บทที่ 1040 ต้องการเรื่องชั่วร้าย!
“เฮ้ๆ พวกนายฟังคำพูดของฉันให้จบก่อนได้หรือไม่ ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ” หยางหยางกระดิกนิ้วเรียกจินเล่ย เป็นสัญญาณให้เขาเขยิบเข้ามาใกล้อีกหน่อย
จินเล่ยก็ทำได้เพียงแค่โค้งตัวลงมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ “ลูกพี่ใหญ่เป่หมิง ลูกพี่ยังอยากจะพูดอะไรอีกหรือ”
“พวกนายน่ะ เมื่อครู่นี้ล้วนเข้าใจความหมายของฉันผิดแล้ว นายคิดดูนะ พวกนายชกฉัน เพียงแค่ฉันแพ้ พวกนายก็สามารถกลับมาเป็นลูกพี่ใหญ่ได้ใหม่ ส่วนฉันก็สามารถโยนภาระนี้ทิ้งไปได้ สามารถเล่นกับคนพวกนั้นได้สบายๆ นี่ไม่ใช่ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวหรอกหรือ”
***
ความคิดแบบนี้ของหยางหยางนั้น จินเล่ยเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
“ลูกพี่ใหญ่เป่หมิง ความคิดนี้ของลูกพี่จะว่าดีก็ดี แต่ว่าในพวกเราจะมีใครเป็นคู่ต่อสู้ของลูกพี่ได้กัน นอกจากนี้ลูกน้องของลูกพี่คนนั้นก็ชกต่อยเก่งมาก”
ก่อนที่จะพูดความคิดของตัวเองออกมา หยางหยางก็เห็นถึงสภาพการณ์นี้แล้ว จึงคิดวิธีการแก้ไขได้แล้ว “ฉันเคยพูดว่าจะชกกันจริงๆด้วยหรือ เพียงแค่พวกนายแสดงท่าทางร่วมมือเพื่อให้พวกเขาดูเท่านั้นก็พอแล้ว ถึงตอนนั้น ฉันจะแกล้งทำเป็นสู้นายไม่ได้ แล้ววิ่งหนีไป นายก็สามารถเรียกตัวเองว่าผู้นำของที่นี่ต่อไปได้ด้วย”
จินเล่ยขมวดคิ้วชั่วครู่ สุดท้ายแล้วก็พยักหน้าอย่างฝืนๆ “ลูกพี่ใหญ่เป่หมิง ลูกพี่พูดแล้วนะว่าจะชกกันปลอมๆ ถึงเวลานั้นอย่าต่อยพวกเราจนคว่ำล่ะ ยังมีอีก ลูกพี่ก็พูดกับลูกน้องของลูกพี่สักหน่อย ไม่อย่างนั้นพอเขาลงมือ พวกเราก็รับไม่ไหวเหมือนกัน”
หยางหยางทำท่าทาง OK ให้เขา “โอเคแล้ว เรื่องส่วนที่เหลือ พวกนายฟังการจัดการของฉันให้ดี”
เขาพูดแล้วก็เรียกทั้งสี่คนเข้ามารวมตัวกัน พลางพูดเสียงกระซิบ
“แบบนี้จะได้จริงๆหรือ” หวูเสี่ยวเอ๋อดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อย
หยางหยางแสดงออกอย่างมั่นใจมาก “แน่นอนว่าได้อยู่แล้ว แอนโทนี่เป็นอาสามของฉันนะ ฉันเรียนทักษะการแสดงกับเขา ล้วนสามารถไปฮอลลีวูดได้แล้ว”
“โอเค ตอนนี้เริ่มได้!” หยางหยางพูด ถลึงตาใส่จินเล่ย เสียงก็สูงขึ้นไปหลายระดับ “จินเล่ย นายจะเอาอย่างไรกันแน่ ครั้งที่แล้วยังให้บทเรียนนายไปไม่พอใช่ไหม ยังกล้าจะมาหาเรื่องฉันอีก……”
จินเล่ยในคราวนี้ก็ทุ่มสุดตัวเช่นกัน เขายืดตัวขึ้น แสดงท่าทางเหมือนยามปกติของเขาออกมา “ทำไมลูก……เป่หมิงซีหยาง จะบอกนายให้นะ สองครั้งก่อน ฉันล้วนประมาทนายไป ที่จริงแล้วฉันไม่ได้เอาความสามารถที่แท้จริงออกมาชกต่อยกับนายเลย หลายวันมานี้ฉันเห็นว่านายยโสโอหังใช่เล่น ใครๆก็ล้วนกลัวนาย ฉันมองแล้วขัดตาอยู่บ้าง จึงอยากจะให้บทเรียนกับนาย”
ถัดมาลูกน้องทั้งสองคนของจินเล่ยก็หัวเราะอย่างอวดดี ทุ่มเทเหมือนกับครั้งแรกในตอนที่มาหาเรื่องหยางหยางเป็นอย่างมาก
เมื่อเสียงดังออกไป ก็ดึงดูดความสนใจของเด็กๆที่อยู่ในสนามกลุ่มนั้นได้ในทันที
เมื่อครู่นี้พวกเขายังเห็นได้ชัดเจนว่าจินเล่ยกับหยางหยางยังพูดคุยหัวเราะเฮฮากัน ทำไมผ่านไปชั่วครู่ก็ทะเลาะกันเสียอย่างนั้นล่ะ…….
