บทที่ 1032 สมมติว่าหยางหยางเป็นคนเลว
แม้ว่าความสัมพันธ์รูปแบบนี้ในตอนนี้ยังไม่ได้ถูกทำลายลง แต่ว่าตำแหน่งของตัวเองก็สูงขึ้นแล้ว และกลายเป็นพี่ชายที่จำเป็นต้องมีความรับผิดชอบคนนั้นไป
ความรู้สึกที่ต้องรับผิดชอบเกิดขึ้นในใจของหยางหยาง
เขาดึงมือเล็กๆของจิ่วจิ่ว มองเธออย่างจริงจัง เหมือนกับแต่ก่อนในตอนที่ตัวเองใช่ชีวิตอยู่กับคุณแม่ด้วยกัน คุณแม่ก็ลากตัวเองมาอยู่ข้างกายเธอแล้วอบรมสั่งสอน
***
หยางหยางนั่งอยู่บนพื้น ดึงจิ่วจิ่วมาอยู่ที่ด้านหน้าตัวเอง
“พี่หยางหยาง พี่เป็นอะไรไปคะ” เป็นครั้งแรกที่จิ่วจิ่วเห็นเขาแสดงท่าทางแบบนี้ออกมา ก่อนหน้านี้เขาล้วนหัวเราะเฮฮาทั้งวัน
ตอนนี้ในศีรษะน้อยๆของหยางหยางกำลังคิดหาคำพูดอย่างรวดเร็ว อย่าเห็นว่าตอนปกติพูดจามีแต่เรื่องไร้สาระ ตอนนี้ต้องการพูดเรื่องที่จริงจังขึ้นมา ก็ลำบากมากจริงๆ
สุดท้ายแล้วหลังจากที่อึดอัดจนหน้าแดงก่ำ ก็เอ่ยพูดว่า
“น้องสาว ความคิดแบบนี้ของน้องเป็นสิ่งที่ผิดนะ ไม่ใช่ว่าพวกเราพบกับคนเลวแล้วจะต้องฆ่าพวกเขาทิ้ง เข้าใจหรือไม่”
จิ่วจิ่วส่ายหน้า ขมวดคิ้วมองไปที่หยางหยาง “แต่ว่า ทำไมในโทรทัศน์ล้วนแสดงแบบนี้ล่ะคะ จอมวายร้ายล้วนถูกพระเอกกำจัดทิ้ง ยังมีคนญี่ปุ่นที่ชอบรังแกพวกเรา ก็ยังถูกกองพลทหารที่ 8 ฆ่าทิ้งเลย……”
หยางหยางยกมือขึ้นเกาศีรษะตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่านี่คือสิ่งที่ผิด แต่ว่าควรจะอธิบายให้เธอฟังอย่างไรดี
เมื่อต้องการจะใช้ความรู้ ถึงจะทราบว่าเรียนมาน้อยจริงๆ ทฤษฎีแบบนี้พูดไม่ออกเลยจริงๆ
ในที่สุดเขาก็หันหน้าไปส่งสายตาขอร้องให้กับเฉิงเฉิง
ตอนนี้มีเพียงเขาที่สามารถช่วยตัวเองแก้ไขสถานการณ์ได้
เฉิงเฉิงดูเหมือนว่าจะคาดได้ถึงผลลัพธ์แบบนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ จึงได้เตรียมตัวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่หยางหยางมองมาที่ตัวเอง ก็ลุกขึ้นยืน เดินไปทางพวกเขา
ในเวลาเดียวกัน จ้าวจิงอี้ก็เดินตามมาด้วย
เธอมาถึงข้างกายของจิ่วจิ่ว จูงมือเล็กๆของเธอด้วยความสนิทสนม “จิ่วจิ่ว ความคิดแบบนี้ของน้องไม่ผิดหรอกนะ แต่ว่าจำเป็นต้องแบ่งแยกสถานการณ์รู้หรือไม่”
จิ่วจิ่วพยักหน้าก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้าต่อ “พี่จิงอี้ หนูไม่เข้าใจ คนเลวก็คือคนเลว ทำไมจะต้องแบ่งแยกสถานการณ์ด้วยล่ะคะ”
“คำถามที่น้องเอ่ยถึงนั้นซับซ้อนมาก และก็ง่ายมากเช่นกัน ยกตัวอย่างให้น้องสักหนึ่งตัวอย่างแล้วกัน ถ้าหากว่าเป่หมิงซีหยางทำของเล่นของหนูพัง อย่างนั้นเขาถือว่าเป็นคนเลวด้วยหรือไม่”
“เฮ้ ตอนที่เธอยกตัวอย่างนั้น ไม่ใช้ฉันมาเป็นตัวอย่างไม่ได้หรือ” หยางหยางที่อยู่ด้านข้างพูดประท้วง
จิ่วจิ่วคิดและพูดว่า “ถ้าหากว่าพี่หยางหยางทำแบบนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นคนเลว……”
