บทที่ 1072 ติดค้าง
ตอนนี้ การเผชิญหน้ากับโม้จิ่งเฉิงก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง: “ไม่ผิด ในใจของผมเป็นเหมือนพวกเขา คุณรู้ว่าครั้งนั้นผมกับฮอนออกไปทำอะไรไหม?”
โม้จิ่งเฉิงส่ายหัว เขาขมวดคิ้วมองเป่หมิงโม่ ไม่ค่อยเข้าใจคำพูดนี้ของเขา
“เราไปที่หลี่เชิน”
เหนือความคาดหมายของโม้จิ่งเฉิง
“คุณยังจำได้ไหมก่อนกินข้าวกู้ฮอนมีสายเข้า เป็นถังเทียนจื๋อที่โทรมา เพราะหลี่เชินอยากเจอฮอน ดังนั้นจึงเรียกให้เขามารับ และผมแอบสะกดรอยตามพวกเขาไป” เป่หมิงโม่เล่าเรื่องย่อๆ ให้เขาฟังที่เหลือ
“หลี่เชินยิ่งแก่ยิ่งขี้หวาดระแวง ไม่เชื่อคำพูดใครเลย ดูแล้วหากนายต้องการกู้บริษัทเป่หมิงกลับมาค่อนข้างยากแล้ว”
เป่หมิงโม่ยกชาขึ้นมาจิบ: “ใช่ ผมยังต้องการกู้บริษัทเป่หมิงกลับมาอย่างโจ่งแจ้ง ไม่อยากเล่นอุบายเหมือนพวกเขา แต่ตอนนี้อยู่ในโหมดกลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
ตอนนี้โม้จิ่งเฉิงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเสื้อสูทยื่นให้เป่หมิงโม่
“นี่คืออะไร?” เป่หมิงโม่รับไว้ในมือ ด้วยสายตาสงสัย
“เปิดดูแล้วนายจะเข้าใจเอง หากนายได้ใช้มันก็เอาไปใช้เถอะ”
เป่หมิงโม่เปิดออกมาดูเป็นกุญแจหนึ่งดอก ยิ่งทำให้เขาแปลกใจ ยังไงก็ดูไม่ออกว่าจะช่วยตัวเองได้
“นี่…”
“นี่คือกุญแจตู้เซฟของธนาคารxx ฉันวางของไว้ข้างในหนึ่งอย่าง”
***
เป่หมิงโม่กำกุญแจดอกนี้ไว้ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าในตู้เซฟวางอะไรไว้ แต่สัมผัสได้ถึงน้ำหนักของมัน
โม้จิ่งเฉิงมองเขา: “ตอนนี้ฉันอยากถามอะไรนายอย่างหนึ่ง: หากมีสักวันบริษัทเป่หมิงกลับมาอยู่ในมือของนายอีกครั้ง นายจะทำยังไง?”
เป่หมิงโม่มองแล้วยิ้มอย่างขมขื่นให้เขา: “ผมยังไม่เคยคิด การจะกู้คืนบริษัทเป่หมิงได้หรือไม่นั้นยังไม่รู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวันข้างหน้า”
“ทำไม เป่หมิงโม่ที่เคยกล้าคิดกล้าทำที่ฉันรู้จักครั้งนี้ได้หายไปแล้วเหรอ? หากเป็นเช่นนี้ ฉันคงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย” วินาทีนี้โม้จิ่งเฉิงมองเขาด้วยแววตาผิดหวัง
“อาโม้ คุณคิดผิดแล้ว ผมยังคงเป็นผมคนเดิม เพียงหลังจากได้ประสบเรื่องต่างๆ มามากมาย ผมรู้สึกว่าตัวเองควรรู้ว่าจริงๆ แล้วต้องการอะไร เมื่อก่อนเอาความทุ่มเททั้งหมดไว้ที่บริษัทเป่หมิง นั่นเพียงเพราะต้องการยืนยันความสามารถของตัวเองให้คุณพ่อ แน่นอนยังรวมถึงความแค้นที่มีต่อเขา แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ชีวิตแบบนั้นไม่เหมาะกับผมเลย หากให้ผมรักษาบริษัทเป่หมิงได้อีกครั้ง ผมเลือกที่จะมอบให้คนอื่นมาทำ”
โม้จิ่งเฉิงมองเขา: “หรือว่านายไม่อยากจะกลับไปมีชีวิตที่รุ่งโรจน์เหมือนเมื่อก่อน นายลองคิดดูดีๆ ชีวิตที่ได้เป็นประธานบริษัทเป่หมิงกับชีวิตที่อิสระสองอย่างนี้ ฉันคิดว่านายยังคงเป็นคนที่มีอุดมคติคนหนึ่ง แล้วจะกลับไปมีชีวิตที่ธรรมดาแบบนี้แล้วเหรอ?”
