บทที่ 1102 ค่ำคืนที่แสนทารุณ
ที่สำนักงานกฎหมายปู้ฝัน
หยินปู้ฝันกำลังนั่งอยู่ในโต๊ะทำงานของตัวเอง และกำลังหมุนปากกาในมือเล่นอย่างเบื่อหน่าย
ระหว่างเขากับแอนนินั้นถือว่าลงตัวกันแล้ว และพูดตามหลักแล้วเขาไม่น่าจะไม่โดนเรื่องอะไรมารบกวนอีก และที่สำคัญแอนนิก็สนับสนุนหน้าที่การงานของเขาเป็นอย่างมากด้วย
แต่เขาก็มักจะรู้สึกว่าในใจเหมือนกับขาดอะไรบางอย่างไป
อาจจะเพราะว่าช่วงนี้ไม่มีข่าวคราวของลูกชายและลูกสาวบุญธรรมเลยละมั้ง
คนที่เป็นพ่อบุญธรรมอย่างเขาก็เลยจิตใจโหวงเหวงไปบ้าง
ก่อนที่จะไปประเทศอังกฤษ พวกเด็ก ๆ ก็ได้มากล่าวล่ำลากับตัวเองแล้ว แต่ว่าพอเวลานานไปมันก็ต้องคิดถึงกันบ้าง
หรือว่าบางทีอาจจะต้องโทรหาสักหน่อยแล้ว
พูดว่าจะโทรแล้วก็โทรเลย
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออกไปที่เบอร์ของเด็ก ๆ
เหมือนกับว่าเขาจะลืมเรื่องสำคัญไป : นั่นก็คือเรื่องความต่างของเวลา
ตอนนี้ที่ประเทศอังกฤษเป็นเวลาช่วงกลางคืนแล้ว
“ตุ๊ด ตุ๊ด……”
หลังจากที่เสียงรอสายผ่านไปหลายครั้งแล้ว ก็เหมือนกับว่าจะทำให้เขารู้ตัวถึงปัญหาที่สำคัญนี้แล้ว
แต่ว่า ในตอนที่เขากำลังจะกดวางสายลงนั้น ปลายสายอีกฝั่งกลับกดรับขึ้นซะแล้ว
“พ่อปู้ฝัน……” ข้างในมีเสียงเนือย ๆ ของหยางหยางลอยมา
ฟังแล้วเหมือนกับว่าโดนฝืนปลุกตื่นในขณะที่กำลังหลับฝันสบาย ๆ อยู่
“นี่มันเพิ่งจะกี่โมงเอง มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ? หรือคุณน้าแอนนิไม่เอาคุณแล้วใช่ไหมครับ……”
ก้าบ ก้าบ……
ในชั่วพริบตา บนหัวของหยินปู้ฝันก็มีนกกาตัวหนึ่งบินผ่านไป
ใจที่ตอนแรกยังตื่นเต้นน้อย ๆ ของเขา ก็ราวกับมีก้อนหินก้อนหนึ่งมาถ่วงให้ตกลงไปสู่ก้นหนองน้ำลึก ๆ
“เจ้าเด็กตัวเหม็นอย่างนายนี่พูดคำพูดที่มันเป็นมงคลหน่อยไม่ได้เลยเหรอ ใครบอกว่าเขาไม่เอาฉันแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเรายังดีกันอยู่นะ”เขารีบสวนกลับทันควัน
แต่ว่าพอพูดจบแล้ว บนใบหน้าก็รอยยิ้มเยาะตัวเองโผล่ออกมา
ตัวโตขนาดนี้แล้ว ทำไมยังต้องมาจริงจังอะไรกับเด็กด้วย
ในเมื่อปลุกเจ้าเด็กนี่ตื่นแล้ว ก็ถือว่าเขาซวยไปละกัน เมื่อกี้ที่พูดคำอัปมงคลพวกนั้นมา ก็ไม่อาจจะปล่อยเขาผ่านไปได้ง่าย ๆ จะให้เขานอนหลับสบายได้ยังไงกัน
ในใจของหยินปู้ฝันก็มีความคิดแผลง ๆ เกิดขึ้นมา
“นี่ ช่วงหลายวันมานี้ พวกนายคงเล่นกันสนุกสนานมากเลยใช่ไหม แม้แต่โทรศัพท์สักสายก็ไม่โทรหาฉัน พูดความจริงมานะ พวกนายมีพ่อแท้ ๆ แล้ว ก็ไม่มีที่สำหรับพ่อบุญธรรมอย่างฉันแล้วใช่ไหม?”