“ในเมื่อเขาเป็นคนเลว อย่างนั้นพวกเราต้องกำจัดเขาจริงๆหรือไม่”
จิ่วจิ่วมองไปที่หยางหยาง และมองไปที่จ้าวจิงอี้
ปัญหานี้สำหรับเธอนั้นเลือกได้ยากมากจริงๆ ถ้าหากทำตามที่ตัวเองพูดเมื่อครู่นี้ก็ควรจะกำจัดพี่ชาย แต่ถ้าหากว่าให้เลือกจริงๆแล้วล่ะก็ นั้นไม่เหมือนกันเป็นอย่างมาก
สุดท้ายแล้วเธอก็ยังคงส่ายศีรษะอย่างยากลำบาก “แม้ว่าพี่หยางหยางจะเป็นคนเลว แต่จิ่วจิ่วไม่สามารถกำจัดเขาได้”
เฉิงเฉิงยิ้ม เดินไปข้างกายน้องสาว ยื่นมือลูบไปที่ศีรษะของเธอ “นี่ถูกแล้ว คนเลวแบ่งออกเป็นหลายประเภท มีคนเลวส่วนใหญ่ก็เหมือนกับที่น้องพูดเมื่อครู่ หรือพวกคนญี่ปุ่นประเภทนั้น แน่นอนว่าก็มีคนเลวจำนวนน้อยที่เหมือนกับหยางหยาง”
“เฮ้ เมื่อตะกี้นี้ฉันพูดไปแล้วไม่ใช่หรือ อย่ายกฉันเป็นตัวอย่าง พวกนายสามารถพูดว่า ‘เชี่ย’ เป็นคนเลวได้” หยางหยางพูด ชี้นิ้วไปทางเบลล่าที่หมอบอยู่ไม่ไกล
“หงิง…….” เบลล่าในตอนนี้สะบัดหางไปมาเพื่อแสดงการประท้วงอย่างหดหู่ สำหรับการเป็นแพะรับบาปในเรื่องนี้นั้น มันก็ไม่ได้ทำน้อยๆเลย ดังนั้นในตอนนี้จึงทำได้เพียงแค่แสดงออกอย่างจนปัญญาต่อการกระทำของหยางหยาง
“ถึงเบลล่าจะทำของจิ่วจิ่วพัง มากสุดก็เรียกว่าดื้อ รู้หรือไม่” จ้าวจิงอี้ก้าวออกมาพูดแทนเบลล่า
“โฮ่งๆ…….”
***
เบลล่ารีบแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อการที่จ้าวจิงอี้ยื่นดาบออกมาช่วยเหลือในทันที ทั้งยังสะบัดหางไปมาแสดงความเป็นมิตรอย่างสุดความสามารถ
เฉิงเฉิงมองพวกเขาพลางยิ้มและเอ่ยต่อว่า “หลังจากที่พวกเราทุกคนทำเรื่องผิดพลาดไปแล้ว อาจจะสามารถกลายเป็นคนเลวในสายตาผู้อื่นได้ แม้ว่าที่จริงแล้วในใจของพวกเราจะไม่ได้คิดเช่นนั้น ทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ได้เจตนา ถึงแม้ว่าจะมีความคิดแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่ร้ายแรงอะไรนัก เมื่อเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ พวกเราล้วนต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับพวกเขาอย่างโอบอ้อมอารี”
“พี่เฉิงเฉิง ฟังคำพูดของพี่แล้วหนูยังไม่ค่อยจะเข้าใจอยู่ดี ทำไมพวกเราจะต้องจัดการกับคนที่เคยทำร้ายพวกเราด้วยความโอบอ้อมอารีด้วยล่ะคะ ถ้าหากว่าเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะรังแกพวกเราไปตลอดหรือคะ”
หยางหยางขี้เกียจโต้เถียงกับจ้าวจิงอี้ต่อไป เมื่อเผชิญหน้ากับเธอแล้ว ดูเหมือนว่าหยางหยางจะมีโอกาสเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบน้อยมาก
ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็หันมาช่วยจิ่วจิ่วแก้ไขความสงสัยนี้จะดีกว่าหน่อย
แขนของเขาพาดลงบนไหล่ของน้องสาว “น้องสาว น้องไม่เคยยินประโยคหนึ่งที่พูดว่า “การฉองเวรฉองกรรมกันไปมาจะจบลงเมื่อไร?”
