บทที่ 1043 เผชิญหน้า
แอนนิก้มหน้าคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ถามราวกับตัดสินใจได้แล้วว่า : “กู้ฮอน ฉันรู้ว่าเธอเคยผ่านช่วงเวลาที่รักกับคุณหยินปู้ฝัน และเกือบจะได้คบกัน แต่ตอนนี้ ทำไมเธอถึงต้องการให้เขามาคบกับฉันด้วยล่ะ? หรือว่าระหว่างเธอกับเขาไม่มีความรู้สึกต่อกันแล้วจริงเหรอ? แต่ว่าฉัน ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน”
โยนคำถามนี้ออกมาแล้ว ทำให้กู้ฮอนไม่รู้จริงๆว่าควรจะตอบเธออย่างไรดี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริง ไม่อาจที่จะทำให้เป็นเท็จได้เลย
“แอนนิ เธอช่วยชงกาแฟให้ฉันสักแก้วได้ไหม?” รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้ฮอนค่อยๆเลือนหายไป
แอนนิพยักหน้า แล้วลุกไปยังห้องครัว
กู้ฮอนหน้าหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง พระจันทร์เสี้ยวยังคงส่องสว่างราวกับว่าสามารถส่องเข้ามาในหัวใจได้ยังไงยังงั้น
“กู้ฮอน นี่กาแฟของเธอจ้ะ” แอนนิวางแก้วเซรามิคสีขาวลงบนตีธกาแฟตรงหน้ากู้ฮอน
เธอหันมาอย่างรวดเร็ว แล้วมองแอนนิพร้อมกับยิ้มนิดๆ “ขอบใจจ้ะ”
จากนั้นเธอหยิบแก้วขึ้นมาจิบเบาๆ
ถึงแม้ว่าภายในบ้านจะอบอุ่นมากอยู่แล้ว แต่หลังจากดื่มกาแฟลงไป เธอถึงได้รู้สึกจริงๆว่าร่างกายเริ่มจะอุ่นขึ้นแล้ว
รสชาติของกาแฟที่ยังหลงเหลืออยู่ในปากนั้น มีความหวานอยู่ในความขม
สิ่งนี้เหมือนกับอารมณ์ของเธอในขณะนี้
คำถามของแอนนิเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และก็เป็นเพราะว่าเธอเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบอย่างยิ่งจึงต้องการที่จะตรวจสอบอีกครั้ง
แม้ว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นแล้ว พวกเขายังคงรักษาระยะห่างที่มีความปลอดภัยอย่างมาก สิ่งนี้ทำให้เธอรับมือความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาได้อย่างผ่อนคลาย
“แอนนิ เธอพูดถูก ระหว่างฉันกับเขาเรามีอดีตร่วมกันอย่างแน่นอน ความทรงจำเหล่านั้นชั่วชีวิตนี้ฉันไม่มีทางลืมได้ หวังว่าเธอจะไม่ใส่ใจในจุดนี้”
แอนนิพยักหน้า : “กู้ฮอน ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเธอ ฉันจะสนใจเรื่องนั้นจริงๆเหรอ อันที่จริงในตอนที่เธอกำลังชักชวนฉัน ก็เกลี้ยกล่อมใจของตัวเองด้วยใช่ไหม? เธอยังมีความรู้สึกต่อคุณหยินปู้ฝัน”
กู้ฮอนละสายตาจากใบหน้าของแอนนิ แล้วมองดูแก้วกาแฟในมือ จากนั้นจึงพยักหน้าเบาๆ : “แอนนิ ฉันไม่ต้องการปิดบังเธอ แล้วก็ไม่ต้องการปิดบังกับตัวเอง ฉันยังมีความรู้ต่อหยินปู้ฝันจริงๆ”
“อย่างนั้นทำไมเธอถึงยังจะลดความรู้สึกลงแล้วยกเขาให้ฉันล่ะ?”