เขาแสร้งทำเป็นโมโห
หยางหยางนั้นก่อนเที่ยงคืนก็รอพ่อแม่กลับบ้าน พอมาถึงหลังเที่ยงคืนแล้วกว่าจะนอนหลับลงได้ แต่ว่ายังไม่ได้นอนสบายนานสักเท่าไหร่ก็โดนเสียงโทรศัพท์ปลุกตื่นขึ้นอีก
ยังดีที่เฉิงเฉิงกับจิ่วจิ่วเหมือนจะยังนอนหลับกันอยู่
เพื่อไม่ให้กระทบการพักผ่อนของพวกเขา หยางหยางก็เลยเอนร่างกายเล็ก ๆ ของเขาเข้าไปรับโทรศัพท์อยู่ในผ้าห่ม
ตรงจุดจุดนี้ ถือได้ว่าเขาได้ทำเรื่องที่เชื่อถือได้สักเรื่องหนึ่งแล้ว
แต่ว่าทางด้านสติก็ยังมีความสะลึมสะลืออยู่บ้าง
เขาเอาโทรศัพท์แนบชิดกับข้างหู “พ่อปู้ฝัน พวกเราไม่ได้ลืมคุณนะ คุณจะมีชีวิตอยู่ในใจของพวกเราเสมอ แล้วคุณไม่รู้เรื่องความต่างของเวลาเลยเหรอ ที่พวกเราไม่โทรศัพท์หาคุณก็เพราะว่าหวังดีต่อคุณทั้งนั้น”
“ถุย ถุย……ปากนายนี่เสียจริง ๆ เลย อะไรคือ : จะมีชีวิตอยู่ในใจพวกนายเสมอ ฉันยังไม่ตายสักหน่อย แต่ช่างเถอะ ที่ไม่โทรศัพท์มานั้นถือว่าพวกเธอมีใจกตัญญูต่อฉัน ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องส่งข้อความมาบ้างซิ แล้วก็ลวดส่งรูปถ่ายมาให้ฉันดูสักไม่กี่ใบก็ยังดี”
ใต้ผ้าห่มนี้มันช่างร้อนจริง ๆ และอย่างรวดเร็วบนหน้าผากของหยางหยางก็มีเหงื่อซึมออกมาแล้ว เขาอ้าปากหาวใหญ่ ๆ ครั้งหนึ่ง
แต่ว่าในเวลานี้ ในใต้ผ้าห่มกลับมีเสียงอื่นดังขึ้นมา
“บู๊ด……”
ในที่ที่มืดมิดทั้งสี่ด้าน ที่ที่เป็นเตียงใหญ่ของเด็กทั้งสามตั้งแต่แรก แต่กลับมีหัวของเด็ก ๆ โผล่ออกมาแค่สองคนเท่านั้น
ยังมีอีกคนหนึ่งไปไหนแล้วล่ะ?