จิ่วจิ่วส่ายหน้า ไม่เพียงแต่เธอที่ส่ายหน้า คนอื่นๆอีกสองคนที่เหลือก็ส่ายหน้าเช่นเดียวกัน
“เป่หมิงซีหยาง นายพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไรกันแน่”
“ไอ้หยา นายไม่เคยได้ยินสิ่งนี้หรอเนี่ย เสียดายที่พวกนายพูดว่าเข้าใจมากกว่าฉันนะ ความหมายมันก็ประมาณว่าฉันชกต่อยกับคนคนหนึ่ง ผลสุดท้ายฉันเป็นฝ่ายชนะ แต่คนคนนั้นไม่ยอมแพ้แล้วมาชกต่อยกับฉันอีก ฉันชกเขาจนแพ้ไปแล้ว แต่ก็ยังชกต่อยกับเขาต่อไป แบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า……”
หยางหยางพูดไปพลาง มือไม้ก็ทำท่าทางประกอบไปพลาง
“นั่นเรียกว่า ‘การจองเวรจองกรรมกันไปมาจะจบลงเมื่อไร’ กับ จักจั่น ต่างหาก เป่หมิงซีหยาง ขอล่ะ หลังจากนี้นายอ่านหนังสือให้มากกว่านี้หน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้น ไม่ช้าก็เร็วจิ่วจิ่วต้องถูกสอนจนมีสภาพเหมือนนายแน่ ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวจริงๆ……” จ้าวจิงอี้ส่ายหน้า มองเขาด้วยสีหน้ารังเกียจ
ชั่วขณะที่หยางหยางหน้าแดงก่ำ เถียงข้างๆคูๆสุดความสามารถ “ฉันจะไม่รู้ได้อย่างไร เพียงแค่พูดผิดเท่านั้นเอง”
“แม้ว่าหยางหยางจะใช้คำศัพท์ผิด แต่ว่าความหมายก็ยังคงถูกต้อง จิ่วจิ่ว น้องคิดดูนะ ถ้าหากว่าเหมือนกับที่หยางหยางพูดเมื่อครู่นี้ สุดท้ายแล้วเขากับคนคนนั้นจะมีผลลัพธ์อย่างไร” เฉิงเฉิงเอ่ยถามน้องสาวต่อ
ถ้าหากต้องการให้เธอสามารถที่จะเข้าใจปัญหานี้ได้ แน่นอนว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือการให้คติให้ข้อคิด
เปลี่ยนปัญหาของผู้ถูกกระทำให้เป็นผู้กระทำที่ให้ข้อคิดและคติเพื่อพิจารณา
“อย่างนั้นพวกเขาก็จะชกต่อยกันต่อไปไม่หยุด จนถึงตอนแก่ เป็นแบบนี้ใช่ไหมคะพี่เฉิงเฉิง”
เฉิงเฉิงพยักหน้า “ก็เป็นเช่นนั้นแหละ แต่ถ้าหากว่าคนหนึ่งในนั้นสามารถปล่อยมือลงได้ ก็เหมือนวันนี้ที่หยางหยางปล่อยวางการล้างแค้นด้วยตัวเอง และปล่อยให้คนคนนั้นจากไป อย่างนั้นเรื่องนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว”
“พูดได้มีเหตุผล ที่จริงแล้วตอนที่พ่อให้ฉันปล่อยเจ้าเด็กนั่นไป ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ตอนนี้ถือว่าเข้าใจถ่องแท้แล้ว พ่อไม่อยากให้ฉันกับเจ้าเด็กนั่นพัวพันกันต่อไปอีก” ในเวลาเดียวกันหยางหยางก็ได้ข้อคิดเช่นเดียวกัน ในที่สุดก็ตื่นรู้แล้ว
