เดิมพันรักยัยตัวแสบ – เดิมพันรักยัยตัวแสบ – บทที่ 1041 ได้ดั่งปรารถนา

เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1041 ได้ดั่งปรารถนา

บทที่ 1041 ได้ดั่งปรารถนา

มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ นับตั้งแต่หยางหยางให้พวกของจินเล่ย ตีเขาจริงๆ ก็ยิ่งมีความรู้สึกสมจริงมากขึ้น และทำให้คนอื่นๆรอบข้างพากันแตกตื่นมากขึ้นไปด้วยเช่นเดียวกัน

เฉิงเฉิงมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่พอเห็นหยางหยางถูกตี เขาเกิดความกังวลใจ

***

เฉิงเฉิงเห็นว่าจินเล่ยและแกงค์ของเขาหายไประยะหนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้กลับมาสร้างปัญหาให้กับหยางหยางอีกครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อย

เขารีบพุ่งเข้าไปยังกลุ่มคนห้าคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ : “จินเล่ยแกยังไม่ยอมจบสินะ อยากจะแก้แค้น มาตีฉันก็ได้นี่ ทำไมต้องมาหาเรื่องหยางหยางอีก”

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเฉิงเฉิง ไม่เพียงแค่จินเล่ยเท่านั้นที่ประหลาดใจ แม้แต่หยางหยางก็เช่นกัน

โดยเฉพาะหยางหยาง เขาไม่อยากให้เฉิงเฉิงทำลายเรื่องของเขา เขาขยิบตาให้เฉิงเฉิงแล้วกระซิบว่า : “นายรีบหลบไปเลย พวกเรากำลังแสดงละครอยู่นะ บอกนายเลยว่าอย่ามาทำลายเรื่องดีๆของฉัน”

ทันทีที่เฉิงเฉิงได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ พวกเขากำลังแสดงละครอยู่งั้นเหรอ? ตนเองเห็นอยู่ชัดๆว่าพวกเขากำลังต่อสู้กันจริงๆนี่นา หยางหยางเพียงอยู่เฉยๆเท่านั้น และโต้กลับในบางโอกาส

หยางหยางเห็นว่าเฉิงเฉิงไม่ขยับ จึงพูดกับหวูเสี่ยวเอ๋อที่อยู่ข้างๆเขาว่า : “นายดึงเขาออกไปที อย่าให้มาทำลายเรื่องดีๆของฉัน”

การปรากฏตัวของเฉิงเฉิงไม่ได้ทำให้หยางหยางคิดได้เลยจริงๆ และพวกเขาก็เพิ่มความสมจริงในการแสดงมากยิ่งขึ้นหลายเท่าตัว

ผู้ชมรอบข้างเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเผชิญหน้ากับจินเล่ยที่ก้าวร้าว หยางหยางก็ก้าวถอยหลังไปทีละก้าว ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มมีความกังวลใจต่อหยางหยาง

บางคนเริ่มให้กำลังใจหยางหยาง : “เป่หมิงซีหยาง นายจะต้องชนะให้ได้นะ อย่าปล่อยให้เจ้าจินเล่ยต่อยล้มได้ พวกเราทุกคนเชียร์นายอยู่”

ได้ยินทุกคนกำลังให้กำลังใจตัวเองอยู่ ไม่ต้องพูดเลยว่าในใจของหยางหยางจะมีความสุขมากแค่ไหน เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองได้กลับมาอยู่ท่ามกลางพวกเขาอีกครั้ง

ถ้าหากเป็นเช่นนั้นได้จริง เขาไม่สนใจหรอกว่าจะโดนต่อยกี่ครั้ง

สิ่งนี้เรียกว่าการทำ “กลยุทธ์ทุกข์กาย”

“โอ๊ะโอ…” หยางหยางกำลังคิดในใจ แล้วก็โดนหมัดของจินเล่ยต่อยเข้าที่ท้องอย่างไม่ทันตั้งตัว