แน่นอนว่ายังคงอยู่บนเตียงใหญ่ เพียงแต่ว่ากลายเป็นก้อนเนื้อเล็ก ๆ ขดตัวอยู่ในผ้าห่มเท่านั้น
หยางหยางกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับหยินปู้ฝัน และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความตั้งใจของเขาตั้งแต่แรก
เขานั้นโดนปลุกให้ฝืนตื่นขึ้นมาต่างหาก
เพียงแต่ว่าระหว่างที่คุยโทรศัพท์กันนั้น ภายใต้ผ้าห่มกลับมีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เสียงเบามาก แต่ว่าก็เพียงพอให้ที่ที่เล็ก ๆ และแคบนั้นสั่นสะเทือนได้
“บู๊ด……”
ผ้าห่มที่นูนขึ้นมาค่อย ๆ ขยับ จากนั้นก็เคลื่อนที่ไปตรงขอบข้างบนอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดหัวเล็ก ๆ ของหยางหยางก็โผล่ออกมา
สีหน้าของเขาดูไปแล้วไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และยังเริ่มหายใจอย่างแรงขึ้นอีกด้วย มือข้างหนึ่งบีบจมูกเอาไว้
เขาอยากจะทำให้เจ้าคนที่ตดนี้ตื่นขึ้นมาจริง ๆ แต่ทำยังไงได้คนคนนั้นเป็นน้องสาวของเขานี่
คนที่เป็นพี่ชายจะทำใจลงมือกับน้องลงได้ยังไง
แต่ว่าถ้าหากเปลี่ยนเป็นเฉิงเฉิงแล้วละก็ หยางหยางคงจะไม่พูดอะไรมากและถีบเขาทีหนึ่งแน่นอน
“นี่……” ที่ปลายสายอีกฝั่งยังมีเสียงของหยินปู้ฝันดังมา
ที่โทรศัพท์อีกฝั่งของเขานั้นกลับไม่ได้ยินเสียงอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าไม่มีเสียงของหยางหยางตอบกลับแล้ว
“อยู่ครับ อยู่ครับ” พอหยางหยางผ่อนลมหายใจได้หน่อยแล้ว “เอาล่ะ พ่อปู้ฝันผมจะเข้านอนแล้ว จะไม่เสียเวลาคุยกับคุณแล้วนะ ถ้าหากคุณอยากจะเจอพวกเราแล้วละก็ ก็มาหาพวกเราละกัน แค่โทรศัพท์มาดูไม่มีความจริงใจเลยสักนิด”
พอพูดจบก็กดวางสายโทรศัพท์ไปเลย
“เจ้าเด็กตัวเหม็นนี่……”
หยินปู้ฝันจ้องมองโทรศัพท์แล้วมุมปากก็เผยยิ้มออกมาน้อย ๆ และส่ายหัวเบา ๆ ไปด้วย
*
รุ่งเช้า ผู้ชายอังกฤษได้ส่งอาหารเช้าของพวกเขามาให้แล้ว ซึ่งวางเต็มไปหมดทั้งโต๊ะเลย
ถึงแม้ช่วงหลายวันมานี้จะเป็นเช่นนี้ แต่อาหารกลับหลากหลายแปลกใหม่ทุกวัน แบบนี้ถึงจะสามารถรักษาความสดใหม่และความรู้สึกสุขใจได้ทุกวัน
ที่หน้าโต๊ะอาหาร มีผู้ใหญ่สี่คนและเด็กสองคนได้นั่งห้อมล้อมกันอยู่รอบโต๊ะอาหารแล้ว มีเพียงแต่ที่นั่งที่เดียวที่ยังว่างอยู่
เป่หมิงโม่กวาดตามองทีหนึ่ง แล้วก็ไม่พูดอะไรเริ่มก้มหน้าก้มตากินอาหารต่อไป
“ทำไมหยางหยางไม่มากินอาหาร เมื่อวานพวกเธอเข้านอนกันเร็วไม่ใช่เหรอ?” หวีหรูเจี๋ยถามเฉิงเฉิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ขึ้น
เธอจะไปรู้ได้ยังไงว่าเมื่อคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น
เพียงแต่ว่าเวลาเช้ามาวันนี้ ก็เห็นลูกชายตัวเองและกู้ฮอนกลับมาอยู่ตรงนี่แล้ว