กู้ฮอนจิบกาแฟอีกครั้ง : “แอนนิ ฉันคิดว่าเธอเข้าใจผิดแล้วล่ะ ความรู้สึกของฉันที่มีต่อเขาจะไม่ส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาหรอกนะ เพราะว่าความรู้สึกของฉันที่มีต่อเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว”
“เปลี่ยนไปแล้ว?” แอนนิมองเธออย่างงงวย
กู้ฮอนพยักหน้า : “ใช่แล้ว มันเปลี่ยนไปแล้ว มันเปลี่ยนจากครั้งแรกที่เป็นความรู้สึกรักใคร่เป็นแบบครอบครัว ตอนนี้เขาทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน”
***
กู้ฮอนดื่มกาแฟอึกสุดท้ายจนหมดเกลี้ยง หลังจากนั้นก็ถอนใจยาว : “แอนนิ หยินปู้ฝันสำหรับฉันคือคนๆหนึ่งในครอบครัว และเพราะว่าเป็นสมาชิกในครอบครัวที่สำคัญมาก ดังนั้นฉันจึงรู้สึกว่าพวกเธอเหมาะสมที่จะอยู่ด้วยกันมากกว่า”
“ทำไมต้องเป็นฉันกับเขา?” แอนนิงงงวยเล็กน้อยหลังจากที่ได้ฟัง
“เป็นเพราะว่าเขาชอบเธอ และตอนนี้เธอก็กำลังขาดคนแบบนี้มาเติมเต็มชีวิตของเธอ อันดับต่อมา เป็นเพราะว่าพวกเธอสำคัญมากสำหรับฉัน ฉันหวังว่าท้ายที่สุดจะได้เห็นพวกเธออยู่ด้วยกัน ในความเป็นจริง ขอเพียงเธอวางสิ่งที่หนักอึ้งในใจลงได้ก็สามารถพูดได้เลยว่ามันอยู่ใกล้แค่เอื้อม จะต้องทะนุถนอมมันเอาไว้นะ”
กู้ฮอนพูดจบเธอก็หันหน้าไปมองดูนาฬิกา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนจากโซฟา : “ตอนนี้ก็ดึกแล้ว จะต้องไปพักผ่อนแล้วล่ะ เรื่องร้านอาหารทุกวันนี้ก็เหนื่อยมากพอแล้ว และดูเหมือนในอนาคตว่าเธอจะต้องยุ่งกับการออกเดทด้วย รีบรักษาร่างกายให้แข็งแรงเถอะ”
ที่เชิงเขา วิลล่าหลังสุดท้ายก็ดับไฟแล้วเช่นกัน
ในปิ่นฮอนเป่หยวนเหลือเพียงไฟถนน พวกมันยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ยังคงส่องสว่างไปบนถนนที่ถูกหิมะสีขาวปกคลุมและบนทางเดินเต็มไปด้วยรอยเท้าประทับไว้
เป่หมิงโม่ยืนอยู่บนดาดฟ้าชั้นสองของวิลล่า ในมือของเขาถือแก้วไวน์แดงเอาไว้
ทุกๆวันเขาจะมองดูวิลล่านั้นเนิ่นนาน และถึงแม้จะดับไฟไปนานแล้ว แต่เขาก็ไม่ผละออกไปทันที
มองดูวิลล่าหลังนั้นแล้ว ก็มองดูตุ๊กตาหิมะสองตัวที่อยู่หน้าวิลล่า
ลมเย็นพัดผ่านไป และพัดหิมะให้ลอยมาที่หลังคาและรั้วของระเบียงดาดฟ้าอีกครั้ง เพียงแต่ไม่ได้เป็นเกล็ดหิมะอีกแล้ว
บางทีเขาอาจไม่รู้ว่า หนึ่งในห้องนอนของวิลล่าที่ดับไฟไปแล้ว มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่างและมองมายังทิศทางของเขา
หิมะสะท้อนแสงจันทร์ ทำให้ยามค่ำคืนสว่างกว่าปกติ ด้วยเหตุนี้ทำให้กู้ฮอนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เกือบจะมองเห็นเป่หมิงโม่ที่อยู่บนระเบียงสูงของวิลล่าที่ซานปาน
แต่ว่ามันก็เป็นเพียงแค่เงาคนเท่านั้น
วันรุ่งขึ้น เป็นเช้าที่มีแดดจ้าแล้ว
แสงแดดอันอบอุ่นในฤดูหนาวคือสิ่งที่โหยหามากที่สุด น้ำแข็งและหิมะข้ามคืนได้ถูกละลายด้วยแสงแดด มันไหลเป็นหยดร่วงลงสู่พื้น
ในเสี้ยววินาที เหมือนกับได้ย้อนกลับไปในวันที่ดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิได้ผลิบาน
แต่ในตอนที่เปิดประตู ลมเย็นจัดจากภายนอกพักเข้ามาในบ้านทำให้คนรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกบอกให้รู้ว่ายังคงเป็นฤดูหนาวอยู่
ในแต่ละวันเริ่มต้นด้วยสภาพอากาศเช่นนี้
พวกเด็กๆสวมเสื้อผ้าด้วยตัวเองอย่างเฉลียวฉลาดเสร็จแล้วก็มานั่งรอหน้าโต๊ะกินข้าว
“เฉิงเฉิง นายว่าวันนี้พ่อจะกลับไปรับเราที่โรงเรียนหรือเปล่า?”