“พูดยังไงดี ผมทำแบบนี้ก็เพราะตัวเองติดค้างพวกเด็กๆ ไว้เยอะมาก ช่วงที่เขาเติบโตผมไม่ได้อยู่เคียงข้าง และเฉิง น้อยมากที่ผมจะสนใจเขา ส่วนเด็กอีกสองคนผมไม่ถือว่าตัวเองเป็นพ่อคน ดังนั้น ผมต้องการมีเวลาอยู่ดูพวกเขาเติบโตให้มากขึ้น แน่นอนผมยังติดค้างอีกคนหนึ่ง และติดค้างเธอจนชีวิตนี้คืนไม่หมด
เป่หมิงโม่พูดแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบบางอย่างออกมา แต่หาแล้วก็ไม่เจออะไร
เวลานี้ โม้จิ่งเฉิงยื่นกล่องบุหรี่ให้เขา
เป่หมิงโม่เหลือบมอง แต่ไม่รับไว้: “ไม่จำเป็นแล้ว เช้านี้ผมเลิกบุหรี่แล้ว”
โม้จิ่งเฉิงเก็บบุหรี่: “นายทำเพื่อลูกสาวบุญธรรมฉันใช่ไหม ฉันดูออกแต่แรกแล้วว่าในใจของนายมีเธอ และฉันก็คอยดูการเติบโตของพวกนานมาโดยตลอด ท่าทีของเมื่อก่อนกับท่าทีของตอนนี้ที่นายมีต่อเธอ”
“ในวันนี้ที่ผมเปลี่ยนไป ส่วนใหญ่เป็นเพราะเธอ เป็นเธอที่ให้ผมที่หลงทางกลับมาเป็นตัวเอง ดังนั้น ผมหวังว่า แน่นอนต้องแล้วแต่สถานการณ์ว่าเธอจะเห็นด้วยไหมใช้ชีวิตหลังจากนี้ไปด้วยกัน”
“ฉันไม่อยากให้คุณละทิ้งอุดมคติของคุณเพราะฉัน!”
เป่หมิงโม่เพิ่งพูดจบ ก็มีเสียงของกู้ฮอนดังมา
“ฮอน เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” โม้จิ่งเฉิงมองลูกสาวบุญธรรมของตัวเองที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกเขาด้วยความตกใจ
บางทีเพราะตอนที่ตัวเองพูดคุยกับเป่หมิงโม่ จึงไม่ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของรอบด้าน
“สิ่งที่พวกคุณพูดฉันได้ยินทั้งหมดแล้ว” กู้ฮอนพูดแล้วเดินไปตรงหน้าของเป่หมิงโม่: “ระหว่างฉันและนายไม่มีอะไรติดค้างกัน เรายุติธรรมกันทั้งสองฝ่ายแล้วไม่ใช่เหรอ บริษัทเป่หมิงเป็นธุรกิจของตระกูลเป่หมิงของพวกคุณ การเป็นเสาหลักของตระกูลเป่หมิงนายไม่ทำแล้วจะหวังให้ใครทำได้?”