หลังจากที่ร้องออกมาแล้ว ก็ใช้สองมือกุมที่ท้อง ร่างเล็กๆนั้นงอตัวขึ้นมานิดหน่อย

จินเล่ยเองก็ตกใจเมื่อเห็นว่าตัวเองต่อยหยางหยางเข้าจริงๆ แล้วรีบดึงมือกลับ ก่อนจะยืนมองหยางหยางอยู่ที่เดิมด้วยความประหม่า

ถึงจะตีหยางหยางได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาถูกทุบตีได้จริง ไม่ต้องพูดถึงว่าแรงระเบิดที่ท้องครั้งนี้แรงมากจริงๆ

เหงื่อเย็นๆไหลออกมาที่หน้าผากของเขาเล็กน้อย

แต่ถึงกระนั้น หยางหยางก็ยังไม่ลืมส่งสัญญาณให้กับจินเล่ย ให้เขาแสดงฉากการต่อสู้ต่อไปทั้งหมด และห้ามทำให้ความพยายามที่ทุ่มเทต้องสูญเปล่า

ตอนนี้จินเล่ยเข้าใจความหมายทั้งหมดแล้ว

เขาเดินไปที่ด้านหน้าของหยางหยาง แล้วยิ้มอย่างเย็นชา : “เจ้านี่แข็งแรงมากเลยนะ หมัดนี้ฉันคืนให้กับครั้งล่าสุดที่แกต่อยฉันสองครั้ง เป็นยังไงบ้างล่ะ ถือว่าฉันยังดีกับแกอยู่นะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน หมัดที่เหลือไว้ฉันมีอารมณ์เมื่อไหร่ค่อยกลับมาจัดการแกอีกที”

หลังจากนั้นก็พูดกับพวกเด็กๆที่มุงดูอยู่ว่า : “ต่อจากนี้ไปฉันเป็นหัวหน้าของที่นี่ เมื่อพวกแกเจอฉันรู้ว่าควรต้องทำยังไงแล้วสินะ”

พูดจบแล้ว เขากับสมุนอีกสองคนทำท่าทางที่ทำให้คนที่ดูอยู่สะดุ้งตกใจ : “พวกเราไป!”

จินเล่ยและคนของเขาเดินกร่างออกไปแล้ว คนอื่นๆถึงได้มารุมล้อมรอบตัวหยางหยาง และบางคนก็ถามเขาว่า : “เป่หมิงซีหยาง นายโอเคไหม? ทำไมวันนี้นายถึงไม่เป็นแบบเดิมล่ะ? ก่อนหน้านี้ฉันเคยเห็นนายจัดการจินเล่ยลงไปกองกับพื้นภายในท่าเดียวนี่นา”

เฉิงเฉิงประคองหยางหยางขึ้นมา

หยางหยางกัดฟันและฝืนยิ้มไปด้วย : “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพราะว่าฉันโชคดีหรือไง ตอนนี้ดูเหมือนว่าโชคของฉันไม่ดีขนาดนั้นแล้ว ครั้งนี้ฉันเลยโดนตีจนเจ็บจริงๆ”

แต่ว่าในเวลานี้ หยางหยางยังไม่ลืมปัญหาที่รายล้อมรอบตัวเขามาโดยตลอด : “เฮ้ นับตั้งแต่ตอนนั้น เวลาที่ฉันอยากเล่นกับพวกนาย ทำไมพวกนายต้องหลบฉันไปเสียไกลด้วยล่ะ?”

**

อันที่จริงเฉิงเฉิงก็อยากจะรู้ถึงคำถามข้อนี้ของหยางหยาง นับแต่นี้ เขาสามารถมองเห็นความเศร้าโศกของเขาได้อยู่ตลอด

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นฝาแฝดกัน และมีกระแสจิตเชื่อมถึงกันอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าสามารถอ่านใจของอีกฝ่ายได้

ในที่สุด ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้หยางหยางถึงได้ดูไม่มีความสุขระหว่างทางที่มาโรงเรียน ที่แท้สาเหตุเป็นเช่นนี้นี่เอง

เขาแปลกแยกจากคนอื่นๆ หรือว่านี่จะเป็นจุดประสงค์ของการแสดงระหว่างเขากับจินเล่ย ใช่หรือเปล่า?