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงเรื่องหนึ่งจริงๆ
3 ต่อ 2 นี่ทำให้เด็กๆที่เคยเห็นหยางหยางชกต่อยกับจินเล่ยรู้ได้ในทันทีว่า คราวนี้พวกจินเล่ย จะต้องโชคร้ายแล้วอย่างแน่นอน
ด้านหนึ่งพวกเขาก็หัวเราะเยาะจินเล่ยที่ไม่เจียมตัว อีกด้านหนึ่งพวกเขาก็มีความรู้สึกซับซ้อนต่อท่าทีของหยางหยาง ทั้งหวาดกลัวและคาดหวังว่าเขาจะสามารถสั่งสอนพวกจินเล่ยได้อีกครั้ง
สถานการณ์ในตอนนี้ก็เหมือนกับฝูงแกะฝูงหนึ่ง มีหมาป่าผู้หิวโหยสองตัวกำลังต่อสู้กัน แม้ว่าพวกมันจะรักษาระยะห่างเอาไว้ แต่ก็ยังคงใช้สายตาอยากรู้อยากเห็นมองดู แทบจะไม่รู้สึกตัวเลยว่า ไม่ว่าหมาป่าสองตัวนั้น ตัวไหนชนะ ล้วนสร้างภัยคุกคามต่อตัวเองทั้งนั้น
แน่นอน หยางหยางและจินเล่ยไม่ใช่หมาป่า ที่จริงแล้วก่อนที่หยางหยางจะให้บทเรียนครั้งแล้วครั้งเล่ากับจินเล่ย ก็ยังเป็นคนที่ได้รับการต้อนรับมากคนหนึ่ง
เพียงแต่ว่าชื่อเรียก จอมอันธพาลตัวน้อยนี้ ทำให้พวกเขาต้องถอยเท้ากลับเมื่อเห็นหยางหยาง
ตอนที่หยางหยางและจินเล่ยเตรียมตัวที่จะแสดงละครบทหนึ่งนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมากะทันหัน “หยุดมือเดี๋ยวนี้นะ!”