เฉิงเฉิงส่ายหัว : “ฉันไม่รู้ บางทีอาจจะไม่มานะ”
“งั้นฉันจะพนันกับนายแล้วกัน วันนี้พ่อยังมา ถ้านายแพ้ นายก็แบ่งส่วนนั้นให้ฉันว่ายังไงล่ะ?”
หยางหยางพูดโดยสายตาจับจ้องไปยังมันเทศที่แอนนิเพิ่งจะยกมา
“เมื่อวานลูกกินคนเดียวครึ่งกิโล ไม่โลภไปหน่อยเหรอ?” กู้ฮอนหยิบผ้าเช็ดตัวเดินมาข้างๆจิ่วจิ่วแล้วเช็ดหน้าของเธอ
“เหอๆ จะให้พอได้ยังไง ผมกลัวว่าจะไม่ได้กินทุกวันด้วยซ้ำ” หยางหยางพูดแล้วรอแทบไม่ไหวที่จะเอื้อมมือไปหยิบ
***
“ก๊อกก๊อก…”
ในขณะที่ทุกคนเตรียมตัวกินข้าว เสียงที่ประตูก็ดังขึ้น
“ต้องเป็นพ่อมาแล้วแน่ๆ นายแพ้ชัวร์” หยางหยางพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน ในมือของเขามีมันเทศที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่ง โดยที่เขาไม่เต็มใจที่จะวางลงเลย
จึงเดินไปเปิดประตูและกินไปด้วย
“สวัสดี…พวกเรากลับมาแล้ว” ลั่วเฉียวยืนอยู่ตรงปากประตูยืนอุ้มทารกอยู่ที่ประตูและกวักมือเรียกเขาเบาๆ
จากนั้นก็ถูกกลิ่นที่ลอยมาดึงดูดตรงหน้าเช่นเดียวกัน
“นี่คือกลิ่นมันเทศอบนี่นา ไม่ได้กลิ่นนี้นานแล้ว” เธอพูดแล้วดวงตาก็ตกลงไปที่มือของ หยางหยาง
“ข้างนอกมีใครมาเหรอ?” กู้ฮอนถาม
คนอื่นๆล้วนพากันส่ายหน้า
แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็พบคำตอบ
เมื่อเห็นหยางหยางวิ่งมาข้างหน้าอย่างตื่นตระหนก : “ไม่ให้ ไม่ให้นะ…”
แล้วที่ตามติดมาด้านหลังคือลั่วเฉียว : “ให้ฉันกัดสักคำไม่ได้เหรอ”
เนื่องจากเธอยังอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน ดังนั้นจึงเดินเร็วมากไม่ได้
หยางหยางวิ่งกลับไปที่ห้องครัวอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เขาเลยเก็บรักษาผลไม้ของตัวเองไว้ได้ จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ป้าเฉียวเฉียว ในนี้มีตั้งเยอะ ป้าจะมาปล้นผมได้ไง”
“สวัสดี…อยู่ที่นี่ครบทุกคนเลย โย่ กำลังกินข้าวพอดีเลยด้วย งั้นก็ดีมากเลย พวกเรายังไม่ได้กินข้าว” ลั่วเฉียวพูดพร้อมกับหมุนตัวแล้ววางทารกลงบนเปลที่เตรียมไว้เป็นพิเศษในห้องกินข้าว
ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการดูแลเขาขณะที่กินข้าว
จากนั้นก็ถูมือและรอแทบไม่ไหวที่จะยื่นมือออกไปหยิบมันเทศบนโต๊ะกินข้าว
“รีบไปล้างมือเร็ว เป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้วทำไมถึงไม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ ลั่วเฉียว ทำไมกลับมาคราวนี้ฉันถึงรู้สึกว่าเธอหนีมายังไงยังงั้น ที่บ้านแม่ไม่ได้สนใจเรื่องอาหารให้พวกเธอเหรอ?”
กู้ฮอนหยุดยิ้มแกล้งเธอแล้วมองไปด้านหลังของเธออีกครั้ง : “แล้วฉิงฮัวล่ะ?”