หยางหยางโพล่งคำถามนี้ออกมา ทำให้เด็กๆที่มุงดูอยู่รอบๆมองหน้ากันสักพัก

ในที่สุดก็มีคนลุกขึ้นและพูดว่า : “ไม่ใช่ว่าไม่อยากเล่นกับนาย แต่นายโผล่มาทีไร จินเล่ยคนนั้นก็ตามมาบ่อยๆ พวกเราเกลียดเขามากเลย ดังนั้น…”

คำตอบนี้สร้างความประหลาดใจให้กับหยางหยางจริงๆ เขาคิดมาตลอดว่าพวกเขากลัวตนเอง และคิดว่าตัวเองได้กลายเป็น “อันธพาลตัวน้อย” เหมือนจินเล่ย…

เมื่อย้อนคิดดูเหมือนกับว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ ไม่ว่าตนเองจะไปที่ไหนก็ตาม จะรู้สึกเหมือนว่ามีคนคอยติดตามอยู่เสมอ

เหมือนเมื่อกี้นี้ ก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ

ปัญหาทั้งหมดอยู่ที่แกงค์ของจินเล่ย นั่นแหละ

ที่แท้ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเข้าใจผิด

ชี่…

ค่อยๆปวดที่ท้องขึ้นมาอีกแล้ว

ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้แต่แรก ทำไมยังจะให้จินเล่ยเล่นละครฉากนี้กับตัวเองอยู่ล่ะ ทำร้ายตัวเองแล้วยังโดนต่อย

ช่างเถอะช่างเถอะ ถ้าไม่เป็นแบบนี้ แล้วตัวเองจะรู้เรื่องพวกนี้ได้จากที่ไหนล่ะ

ในที่สุดเมฆดำที่ลอยอยู่เหนือศีรษะหยางหยางก็มลายหายไปจนหมด

*

เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนในตอนบ่าย หยางหยางก็มีความสุขเป็นพิเศษ

แน่นอนว่า ยังมีจิ่วจิ่วที่มีความสุขเช่นเดียวกับเขา

สามพี่น้องพากันเดินไปที่ประตูด้วยกัน

“พี่เฉิงเฉิง พี่หยางหยาง วันนี้เรียนที่โรงเรียนสนุกไหมคะ?” จิ่วจิ่วสะพายกระเป๋าใบเล็กๆสีชมพู พี่ชายทั้งสองจับมือเล็กๆของเธอเอาไว้

“แน่นอนว่าต้องดีสิ ฉันเพิ่งจะเล่นสงครามหิมะในวิชาพลศึกษาอย่างมีความสุข ฉันกวาดล้างศัตรูได้รวดเดียวจนสำเร็จเลยนะ” หยางหยางโอ้อวดอย่างลำพอง

เฉิงเฉิงเหลือบมองเขา : “นายเล่นอย่างเพลิดเพลินขนาดนี้ ดูเหมือนจะไม่ปวดท้องแล้วสินะ”

“พี่หยางหยาง พี่ปวดท้องเหรอคะ เดี๋ยวหนูให้แม่พาพี่ไปตรวจที่โรงพยาบาลนะคะ” ถึงแม้จิ่วจิ่วจะยังเด็ก แต่มันไม่มีผลต่อความห่วงใยที่มีต่อพวกพี่ชายแม้แต่น้อย

“ไม่ต้องหรอก ฉันหายปวดท้องตั้งแต่คาบเรียนที่สองแล้ว น้องสาว เธอห้ามบอกให้พ่อกับแม่รู้อย่างเด็ดขาดเลยนะ เข้าใจหรือเปล่า?” หยางหยางกำชับ

“ทำไมล่ะคะ?” จิ่วจิ่วดูสับสน

“ไม่ต้องถามว่าทำไม สรุปสั้นๆว่าไม่ต้องพูดก็พอแล้ว เพียงแค่เธอเชื่อฟัง พอกลับไปที่บ้านแล้วฉันจะพาไปเล่นหิมะนะ”

จิ่วจิ่วห่อปากเล็กๆ จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ : “งั้นก็ได้ค่ะ”