“พูดได้ไม่เลว ต้องรู้ว่าเวลาของทุกคนนั้นมีค่ามาก ถ้าหากว่านายใช้เวลากับเรื่องนี้ อย่างนั้นนายว่านายจะมีเวลาและกำลังไปทำเรื่องที่นายอยากทำหรือไม่ คาดว่าเวลาส่วนใหญ่ล้วนถูกใช้ไปในโรงพยาบาลและบ้านแล้วล่ะ”
“อย่างนั้น ถ้าหากว่าวันนี้คนเลวคนนั้นรู้สึกว่าพวกเรารังแกได้ง่าย หลังจากนี้มาหาเรื่องพวกเราอีก จะทำอย่างไรคะ”
หยางหยางกำหมัดเล็ก “ฮิฮิ ถ้าหากว่าเขากล้าที่จะมาอีกล่ะก็ พี่จะใช้ไอ้นี่สู้กับเขา อย่างไรเขาก็พ่ายแพ้ในเงื้อมมือของพี่แล้ว”
***
เฉิงเฉิงมองบนใส่หยางหยางครั้งหนึ่ง “อย่างไร เพิ่งจะพูดหลักเหตุผลกับน้องสาวจบไป ต้องพูดให้นายฟังอีกรอบด้วยไหม ล้วนพูดแล้วว่าการใช้ความรุนแรงไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ดีมาก แน่นอนว่า สิ่งนี้นายสามารถใช้มันเป็นหนทางในการป้องกันตัวเองได้”
เขาเอ่ยพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น “แน่นอน ฉันก็เชื่อมั่นว่าหลังจากวันนี้จินเล่ยเขาจะไม่มาหาเรื่องพวกเราอีกแล้ว”
“นี่มันเพราะอะไร”
“ใช่แล้ว ฉันเห็นว่าจินเล่ยพวกนั้นไม่สามารถเชื่อได้ง่ายๆ พวกเขามาหาเรื่องพวกเราสองครั้งแล้ว
จ้าวจิงอี้ยังคงรู้สึกกังวลต่อปัญหานี้อยู่บ้างจริงๆ
ถึงอย่างไรก็เป็นตัวเองที่เป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องขึ้น แม้ว่าจะไม่ใช่ความปรารถนาของเธอก็ตาม
เมื่อเล่าประเด็นหลักไปพอสมควรแล้ว เฉิงเฉิงก็หัวเราะฮาๆพลางพูด “เพราะว่าพวกเรามีคุณพ่อที่ยอดเยี่ยมมากยังไงล่ะ พวกนายไม่ได้เห็นกันหรือ เมื่อคุณพ่อออกหน้า สถานการณ์ทั้งหมดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น แน่นอนว่า มีคุณลุงฉิงฮัวที่มาได้ทันเวลาด้วย ถึงได้ทำให้เรื่องราวในวันนี้สงบลงได้อย่างรวดเร็ว”
“ว้าว อยากเห็นจริงๆว่าท่าทางชกต่อยของคุณพ่อเป็นอย่างไรจริงๆ ฟังแล้วเท่ห์มากเลยค่ะ” ใบหน้าของจิ่วจิ่วเต็มไปด้วยความรอคอย
“เฮ้ๆ พวกนายมาดูนี่สิ” หยางหยางในตอนนี้เดินไปถึงบานหน้าต่าง ที่นี่สามารถมองเห็นทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลได้พอดี
เด็กๆสามคนที่เหลือก็เขยิบเข้าไปด้วย “ดูอะไรหรือ”
“พวกนายดูสิ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้นคือใคร”
เมื่อมองไปตามทิศทางที่นิ้วของหยางหยางชี้ไป เก้าอี้ตัวยาวที่อยู่ใต้ไฟถนนตัวหนึ่งนั้นมีคนสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่งนั่งอยู่
“เป็นคุณพ่อกับคุณแม่” เฉิงเฉิงพูด