“เมื่อวานพวกเราไม่ได้นอนหลับกันครับ จนกระทั่งพ่อกับแม่กลับมาแล้วครับ” เฉิงเฉิงกอดนมแก้วหนึ่งไว้แล้วพูดขึ้นเสียงเบา ยังแอบชำเลืองมองไปทางแม่อีกด้วย
“ฉันไปปลุกเขาตื่นเองค่ะ” กู้ฮอนลุกยืนขึ้น
ภายในห้องนอน หยางหยางกำลังนอนหลับสบายอยู่
ค่ำคืนนี้ช่างเป็นค่ำคืนที่แสนทารุณจริง ๆ เลย
แต่ว่าตอนที่กำลังนอนหลับสบายอยู่นั้น อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าหูตัวเองนั้นเจ็บขึ้นมา
“โอ๊ย……” เขาร้องแล้วก็เอามือกุมหูตัวเองเอาไว้
พอลืมตาดู แม่ก็ยืนอยู่ต่อหน้าต่อตาตัวเองแล้ว
ตอนแรกยังอยากจะด่าทอสักไม่กี่คำ พอเห็นแบบนี้แล้วก็ต้องกลืนลงไปให้หมดเลย
เขาเบ้ปากและขมวดคิ้วไว้แล้วมองไปที่เธอ
“มองอะไรมอง ยังไม่รีบลุกอีก เฉิงเฉิงกับจิ่วจิ่วเขาเริ่มกินอาหารเช้ากันแล้วนะ” กู้ฮอนทำหน้ามุ่ย ทั้งหน้าดูอารมณ์ไม่ดีเลยยังไงอย่างงั้น
“แม่ ให้ผมนอนต่ออีกหน่อยเถอะนะ แม่รู้ไหมเมื่อวานผมนอนดึกมากแค่ไหน……”
“แล้วทำไมเฉิงเฉิงถึงยังตื่นไหวล่ะ”
“เขาก็ต้องตื่นไหวอยู่แล้วนะซิ เมื่อวานหลังจากที่รอพวกแม่กลับมาแล้ว กว่าจะนอนหลับไปได้ ก็ได้รับโทรศัพท์ของพ่อปู้ฝันอีก…..”หยางหยางพูดไป ก็หาวใหญ่ ๆ ขึ้นอีกครั้ง
“เขาโทรศัพท์หาลูกทำไม?” กู้ฮอนรู้สึกแปลกใจขึ้นมา ปกติหยินปู้ฝันจะไม่โทรมาง่าย ๆ แบบนี้ และที่สำคัญยังเป็นเวลากลางดึกอีก หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?
ความกังวลของกู้ฮอนนั้นไม่จำเป็นเลยจริง ๆ หยินปู้ฝันก็เพียงแค่รู้สึกไร้สาระก็เลยโทรมาเท่านั้นเอง
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว หวีหรูเจี๋ยกับโม้จิ่งเฉิงก็จะพาพวกเด็ก ๆ ออกไปเที่ยวเล่น แล้วทิ้งให้เป่หมิงโม่กับกู้ฮอนไว้ที่โรงแรม เหตุผลก็เพราะว่าพวกเขากลับมาดึกเกินไป จำเป็นจะต้องพักผ่อนเยอะ ๆ
สำหรับเหตุผลอันนี้นั้น ก่อนอื่นหยางหยางก็แสดงออกว่าไม่พอใจและต่อต้านอีกด้วย
เขาคิดว่าตัวเองถึงจะเป็นคนที่นอนดึกที่สุดคนนั้น และก็เป็นคนที่สมควรจะต้องได้นอนหลับสบาย ๆ อยู่บนเตียงที่สุด
แต่ว่าก็ยังโดนพาออกไปอย่างไร้เยื่อใย
นี่ก็คงจะเป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญกับปัญหาที่ว่าจะออกไปเล่นนอกบ้านหรือนอนอยู่บ้าน แล้วเป็นครั้งแรกที่เขาเลือกจะนอนอยู่บ้าน
*
ที่ร้านครัวของแอนนิ
ถึงเวลาที่จะต้องปิดร้านแล้ว
หลังจากที่แอนนิส่งแขกไม่กี่คนสุดท้ายออกไปแล้ว เหล่าพนักงานก็ต่างคนต่างกลับบ้านของตัวเองกัน
และตอนนี้ในร้านเหลือแค่เธอเพียงคนเดียว
ในตอนที่เธอกำลังเตรียมจะปิดประตูนั้น หยินปู้ฝันขับรถปอร์เช่คันนั้นของเขามาถึงที่นี่
รถจอดลงตรงหน้าประตูร้าน
ไฟหน้ารถกะพริบไปสองที นี่คือการทักทายกับเจ้าของร้านสาวที่ยังอยู่ในร้าน
แอนนิมองเขาแล้วยิ้มและโบกมือทักทายให้
ประตูรถเปิดออก หยินปู้ฝันเดินออกมาจากข้างใน มือข้างหนึ่งจับประตูรถไว้แล้วมองไปที่เธอ “เดี๋ยวเราไปกินมื้อดึกกันที่ไหนดี?”