***
เป่หมิงโม่มองกู้ฮอนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของตัวเอง ท่าทางของเธอในตอนนี้ทำให้เขานึกถึงช่วงที่เธอและตัวเองปะทะกัน
“คนของตระกูลเป่หมิง ไม่มีใครก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้ ส่วนฉัน เพียงแค่ฉวยโอกาสนี้มอบให้กับคนที่ต้องการฝึกฝน ไม่ควรเอาเรื่องทุกอย่างมาพึ่งผมถึงจะสำเร็จ ฉันก็เป็นคน ไม่ได้มีกระดูกเหล็กเหมือนทาเธอเข้าใจ นอกจากนี้ ฉันยังได้วางแผนอนาคตของชีวิตแล้ว ไม่ด้อยไปกว่านี้แน่นอน”
เป่หมิงโม่พูดถึงตรงนี้ เขาลุกขึ้นมาจับมือของกู้ฮอน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน: “หากเธอยอมพาเด็กๆ ไปมีชีวิตใหม่พร้อมกับฉัน ฉันจะทำให้พวกเธอมีความสุข”
หรือนี่เป็นการสารภาพ? แต่มันกะทันหันเกินไป หัวสมองของกู้ฮอนว่างเปล่าทันที
ตอนนี้ตัวเองยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไร โดยเฉพาะเตรียมใจที่จะเผชิญหน้ากับเขา
แม้ว่าตัวเองก็รู้สึกได้ถึงความหมายของเขา แต่ว่าสิ่งที่อยู่ในใจยังไม่หายไปทั้งหมด
บางทีอคติในใจได้มลายหายไปทั้งหมดแล้ว ในตอนที่เธอไม่ทันรู้ตัว แต่เธอไม่กล้ายอมรับความจริงในข้อนี้
จะลืมคนที่เคยทำร้ายตัวเองได้อย่างหมดจดได้อย่างไรกัน? และตอนนี้ไม่มีความเกลียดชังกับเขาเลยแม้แต่น้อย?
ความจริงแบบนี้ค่อนข้างยอมรับได้ยาก อย่างน้อยประตูขั้นในใจยังไม่ก้าวผ่านพ้นไปได้
แต่เธอรู้สึกได้ว่าใบหน้าของตัวเองแดงเหมือนไฟเผา นี่เป็นแค่ความฝัน ก็เหมือนความฝันเมื่อก่อน
เดิมทีคิดว่าระหว่างพวกเขาไม่มีความขัดแย้งกันอีก แต่ว่าผ่านไปไม่กี่วันก็จะเป็นเหมือนศัตรูกัน
เธอใช้แรงสะบัดมือที่เป่หมิงโม่จับไว้ออก: “ระหว่างเรามีปัญหามากเกินไป การเผชิญหน้ากับคุณในตอนนี้ยังยอมรับไม่ได้ ขอโทษ” พูดแล้ว เธอก็หมุนตัวรีบออกไปจากห้องนั่งเล่นขึ้นไปชั้นบน
เป่หมิงโม่มองไปทางที่เธอเดินจากไป เช่นกันในใจรู้สึกถึงรสชาติ
นี่อาจเป็นผลที่เขาเคยทำเรื่องเลวๆ กับเธอไว้
แม้จะเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขาทำกับเธอ แต่ยังคงมีรอยแผลหลงเหลือไว้ในใจของเขา
รอยแผลนี้สามารถทำให้เขาได้เห็นตัวเองได้อย่างชัดเจน
“โม่ อย่าท้อ ฮอนเด็กคนนี้แม้ปากจะพูดแบบนี้ แต่ฉันรู้ว่าในใจของเธอไม่ได้คิดแบบนั้น เรื่องอดีตของพวกนายทั้งสองคนฉันก็รู้มาบ้าง ดังนั้นเธอยังไม่กล้าที่จะยอมรับ เธอกลัวว่าตัวเองจะถูกทำร้ายอีกครั้ง เธอถูกทำร้ายนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว”
โม้จิ่งเฉิงถอนหายใจเบาๆ : “ฮอนเหมือนแม่ของเธอ ความรักของสองแม่ลูกนี้รันทดมากเกินไป” พูดจบเขาลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เดินจากไป
ตอนนี้ในห้องนั่งเล่นเหลือเพียงเป่หมิงโม่คนเดียว
คำพูดของฮอนเมื่อกู้วนเวียนอยู่ข้างหูของเขาตลอด
