแบบนี้จริงๆ แต่เรื่องระหว่างเด็กคนนั้น ไม่ได้หมายความว่าควรจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจเหนือกว่า”
“ความหมายของคุณก็คือ แม้ว่าเด็กคนนั้นจะถูกเรียกว่าเป็นอันธพาลในสังคม พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายหรือ” กู้ฮอนรู้สึกเหลือเชื่อต่อตรรกะนี้ของเป่หมิงโม่อยู่บ้าง
วิธีที่เขาปฏิบัติกับเด็กๆนั้น ไม่เหมือนกับตอนที่เขาต้องเผชิญหน้ากับผู้ใหญ่เหล่านั้นเลยสักนิดเดียว
“ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดผิดนะ สำหรับเรื่องในวันนี้ ไม่ใช่ว่าผมก้าวออกมาแล้วหรือ อำนาจระหว่างพวกเขานั้นไม่ได้อยู่ในระดับที่เท่าเทียมกันเลย ดังนั้นผมจึงเพียงแค่ช่วยเหลือให้พวกเขากลับมาสู่ระดับที่เท่าเทียมกันเท่านั้นเอง”
“OK ถือว่าตรรกะนี้ของคุณผ่านไปได้ แต่คุณไม่สามารถรับประกันได้ว่า วันหลังจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก แม้ว่าฉันจะไม่เคยพบกับเด็กคนนั้นมาก่อน แต่จากเรื่องทั้งสองครั้งนี้ ฉันรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้างเล็กน้อย คุณเข้าใจหรือไม่”
เป่หมิงโม่ยกมือลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของกู้ฮอนเบาๆ ความรักและความเอาใจใส่ที่เธอมีให้กับลูกๆนั้น ตัวเองที่เป็นบิดานั้นไม่มีวันไล่ตามได้ทันตลอดกาล
เหมือนกับเรื่องในวันนี้ สิ่งที่เขาทำก็เป็นเพียงแค่ช่วยให้เด็กๆย้อนกลับไปสู่สถานการณ์ที่เผชิญหน้ากันอย่างยุติธรรมเท่านั้นเอง
ส่วนสิ่งที่เธอวิตกกังวลกลับเป็นคืนวันในอนาคต คืนวันที่พวกเขาล้วนไม่ได้อยู่ข้างกายลูกๆ ถ้าหากว่าพบกับปัญหาเดียวกันนี้ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าลูกๆจะสามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบอะไร แต่ความต้องการที่น้อยที่สุดก็คือสามารถปลอดภัยไร้อันตรายใดๆ
นี่คือแนวคิดที่ไม่เหมือนกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ผู้หญิงนั้นละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ชายเสมอ
เป่หมิงมองไปยังทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลอย่างจริงจัง เรือลำน้อยที่ล่องลอยอยู่บนผืนน้ำนั้นทำให้เกิดคลื่นน้ำ คลื่นน้ำเหล่านั้นเริ่มยาวออกไปทั้งสองข้าง สุดท้ายก็รวมเข้ากับผืนน้ำที่สงบนิ่งอีกครั้ง
“ผมเชื่อว่า หลังจากเรื่องวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นหยางก็ดี หรือว่าเด็กคนนั้นก็ช่าง น่าจะรู้ว่าควรจะทำอย่างไรแล้ว” เขาเอ่ยพูดช้าๆ
*
หลังจากจิ่วจิ่วเบิกตาโตฟังหยางหยางเล่าเรื่องที่ดัดแปลงจบแล้ว ก็เหมือนว่าจะยังอยากฟังต่อ “พี่หยางหยาง หลังจากนั้นล่ะคะ คนเลวคนนั้นก็จากไปทั้งอย่างนี้แล้วหรือ”
หยางหยางพยักหน้า “ใช่แล้ว ไปทั้งอย่างนี้แหละ”
“หรือจะเสียเปรียบเจ้าคนเลวคนนั้นแล้ว ทำไม ทำไมสู้กับพวกคนเลวแล้วถึงไม่กำจัดพวกเขาล่ะ……”
“เอ่อ……”
ประโยคนี้ของจิ่วจิ่ว ทำให้หน้าผากของเด็กคนอื่นๆอีกสามคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นมีเหงื่อเย็นๆผุดขึ้นมา
อย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า น้องสาวจะมีความคิดแบบนี้ด้วย
เฉิงเฉิงและจ้าวจิงอี้วางเรื่องที่อยู่ในมือลง เงยหน้ามองว่าหยางหยางจะตอบอย่างไร
หยางหยางปกติแล้วประพฤติตัวไม่จริงจัง ตอนนี้กลับรู้สึกอย่างกะทันหันว่าภาระที่อยู่บนบ่าของตัวเองหนักมาก แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ตัวเองพูดไร้สาระไปอย่างนั้น รอจนเธอเติบโตขึ้นกว่านี้อีกหน่อย ก็จะรู้ถูกผิดเช่นกัน และจะเข้าใจได้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไร
ก่อนหน้านี้ เขายังมีพี่ชายคนหนึ่ง แม้ว่าความแตกต่างทางระยะเวลาระหว่างพวกเขาจะเพียงแค่ไม่กี่นาที แต่ก็สรุปได้ว่ายังมีคนที่สามารถรับผิดชอบแทนตัวเองได้