“ให้หนูดูบ้าง ให้หนูดูบ้างค่ะ…….” จิ่วจิ่วนั้นตัวเล็ก เขย่งปลายเท้าแล้วก็ถึงแค่ขอบหน้าต่าง เบื้องหน้านอกจากความมืดมิดแล้ว อะไรก็ล้วนมองไม่เห็น
“พี่อุ้มเธอ” หยางหยางพูด ออกแรงอุ้มน้องสาวขึ้นมา ให้เธอยืนอยู่บนขอบหน้าต่าง ที่ตรงนี้สามารถมองเห็นเบื้องล่างได้พอดี
โชคดีที่หน้าต่างบานนี้ปิดสนิท จึงไม่ต้องกังวลถึงอันตรายที่จะตกลงไป
“คุณพ่อกับหม่ามี๊กำลังคุยอะไรกันอยู่หรือคะ”
“แน่นอนว่าจะต้องคุยปัญหาเรื่องการเรียนของหยางหยางหลังจากนี้ เขาช่างทำให้ปวดหัวเกินไปแล้ว……”
เมื่อเสียงของเฉิงเฉิงสิ้นสุดลง ก็ทำให้เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้น
มือทั้งคู่ของหยางหยางกุมอยู่ที่หน้าอก ใบหน้าเต็มไปด้วยการไม่ยอมรับ “ตอนนี้ฉันเป็นเด็กดีแล้วโอเคไหม พวกเขาไม่คุยเรื่องฉันหรอก มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะพูดเรื่องของเฉิงเฉิงกับจ้าวจิงอี้ที่อาจจะกลายเป็นแฟนกันในภายหลัง…….”
“เป่หมิงซีหยาง ถ้านายยังพูดจาเพ้อเจ้ออีก ฉันจะฉีกปากนาย!” ใบหน้าของจ้าวจิงอี้แดงระเรื่อขึ้นมาในทันที เธอยกหมัดขึ้นมาอย่างต้องการจะทุบหยางหยาง
แต่หยางหยางนั้นเตรียมการรับมือไว้แต่เนิ่นๆแล้ว จึงกระโดดหนีในทันที “ทุบไม่โดนหรอก ทุบไม่โดนหรอก…….”
*
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว คืนวันยังคง……
แสงอาทิตย์ในฤดูหนาวยามเช้าตรู่นำพาความอบอุ่นมาเล็กน้อยเท่านั้น
สีเขียวขจีนอกตัวบ้านพักนั้นหายไปไม่เห็นแล้ว
พื้นผิวน้ำทะเลสาบนั้นหนาวเย็นเสียจนเป็นน้ำแข็งหนาแผ่นหนึ่ง บนต้นไม้ที่อยู่ตามริมแนวทะเลสาบนั้น ไม่มีใบไม้หลงเหลืออยู่แล้ว
กิ่งก้านต้นไม้แห้งกรอบ มองดูแล้วไม่มีพลังชีวิตเลยแม้แต่น้อย
ผู้คนนั้นเปลี่ยนเป็นสวมเครื่องแต่งกายหนาสำหรับฤดูหนาวแล้ว บนผืนฟ้าเริ่มมีเกล็ดหิมะโปรยปรายเล็กน้อย
นี่คือการมาเยือนของหิมะแรกในปีนี้
“ทารกน้อย ลูกกำลังทำอะไรหรือ” กู้ฮอนยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า กำลังเลือกเสื้อผ้าที่จะสวม เตรียมตัวออกไปข้างนอก
จิ่วจิ่วสวมชุดนอนสีชมพูลายกระต่ายน้อยสีขาวทั้งเสื้อและกางเกง เธอกำลังยืนอยู่ด้านหน้าบานหน้าต่าง มองหิมะที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า
“หม่ามี๊ นี่คืออะไรคะ ทำไมถึงไม่เหมือนกับเม็ดฝนเลย ดูเหมือนกับมาร์ชเมลโล่ค่ะ” จิ่วจิ่วกระพริบดวงตากลมโต เอ่ยถาม พลางชี้ออกไปที่ริมขอบด้านนอกบานหน้าต่างที่มีเกล็ดหิมะกองรวมกันอยู่