เมื่อพวกเขาเดินมาถึงปากประตูโรงเรียน ก็เห็นร่างสูงใหญ่ของเป่หมิงโม่ยืนอยู่ข้างรถ

“พ่อครับ…” เฉิงเฉิงเดินไปด้านข้างพร้อมกับทักทาย

“คุณพ่อ / พ่อ” หยางหยางและจิ่วจิ่วเองก็ทักทายเขาด้วยเช่นกัน

เป่หมิงโม่ยิ้มนิดๆเมื่อเห็นลูกๆทั้งสามคน : “ดูแล้ววันนี้พวกลูกทั้งสามคนมีวันที่ดีมาก”

“ใช่แล้วล่ะครับ วันนี้ดีมากเลย” หยางหยางพูดพร้อมกับเปิดประตูหลังรถ หลังจากนั้นจึงให้เฉิงเฉิงและหยางหยางเข้าไปนั่ง ตนเองเข้าไปนั่งเป็นคนสุดท้ายแล้วจึงปิดประตู

“แม่ก็อยู่ด้วยเหรอเนี่ย” เมื่อเขาเข้าไปแล้ว ก็มองเห็นกู้ฮอนนั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับเข้าพอดี

“ลูกรักจ๊ะ นั่งเรียบร้อยแล้ว รัดเข็มขัดด้วยนะ เรากำลังจะกลับบ้านกันแล้ว”

**

ความมืดเข้าปกคลุม ในดินแดนที่มีทั้งเสียงอึกทึกครึกโครมและมีความสงบอีกครั้งหนึ่ง ท้องฟ้ามืดครึ้มเพราะยังคงหิมะโปรยปราย

“ตกมาทั้งวันแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววจะเบาลงเลย สภาพอากาศแบบนี้ฉันเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก” กู้ฮอนยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องนั่งเล่น มองไปยังสถานที่ที่อยู่ไม่ไกลจากประตูหน้าบ้าน

ที่ตรงนั้นมีลูกทั้งสามคนยืนอยู่ พวกเขากำลังถือพลั่วและไม้กวาดเล็กๆอยู่

ตรงหน้าของพวกเขามีตุ๊กตาหิมะที่สูงไม่ต่างจากพวกเขา

หลังจากที่รับพวกเด็กๆกลับมาแล้ว เป่หมิงโม่ก็พาพวกเด็กๆไปด้วยกัน

ครั้งนี้ดีกว่าที่พวกเขาได้ปั้นเมื่อตอนเช้าตรู่ ตัวนี้มีจมูกที่ทำจากแครอท และมีถังพลาสติกสีแดงเป็นหมวก

เด็กทั้งสามคนพึงพอใจกับตุ๊กตาหิมะตัวนี้เป็นอย่างมาก หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ก็วิ่งออกไปข้างนอก พวกเขายังต้องการสร้างอีกตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่เหมือนกับตัวนั้นด้วยพละกำลังของพวกเขาเอง

เป่หมิงโม่ยืนอยู่ข้างกู้ฮอน ในแก้วกาแฟของเขามีกลิ่มหอมของกาแฟพัดออกมาเบาๆ แทบจะหอมฟุ้งไปทั่วห้องรับแขก

“นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมได้เห็น” เขาพูด

“ครั้งที่สอง?” กู้ฮอนหันหน้าไปมองเป่หมิงโม่อย่างเต็มไปด้วยความแปลกใจ “ถ้างั้นเห็นครั้งแรกที่ไหนเหรอคะ?”

“ครั้งที่หนึ่งน่ะ…” เป่หมิงโม่ดื่มกาแฟอึกหนึ่ง สายตาเปลี่ยนเป็นล้ำลึกมากยิ่งขึ้น น่าจะอยู่ในความทรงจำ

ผ่านไปสักพักจึงได้เอ่ยปากพูดว่า : “เป็นในไร่ของคุณป้า วันนั้นหิมะตกหนักเหมือนกับวันนี้ อ้อ ไม่สิ น่าจะตกหนักกว่าอีก”