ส่งผลให้อารมณ์ความรู้สึกที่บ่มเพาะออกมาของพวกเขาดับไปหมดแล้ว
ในไม่ช้า คุณครูคนหนึ่งก็เดินออกมาจากในห้องเล็กๆห้องหนึ่งอย่างเร่งรีบ เขาสวมเสื้อขนเป็ดหนาๆตัวหนึ่งด้วย
เขาคือคุณครูที่รับผิดชอบเฝ้าดูจินเล่ยอย่างเงียบๆโดยเฉพาะ หลังจากที่เขาเห็นหยางหยางกับจินเล่ยพบหน้ากัน หัวใจก็เด้งขึ้นมาถึงลำคอแล้ว อย่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในตอนนี้เลยนะ……
***
กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไร ก็เกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นจริงๆ
ตอนแรกเริ่มที่เขาเห็นก็ยังไม่มีอะไร สองคนนั้นเหมือนจะพูดจาเฮฮากัน แต่ในภายหลัง ก็เห็นว่าหยางหยางกับจินเล่ยดูเหมือนจะแตกคอกัน
อย่างไรก็ตาม เสียงเรียกนั้นก็ยังคงดึงดูดสายตาของเด็กๆที่ทำกิจกรรมอื่นๆอยู่ให้มองมาทางพวกเขาด้วย
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เรื่องแบบคราวที่แล้วเกิดขึ้นอีก คุณครูก็รีบวิ่งออกจากห้องมาอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดยั้งการขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นของพวกเขา
หยางหยางและจินเล่ยล้วนรู้สึกท้อแท้อยู่บ้าง
“โชคร้ายจริงๆ วันที่อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ คุณครูยังไม่กลับไปกอดฮีตเตอร์ในห้องอีก วิ่งมายุ่งอะไรกับเรื่องนี้ที่นี่กัน” หยางหยางโอดครวญ
พูดความจริง ตอนก่อนที่จินเล่ยกำลังจะลงมือนั้นก็สับสนอยู่บ้าง พูดว่าแสดงละครสินะ ใครจะไปรู้ว่าหยางหยางจะลงมือหนักขนาดไหน
อย่าแสดงจนอินกับบทมากเกินไป เมื่อเขาโกรธก็จะจัดการกับตัวเองอีก…….
ตอนนี้ก็ดี คุณครูปรากฏตัวขึ้นแล้ว ตัวเองก็ปลอดภัยชั่วคราวแล้ว เขาแอบโล่งใจอยู่เงียบๆ
คุณครูท่านนั้นเดินมาอยู่ระหว่างหยางหยางและจินเล่ยอย่างเร็ว ทั้งยังแสดงท่าทีเข้มงวดเป็นอย่างมาก “จินเล่ย เป่หมิงซีหยาง พวกหนูกำลังทำอะไรอยู่ที่นี่กัน”
หยางหยางนั้นมองคุณครูด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “พวกผมไม่ได้ทำอะไรนิครับ เพียงแค่อยากจะเล่นปาหิมะ พวกเรากำลังจะแบ่งทีม เตรียมตัวปาหิมะแล้ว”
“ปาหิมะหรือ” คุณครูท่านนั้นมองหยางหยางอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไร จากนั้นก็มองไปที่จินเล่ย
เจ้าเด็กสองคนนี้ชกต่อยกันภายในโรงเรียนสองรอบแล้ว ทำไมวันนี้ถึงได้วิ่งมาเล่นปาหิมะด้วยกันได้ล่ะ ไม่ถูก ระหว่างพวกเขาจะต้องแอบซ่อนเรื่องบางอย่างเอาไว้อย่างแน่นอน
แม้ว่าในใจจะสงสัย แต่เขาก็ยังคงหันหน้าไปถามจินเล่ย “เป็นแบบนั้นหรือ”
แน่นอนว่าจินเล่ยในตอนนี้ก็ต้องพูดตามที่หยางหยางเอ่ย “ใช่ครับคุณครู หลังจากพวกเราชกต่อยกันครั้งที่แล้ว ผมก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ดังนั้น อาศัยวันนี้ ผมอยากจะคืนดีกับเขา หลังจากนี้จะไม่ชกต่อยกันแล้ว”
“อืม ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ อย่างนั้นก็ยังโอเค เดิมโรงเรียนแห่งนี้ของพวกเราไม่เหมือนด้านนอกเหล่านั้น โรงเรียนของพวกเราห้ามไม่ให้แตกความสามัคคี ทะเลาะชกต่อยกันอย่างเข้มงวด ในเมื่อหนูก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกัน อย่างนั้นก็อธิบายได้อย่างชัดเจนว่า หนูรู้ความผิดของตัวเองแล้วจริงๆ…….”