“ทำไม ทนายใหญ่อย่างคุณยังมีตอนที่หิวด้วยเหรอ? ฉันกะว่ากำลังจะปิดประตูเลยนะเนี่ย ฉันว่าเราไม่ต้องไปไหนแล้ว หาอะไรกินที่นี่กันเลยดีกว่า ที่นี่ฉันยังมีวัตถุดิบเหลืออยู่บ้าง ตอนแรกกะว่าจะเก็บไว้จัดการให้หมดพรุ่งนี้เช้าพอดี”
ร้านอาหารที่แอนนิกำลังดำเนินกิจการอยู่นี้ สิ่งที่ทำให้ลูกค้าวางใจมากที่สุดก็คือ จะต้องมีวัตถุดิบที่สดใหม่ทุกวันเสมอ ถึงแม้ในวันนั้นจะใช้ของไม่หมดก็ตาม วันที่สองก็จะไม่เอามาใช้ต่ออย่างเด็ดขาด
แน่นอนว่าการทำได้แบบนี้ก็เพราะว่าเบื้องหลังนั้นเธอได้ทำงานไปเยอะมาก ตอนที่อยู่ในช่วงทดลองทำกิจการนั้นได้รวบรวมข้อมูลมากมายมาแล้ว ที่สำคัญยังได้ทำการคำนวณมาอย่างละเอียดกับกู้ฮอนแล้วด้วย ถึงได้มีผลประมาณที่เหมาะสมมากขนาดนี้
พอเป็นอย่างนี้ ถึงแม้ทุกวันจะมีวัตถุดิบเหลืออยู่บ้าง แต่นั่นก็เหลือน้อยมากจริง ๆ
และแน่นอนก็ต้องมีตอนที่วัตถุดิบถูกใช้หมดก่อนด้วยเช่นกัน เธอก็จะไม่พยายามรั้งลูกค้าเอาไว้ แต่ว่าจะรีบปิดร้านก่อนเลย
“อ๋า นี่คุณเตรียมจะให้ผมมาเก็บกวาดสนามรบเหรอ” หยินปู้ฝันพูดไปแล้วก็ลวดเอามือปิดประตูรถไปด้วย และเดินเข้าไปในร้านอาหาร
“หรือว่าคุณไม่มีหน้าที่นี้เหรอ ถ้าหากคุณไม่อยากจะรับผิดชอบแล้วละก็ ฉันสามารถหาคนอื่นมาแทนได้นะ ฉันว่าน่าจะมีคนมากมายยอมทำเลยล่ะ” แน่นอนว่าแอนนิแค่พูดล้อเล่นกับเขาเท่านั้น
แล้วเธอก็ลวดเอาป้ายปิดร้านมาแขวนไว้ที่นอกประตูด้วย และก็ล็อกประตูใหญ่ปิดจากด้านใน
“พอเลย หน้าที่ยากลำบากขนาดนี้ผมว่าก็ต้องเป็นผมที่มาทำให้เสร็จเรียบร้อยเองแล้วล่ะ ผมว่าคงมีไม่กี่คนหรอกที่สามารถมีท้องไส้ที่ดีได้อย่างผม และที่สำคัญน้ำที่ดีจะต้องไม่ไหลไปที่นาคนอื่นซิ”
พูดแล้วเขาก็หาที่นั่งตรงกลางแล้วนั่งลงไป
สองมือประสานกันไว้บนโต๊ะ “เถ้าแก่เนี้ย วันนี้ต้องการให้ผมเก็บกวาดอะไรครับ?”