เขาจิบชาที่เหลือให้หมด หมุนตัวเดินกลับไปห้องนอนของตัวเอง
ตอนนี้เขานอนไม่หลับ เปิดประตูเดินไปที่ระเบียง อุณหภูมิเวลานี้หนาวเย็นกว่าตอนเช้า
มีเพียงอุณหภูมิแบบนี้ถึงจะสามารถทำให้เขาคิดทบทวนตัวเองได้
เช่นเดียวกับเป่หมิงโม่ ยังมีกู้ฮอนที่ยังคงไม่ได้พักผ่อน
เธอนอนห้องเดียวกับจิ่วจิ่ว เตียงใหญ่พอ เธอปฏิเสธไม่ได้ว่าความรักที่เป่หมิงโม่มีต่อลูกนั้นเป็นความจริง
แต่ก็เหมือนที่เธอพูดเมื่อกี้ เธอไม่กล้าที่จะเชื่อว่าเขาจะรู้สึกกับเธอจริงๆ
***
วันรุ่งขึ้นหลังวันคริสต์มาส กู้ฮอนถูกปลุกให้ตื่นด้วยนาฬิกาปลุกของมือถือ
ตอนที่เธอพาลูกๆ เดินลงไปชั้นล่าง สังเกตเห็นว่าเป่หมิงโม่นั่งอยู่ในห้องอาหารแล้ว
แม่ของเขาหวีหรูเจี๋ยและน้องสาวของเธอ และโม้จิ่งเฉิงได้เริ่มรับประทานอาหารกันแล้ว
“พวกเด็กๆ รีบกินเถอะ เดี๋ยวไปโรงเรียนไม่ทัน ฮ่าๆ …” ทุกครั้งที่หวีหรูเจี๋ยเห็นเด็กทั้งสามคน ในใจรู้สึกมีความสุขมาก
คนรุ่นนี้ความรู้สึกลึกซึ้งมาก นอกจากนี้เด็กสามคนนี้ยังทำให้คนเอ็นดู
พวกเขารีบกินอาหารเช้า
กู้ฮอนมองเด็กทั้งสามคน: “บอกลาคุณย่า ย่าน้อยและคุณปู่รึยัง?”
“แน่นอนบอกแล้ว”
หยางหยางพูดจบ โบกมือให้คนแก่ทั้งสามคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม: “ผมไปเรียนแล้ว”
เฉิงเฉิงก็โบกมือตาม
“เด็กดี ไปเถอะ”
เมื่อถึงทีของจิ่วจิ่ว เธอไม่ได้ทำเหมือนพี่ชายทั้งสองคน แต่วิ่งไปตรงหน้าของพวกเขา ให้พวกเขานั่งย่อลงมา จากนั้นก็หอมแก้มของแต่ละคน
ถึงจะเดินออกไปจากวิลล่าพร้อมกับคุณแม่และพี่ชายทั้งสองคน
“รอเดี๋ยว ฉันจะไปกับพวกเธอด้วย”
หลังจากกู้ฮอนพาเด็กทั้งสามคนนั่งเข้าไปในรถแล้ว เป่หมิงโม่ก็เดินออกมา
“เรา…”
กู้ฮอนยังพูดไม่จบ เห็นเพียงเป่หมิงโม่นั่งเข้ามาที่นั่งคนขับอย่างไม่เกรงใจ แล้วคาดเข็มขัดนิรภัย
เมื่อเห็นเช่นนี้ เธอก็ไม่พูดอะไรอีก ทำได้เพียงขึ้นรถไป
“ฉันต้องไปส่งเด็กๆ ที่โรงเรียนก่อน ถึงจะส่งคุณไปบริษัทได้ หากไปสาย ฉันจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งที่ตัวเองก็มีรถ ยังจะมานั่งที่นี่”
กู้ฮอนพูดติดตลกกับเขา
เป่หมิงโม่ทำเหมือนไม่ได้ยิน: “ไม่เป็นไร ทำงานหรือไม่ทำงานฉันเป็นคนกำหนด” พูดแล้ว เขาปรับที่นั่งลงเล็กน้อย
“คุณช่วยตั้งใจทำงานหน่อยไม่ได้เหรอ เป็นถึงพ่อของลูกต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้พวกเขา”
“ทำไม ฉันยังเป็นแบบอย่างได้ไม่ดีเหรอ? ดูเฉิงก็รู้แล้วว่าปกติฉันมีผลกระทบต่อเขายังไงบ้าง แล้วดูหยาง เขาอยู่กับเธอมาแต่เล็ก แทบจะ…แต่ก็ยังดี ยังทันให้เขาดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนได้”
…
กู้ฮอนไปไม่เป็นเลยทีนี้
เขายกตัวอย่างนี้ขึ้นมามันทำให้เธอไม่มีโอกาสตอบโต้
หยางหยางที่นั่งอยู่เบาะหลังไม่ยอม: “พ่อ คุณกำลังว่าผมเหรอ? ผมขอพูดอย่างหนึ่ง ที่ผมได้ผลการเรียนแบบนี้ได้ เพราะตัวผมเองทั้งหมด”