คุณครูท่านนี้ ภายในเวลาห้านาทีถัดมา ก็เหมือนกับถังซัมจั๋งที่พูดพล่ามไม่หยุดจนทำให้หยางหยางและจินเล่ยรู้สึกเหมือนกับว่ารอบด้านตัวเองมีแมลงวันล้อมรอบอยู่ 500 ตัว
ศีรษะก็ใกล้จะวิงเวียนอยู่แล้ว
สุดท้ายแล้ว หยางหยางก็อดทนไม่ไหว “ครูครับ ครูวางใจเถอะ พวกเราจะต้องปฏิบัติตามการสั่งสอนของครูแน่นอน จะรักใคร่ปรองดองกันอย่างดี ไม่ก่อเรื่องอีก”
“อืม แบบนี้ก็ดีแล้ว” คุณครูท่านนี้เห็นว่าเป้าหมายของตัวเองบรรลุแล้ว จึงพยักหน้าให้กับพวกเขาสองคนอย่างพอใจ แล้วหมุนตัวเดินกลับไปทางตึกเรียน
เมื่อเห็นว่าคุณครูเดินไปไกลแล้ว จินเล่ยก็เอ่ยกับหยางหยางด้วยความท้อแท้เล็กน้อยว่า “ลูกพี่ใหญ่เป่หมิง วันนี้พวกเรายังต้องแสดงละครต่อไปไหม”
“แสดงสิ แน่นอนว่าต้องแสดงต่อไป ไม่อย่างนั้น กระทั่งเล่นปาหิมะหลังเลิกเรียนช่วงบ่าย ฉันก็จะไม่ได้เล่นเช่นกัน” หยางหยางพูดจริงจัง
จินเล่ยแอบถอนหายใจ ที่หยางหยาง เจ้าหมอนี่พูดจามีระเบียบแบบแผน ก็เพื่อการเล่นปาหิมะนี่เอง…….
ช่างมันเถอะ ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ต้องฝืนใจแสดงต่อไป
ทั้งสองฝ่ายเริ่มตั้งท่าสู้กันอีกครั้ง
เมื่อเห็นคุณครูมาแล้ว เหล่าเด็กๆที่ดูเรื่องตื่นเต้นอยู่ไม่ไกลพวกนั้น ก็นึกว่าคราวนี้พวกเขาคงจะไม่ชกต่อยกันแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อคุณครูจากไป พวกเขาก็เริ่มตั้งท่ากันอีกแล้ว
ดังนั้นพวกเขาจึงยืนมองคนทั้งห้าคนที่อยู่ไม่ไกลอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ คล้ายกับว่าลืมลูกบอลหิมะในมือที่ปั้นเสร็จนั้น ค่อยๆเริ่มละลายแล้ว …….
***
หลังจากคุณครูจากไปแล้ว หยางหยางยังคงยืนยันที่จะให้พวกจินเล่ยให้ความร่วมมือแสดงละครกับตัวเองจนจบ
นี่ทำให้พวกจินเล่ยรับไม่ได้อยู่บ้าง แต่ก็จำเป็นต้องทำตาม
การแสดงละครสำหรับหยางหยางนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่คุ้นเคยมาก แต่สำหรับจินเล่ยนั้นรู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง
“เฮ้ นายจะตั้งใจหน่อยได้ไหม การเคลื่อนไหวของนายปลอมเสียจนฉันทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว” หยางหยางนั้นแสร้งแสดงท่าทางประมือกับจินเล่ยและขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเบากับเขาไปพลาง
“ลูกพี่ใหญ่เป่หมิง ผมไม่รู้จริงๆว่าจะให้ความร่วมมือกับลูกพี่อย่างไร ไม่อย่างนั้น พวกเราก็ช่างมันเถอะ ผมก็ไม่อยากเป็นลูกพี่ใหญ่อะไรนั่นแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ผมก็รู้สึกดีมากเช่นกัน”
หน้าผากของจินเล่ยเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา สำหรับเขาแล้ว แม้จะแกล้งทำท่าทำทาง แต่ก็รับมืออย่างกินแรงเช่นกัน
หยางหยางมองเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความจนปัญญา “นี่มันท่าทีอะไรของนายกัน ไม่ใช่ว่าพวกผู้ใหญ่ล้วนพูดถึงการไล่ตามความฝันอะไรนั่นทั้งวัน ทำไมอะไรนายก็ไม่มีเลย กระทั่งลูกพี่ใหญ่ก็ไม่กล้าจะเป็น หลังจากนี้นายจะใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนนี้ต่อไปได้อย่างไรกัน”
“ผมไม่เป็นลูกพี่ใหญ่แล้ว พรุ่งนี้ผมจะย้ายโรงเรียน โอเคไหม…..”