“รอไปเถอะ ฉันก็ไม่รู้ว่ามีอะไรเหลืออยู่บ้าง ต้องดูที่ดวงคุณแล้วล่ะ” แอนนิพูดแล้ว ก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องครัวเลย
พอผ่านไปไม่นาน ก็ได้ยินเสียงมีดเสียงกระทะและถ้วยจานดังขึ้นมา
และแน่นอนว่าหยินปู้ฝันก็ไม่ได้ว่างอยู่อย่างนี้
ไม่ว่ายังไงตัวเองก็พูดได้ว่าต้องเป็น‘กึ่ง’เถ้าแก่ของที่นี่แล้ว ร้านของตัวเองก็ยิ่งต้องดูแลรักษาให้ดีอยู่แล้ว
ว่าแล้วก็พับแขนเสื้อขึ้น แล้วหยิบไม้กวาดออกมาจากห้องเก็บของแล้วเริ่มเก็บกวาดขึ้นมา
จนถึงตอนที่แอนนิยกถาดอาหารออกมาจากห้องครัวนั้น ภายในร้านอาหารทั้งร้านก็โดนเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้านไปหมดแล้ว
บนใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดูท่าแล้วคงจะพอใจกับการทำงานของหยินปู้ฝันเอามาก ๆ เลย “ดูไม่ออกเลยว่า คุณทนายใหญ่หยินยังจะเป็นมือดีทางด้านทำความสะอาดอีกด้วย”
หยินปู้ฝันก็ไม่ถ่อมตัวเลย เขาคลายเนกไทออกให้หลวมขึ้นหน่อย ในมือจับหัวไม้กวาดเอาไว้ และยังทำตัวเท่โดยการเอาปลายเท้าขวามาไขว้ไว้ข้าง ๆ เท้าซ้าย
“มองไม่ออกละซิ จะบอกอะไรคุณให้นะ การที่คุณหาผมเจอถือว่าคุณได้เสวยสุขแล้ว อยู่ข้างนอกสามารถเอาหนึ่งคนมาทดแทนร้อยคนได้ สงครามน้ำลายก็ไม่เคยน้อยหน้าใคร อยู่ในบ้านก็ยังสามารถกวาดหิมะหน้าประตูด้วยตัวเองได้ และจะไม่ให้มีฝุ่นเลยสักนิด ถ้าหากผมเป็นหุ้นหุ้นหนึ่งละก็ พวกหุ้นที่มีศักยภาพแอบซ่อนพวกนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นอะไรหรอก”
“งั้นคุณเป็นหุ้นอะไรล่ะ? กวาดพื้นได้สะอาดขนาดนี้ เป็นหุ้นขยะเหรอ?” แอนนิตั้งใจแหย่เขาเล่น
และในทันที หน้าผากของหยินปู้ฝันก็มีเส้นสีดำหลายเส้นโผล่ออกมา
แต่ว่าเขาก็ปรับกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ยังคงแสดงท่าทีเหมือนว่าตัวเองไม่ใช่คนธรรมดายังไงอย่างงั้น “ผมนั้นเป็นถึงหุ้นบลูชิปเลยนะ”
แต่ว่า พอคำพูดโอ้อวดเพิ่งจบลง หรือว่าเขาจะอวดเก่งจนมากเกินไปหน่อย แล้วพอจุดศูนย์กลางไม่มั่นคงนัก
“ผลั๊ว…