ลั่วเฉียวเม้มริมฝีปาก แล้วหันไปล้างมือ แต่ไม่นานเธอก็กลับมานั่งแล้วพูดว่า : “ตอนเช้าวันนี้นี้พวกเราเห็นว่าหิมะเริ่มละลายแล้ว ลุงฮัวจะไปทำงานเลยมาส่งพวกเราที่นี่ ตอนนี้ก็ไปทำงานแล้ว”
“ฉิงฮัวนี่ก็จริงๆเลย มาถึงประตูบ้านแล้วก็ยังไม่เข้ามากินอะไรสักหน่อย เขาต้องเรียนรู้จากพระเจ้าอวี่ บ้างนะ” แอนนิบ่น
“ปลาตัวใหญ่? ทำไมอาฮัวจะต้องเรียนรู้จากปลาตัวใหญ่ด้วยล่ะคะ หรือว่าเขาอยากจะว่ายน้ำไปทำงาน?” จิ่วจิ่วมองผู้ใหญ่อย่างไม่เข้าใจ จากที่เธอพูดมาเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
“คือพระเจ้าอวี่ (ต้าอี่) ไม่ใช่ปลาใหญ่(ปลาในภาษาจีนออกเสียงต้าอี่)” เฉิงเฉิงรีบอธิบายให้จิ่วจิ่วฟัง
“พี่เฉิงเฉิงคะ ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นอาฮัวกับพระเจ้าอวี่ มีความสัมพันธ์อะไรกันล่ะ พระเจ้าอวี่ คือใครเหรอคะ?” จิ่วจิ่วยังคงซักถามต่อไปจนถึงที่สุด
“ให้ฉันพูดเรื่องนี้เอง” หยางหยางคว้าเอาบทสนทนาไป : “คุณลุงหัวฟูไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระเจ้าอวี่ เลยแม้แต่น้อย พระเจ้าอวี่ เป็นชายชรา เขาผันน้ำท่วมที่ไหลผ่านหน้าบ้านเขาสามครั้งแต่น้ำไม่เข้าไปในบ้านเลย”
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมเขาถึงผ่านหน้าบ้านแล้วไม่เข้าไปล่ะคะ? หรือว่าในบ้านเหลือเขาคนเดียวหรือเปล่า?”
“อันนี้มันก็…” หยางหยางคิดว่าเธอจะเข้าใจหลังจากที่อธิบายทั้งหมดแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเธอยังมีคำถามมากมายเป็นชุด
อย่างไรก็ตามเขามีความคิดขึ้นมาฉับไวและพูดว่า : “ในบ้านของเขามีคนหลายคน เหมือนกับบ้านเราเลย แต่โดยสรุปนะ การใช้พระเจ้าอวี่ มาอธิบายถึงลุงหัวฟูคือกำลังบอกว่าเขาทำงานหนัก”
ถึงแม้จิ่วจิ่วจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็เข้าใจมากขึ้นหลายส่วน : “ที่แท้เรื่องเป็นอย่างนี้เอง ถ้าอย่างนั้นอาฮัวทำงานเป็นนายแบบใช่ไหมคะ?”
***
ความไร้เดียงสาของจิ่วจิ่ว เป็นส่วนประกอบที่เพิ่มบรรยากาศแห่งความสุขให้กับมื้อเช้าของบ้านนี้ไม่น้อย
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงมีอาหารเหลืออยู่บนโต๊ะ
หยางหยางกินอิ่มจนเรอ
กู้ฮอนหันไปมองลูกชายอย่างขยะแขยง : “ดูลูกที่ทำตัวยังกับไม่มีอนาคตสิ กินเหมือนไม่เคยกินมาก่อน”
หยางหยางพูดอย่างไม่ค่อยมีความสุขมากนัก : “จะโทษผมไม่ได้หรอกนะ ต้องพูดว่าป้าแอนนิ ทำอาหารได้อร่อยมากเกินไป นอกจากนี้ ทำไมแม่ถึงพูดแต่ผมล่ะ ทำไมไม่พูดถึงป้าเฉียวเฉียวด้วยล่ะครับ เธอกินเยอะกว่าผมเสียอีก”
เสียงลดลงไปแล้ว แล้วก็บิดก้นของเขา: “โอ๊ะโอ…ป้าเฉียวเฉียว โดนผมเปิดโปงก็เลยตอบโต้ ทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ”
ลั่วเฉียวกินชิ้นสุดท้ายเสร็จแล้ว ถึงได้เลียนิ้วของตนเองอย่างพึงพอใจ : “ฉันเพิ่งจะคลอดลูกนี่นา คุณแม่ต้องการสารอาหารไม่รู้หรือไง”
“พวกเด็ก รีบสะพายเป้ได้แล้วจ้ะ พวกหนูต้องไปโรงเรียนแล้ว” กู้ฮอนพูดพร้อมกับตบมือ
“มันแปลกจริงๆ ทำไมวันนี้พ่อถึงไม่มารับพวกเรานะ?” หยางหยางสงสัย หลังจากนั้นสายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่กู้ฮอน : “คุณแม่ ไม่ใช่ว่าเมื่อวานนี้แม่ทำให้พ่อโกรธนะครับ”
กู้ฮอนที่กำลังสวมเสื้อโค้ท มีใบหน้าหม่นหมองลงไปชั่วขณะ : “แม่จะไปยั่วอะไรเขาล่ะ นอกจากนี้ นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ลูกเป็นเด็กจะเข้าใจอะไร