“ไม่ได้! วันนี้นายต้องทำเรื่องนี้ให้ฉัน มิฉะนั้นฉันจะไม่ปล่อยนายไปง่ายๆ ไม่อย่างนั้นฉันจะเสนอความคิดหนึ่งให้กับนายก็แล้วกัน”
“อ๊ะ…….” จินเล่ยเกือบจะส่งเสียงร้องออกมา
“นายเสียงเบาหน่อยได้ไหม ถ้าหากถูกเปิดโปงขึ้นมา ฉันจะให้นายได้เห็นดี นายฟังฉันนิ่งๆเงียบๆก็พอแล้ว ไม่ให้นายเสียเปรียบหรอก” หยางหยางเอ่ย
สถานการณ์แบบนี้ในตอนนี้ เขาทำได้เพียงแค่ใช้แผนการหลอกลวงให้จินเล่ยช่วยเหลือตัวเองแสดงละครบทนี้ให้จบ
รอจนหลังจากที่บรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเองแล้ว เขาก็ไม่สนใจหรอกว่าจินเล่ยเจ้าหมอนี่จะย้ายโรงเรียนหรือว่าอะไรอื่นๆเหมือนอย่างที่เขาพูดหรือไม่
“เพื่อที่จะให้ละครเรื่องนี้สมจริงเล็กน้อย พวกนายสองสามคนก็มาชกฉันเลยแล้วกัน”
“ชกลูกพี่ นี่จะได้อย่างไรกัน ไม่ใช่ว่าถึงเวลาต่อยจนโกรธแล้ว ก็ยังคงเป็นพวกเราที่ประสบกับเรื่องเดือดร้อน” ในครานี้จินเล่ยนั้นไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก สั่นศีรษะไปมาเหมือนกับกลองป๋องแป๋ง
“ฟังนะ ถ้าหากว่านายไม่ทำตาม ตอนนี้ฉันจะทำให้ละครปลอมๆนี่กลายเป็นละครจริงๆแล้ว ถึงตอนนั้น นอกจากต่อยนายจนลุกไม่ขึ้นไปครึ่งเดือนแล้ว หลังจากนี้ไม่ว่านายอยู่ที่ไหน เพียงแค่ฉันเห็นนายก็จะต่อยครั้งหนึ่ง นายรู้สึกว่าสภาพแบบนั้นเป็นอย่างไร” หยางหยางถลึงตาใส่จินเล่ยอย่างดุร้าย
“ลูกพี่ใหญ่เป่หมิง ทำไมผมถึงรู้สึกว่าลูกพี่เหมือนกับพวกสังคมอิทธิพลมืดมากกว่าล่ะ” จินเล่ยหมดหวังอยู่บ้าง เขารู้ว่าคำพูดของหยางหยางไม่แน่ว่าอาจเป็นแค่การข่มขู่ตัวเอง แต่ไม่แน่ว่าอาจจะทำแบบนั้นจริงๆก็ได้
การทำเรื่องไม่ดีกับพวกคนเลวนั้นง่าย แต่เมื่อต้องการล้างมือนั้นยากจริงๆ
จินเล่ย เพื่อให้คืนวันหลังจากนี้ผ่านไปอย่างสบายเล็กน้อย ก็ทำได้เพียงแค่เดินตามทางที่หยางหยางวางเอาไว้ให้แล้ว
“ลูกพี่ใหญ่เป่หมิง อย่างนั้นพวกเราจะชกจริงๆแล้วนะ ลูกพี่ก็ระวังสักหน่อย ถ้าหากว่าชกจนลูกพี่เจ็บขึ้นมา ไม่อนุญาตให้แก้แค้นนะ”
“รู้แล้วๆ ความสามารถของพวกนายสามคนนั้นก็เหมือนกับแมวสามขาที่ไม่มีความสามารถ รับประกันได้เลยว่าถึงตอนนั้นจะไม่ตามหาพวกนายมาคิดบัญชีย้อนหลัง โอเคไหม” หยางหยางรับปากเต็มปากเต็มคำ
คราวนี้คนของทั้งสองฝ่ายก็ถือว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ถัดมาก็เริ่มแสดงท่าทางเหมือนกับต่อสู้กันออกมา