กู้ฮอนฟังเสียงที่พึมพำของเป่หมิงโม่แล้วก็รู้สึกได้ลางๆว่านี่จะต้องเป็นช่วงเวลาความทรงจำอันเลวร้ายของเขาอย่างแน่นอน

“คุณดูเด็กสามคนนี้สิคะ พวกเขาเล่นอยู่ข้างนอกอย่างมีความสุขมากเลย” กู้ฮอนจงใจเปลี่ยนหัวข้อ เธอไม่อยากที่จะฟังความทรงจำที่เจ็บปวดของเขาอีก

หัวข้อเช่นนี้หนักหนาเกินไปจริงๆ มันหนักอึ้งเกินไปจนไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองหายใจได้อย่างราบรื่น

เป่หมิงโม่ดื่มกาแฟอึกสุดท้าย : “ค่ำแล้ว ผมต้องกลับแล้วล่ะ”

พูดแล้วเขาก็หมุนตัวเดินไปที่โต๊ะกาแฟ แล้วก้มตัวเล็กน้อยเพื่อวางแก้วลงตรงนั้น

“คุณ…” เดิมทีกู้ฮอนอยากจะพูดว่า “คุณจะไม่อยู่ต่ออีกหน่อยเหรอ?” แต่หลังจากที่พูดคำแรกออกมา ก็กลืนคำที่ตามมาลงคอไปอย่างยากลำบาก

แล้วพูดว่า “ขับรถกลับระวังด้วยนะคะ”

เธอรู้ว่า ที่จริงแล้วตอนนี้เป่หมิงโม่พักอาศัยอยู่ไม่ไกลจากวิลล่านี้

เพียงแต่ว่า ถนนที่นำไปสู่วิลล่าซานปานนั้น ขับไม่ง่ายนักหลังจากที่มีหิมะหนา

ครั้งหนึ่งเธอเคยเห็นในวิดีโอบนอินเตอร์เน็ต ในวันที่มีหิมะตก เมื่อรถจำนวนมากขับขึ้นไปบนทางลาดชันเช่นนี้ รถยนต์ล้วนแต่ลื่นไถล ถ้าหากจัดการได้ไม่ดี อันตรายที่ไม่คาดคิดอาจจะเกิดขึ้นได้

เป่หมิงโม่หันไปมองกู้ฮอน หลังจากนั้นจึงพยักหน้าเล็กน้อย : “อืม ผมรู้แล้ว”

พูดแล้วเขาก็จัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก

ในไม่ช้ากู้ฮอนมองเห็นเป่หมิงโม่ในที่ๆสามารถมองจากหน้าต่างได้ เขามาหาเด็กๆสามคนแล้วลูบหัวเล็กๆของเด็กๆด้วยความรักทีละคน

ในที่สุดเขาก็ย่อตัวลงแล้วโอบกอดจิ่วจิ่ว

ภาพนี้ทำให้กู้ฮอนรู้สึกอบอุ่นอยู่ภายในใจ เธอยังย้อนคิดไปถึงช่วงวัยเด็กของเธออีกด้วย

ถึงแม้ว่ากู้เซิงเทียนจะไม่ค่อยดีกับเธอมากนัก แต่บางครั้งบางคราวก็ยังให้ความสนใจและมีความรักให้กับตนเองเหมือนที่เป่หมิงโม่มีความรักให้กับจิ่วจิ่ว

เพียงแต่ว่าสามารถใช้นิ้วนับจำนวนได้เท่านั้นเอง

**

เด็กๆยืนอยู่ด้านนอก รวมถึงกู้ฮอนที่อยู่ตรงหน้าต่างมองดูเป่หมิงโม่ขึ้นรถ จากนั้นค่อยๆขับออกไป

บนพื้นปรากฏเป็นร่องลึกสีขาวของล้อรถสองร่อง

เดิมพันรักยัยตัวแสบ

เดิมพันรักยัยตัวแสบ

Status: Ongoing

เธอเป็นหญิงสาวที่มีความลำบาก ตกลงเป็นแม่อุ้มบุญ เขาเป็น ประธานใหญ่ เธออ่อนโยนและน่ารัก เขาโหดร้ายและเย็นชา.

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท