บทที่ 1104 แอบดีใจอยู่คนเดียว
ในจุดนี้สำคัญมาก ตัวเธอคนเดียวนั้นแบกรับไม่ไหวหรอก
แล้วตอนนี้ ในตอนที่หยินปู้ฝันเอ่ยออกมาว่าไปท่องเที่ยวกันสองคนนั้น เธอก็ตัดใจไม่ได้ที่จะต้องจากผลลัพธ์ที่กว่าตัวเองจะสร้างมาได้อย่างลำบากนี้ไป
การได้ดินแดนมานั้นยาก แต่การรักษาดินแดนนั้นยิ่งยากยิ่งกว่ายาก
หยินปู้ฝันจะรู้ได้ยังไงว่าเธอนั้นมีเรื่องกังวลมากขนาดนี้ แต่ว่าทั้งสองคนกำลังคบหากันอยู่ ไม่ว่าจะมากจะน้อยก็สามารถรู้สึกถึงความใจลอยนั้นของเธอได้ หรืออีกอย่างคือความสับสนวุ่นวาย
เขาแค่รู้สึกว่านั่นเป็นเพราะว่าตั้งแต่ที่เปิดร้านมา เธอก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไปจึงเป็นเหตุทำให้เกิดขึ้น
และเป็นเพราะแบบนี้ หลังจากที่เขาโทรศัพท์หาหยางหยางหนึ่งสายแล้ว ก็รู้สึกว่าพอดีเลยจะได้ให้แอนนิได้พักผ่อนด้วยสักหน่อย เผื่อได้ปรับเปลี่ยนสักหน่อย ถ้าไม่งั้นปล่อยให้หมุนวนต่อไปแบบนี้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดปัญหาขึ้นมาแน่นอน
สำหรับสิ่งที่เธอกังวล หยินปู้ฝันกลับรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“คุณก็แค่ไม่วางใจเรื่องร้านนี้ใช่ไหมล่ะ กลัวลูกค้าประจำจะหนีไปใช่ไหม ถ้างั้นก็เปิดมันต่อไปก็ได้แล้ว”
“พูดนะมันง่าย เปิดต่อไป แล้วถ้าฉันไปแล้วใครจะมาดูแลร้านต่อล่ะ?”
“ก็จ้างคนไง ถ้าคุณไม่วางใจละก็ ยังมีลั่วเฉียวอีกไม่ใช่เหรอ แล้วจ้างคนทำงานทั่วไปเพิ่มอีกหลาน ๆ คน รับรองว่าพอคุณกลับมาแล้ว ลูกค้าจะต้องไม่หายแม้แต่คนเดียวแน่นอน”
*
ที่ปิ่นฮอนเป่หยวน……
“ศิษย์พี่ คุณนี่ช่างคิดออกมาได้นะ คุณกับแอนนิสองคนออกไปเที่ยวสุขสำราญ แล้วมาทิ้งภาระไว้ที่ฉันนี่ คุณดู ดูซิ……”
ลั่วเฉียวพูดแล้วก็เขย่าตัวเจ้าเด็กน้อยในอ้อมอกขึ้นมา “แล้วเขาจะทำยังไงล่ะ? คงจะให้เราทั้งสองคนแม่ลูกไปที่ร้านด้วยกันหมดเลยไม่ได้หรอกนะ”
หยินปู้ฝันเดินไปนั่งลงข้าง ๆ ลั่วเฉียว แล้วยื่นมือไปตบที่ไหล่เธอ ทั้งหน้ายิ้มอย่างเอาใจ “สำหรับเรื่องนี้ฉันได้คิดไว้ให้เธอนานแล้ว ฉันมีสองทางเลือกเสนอให้เธอ อย่างที่หนึ่ง จ้างพี่เลี้ยงดี ๆ สักคนหนึ่งมาช่วยเธอดูแลลูก แล้วเธอไปดูร้านคนเดียว อย่างที่สอง พวกเธอสองแม่ลูกไปดูร้านพร้อมกัน แล้วจ้างคนมาช่วยงานหลายคนหน่อย เธอเพียงแต่ไปเหมือนเป็นเจ๊เจ้าของที่คนหนึ่งคอยชี้นิ้วสั่งงานก็พอแล้ว รับรองว่าเธอไม่ต้องเหนื่อยแน่ ๆ สำหรับค่าจ้างคนงานนั้นแน่นอนว่าฉันจะออกเองอยู่แล้ว”
พูดแล้ว เขาก็ตบหน้าอกตัวเองเหมือนอย่างกับว่าภาคภูมิใจในตัวเองมาก ๆ
ลั่วเฉียวเอียงหัวมองดูเขา จากนั้นก็เบ้ปากน้อย ๆ
ลั่วเฉียวมองสำรวจหยินปู้ฝันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้าทีหนึ่ง “ศิษย์พี่ คุณนี่สมแล้วที่เป็นทนายจริง ๆ ถ้าจะพูดถึงการวางแผนใช้คนแล้วเนี่ย ไม่มีใครวางแผนได้เท่าคุณเลยจริง ๆ สำหรับพี่เลี้ยงฉันก็กังวลว่าเขาจะดูแลเด็กได้ไม่ดี ฉันอยู่ในร้านก็ต้องกังวลแทบตายแน่ ๆ แล้วอีกอย่าง คุณเคยเห็นมีคนกี่คนกันที่พาลูกไปเฝ้าร้านด้วย? สิ่งแวดล้อมแบบนั้น ถึงแม้ฉันจะไม่ต้องทำอะไรเลยก็ตาม แต่สิ่งแวดล้อมที่เสียงดังเอะอะโวยวายแบบนั้นมันไม่ดีต่อเด็ก”
“เฉียวเฉียว เรื่องเรื่องนี้เราจะต้องช่วยนะ คุณดูพวกเขาสองคนหนุ่มเหงาสาวโสดแบบนี้ ก็คงจะไม่ง่าย ……”
ฉิงฮัวนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจคนหนึ่ง สำหรับเรื่องของเพื่อนแล้ว เขาก็เป็นคนแบบที่ว่าจะต้องช่วยโดยไม่ห่วงชีวิตเลยทีเดียว
พอมาเผชิญกับสถานการณ์อย่างนี้ แอนนิก็เป็นเพื่อนสนิทของกู้ฮอน และหยินปู้ฝันก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเป่หมิงโม่อีกด้วย
และที่สำคัญเป่หมิงโม่และกู้ฮอนก็ดีกับพวกเขามาตั้งแต่แรกแล้ว
ดูจากทั้งน้ำใจทั้งเหตุผลแล้วก็จำเป็นที่จะต้องช่วยเรื่องนี้ให้ได้ เขายินยอมให้ลูกของตัวเองต้องทนน้อยใจหน่อย และลำบากหน่อย
พอได้ยินคำพูดของฉิงฮัวแล้ว ลั่วเฉียวก็หันไปจ้องสามีตัวเองเขม็งทีหนึ่ง “มีแต่คุณที่พูดง่าย มีแต่คุณที่เป็นคนดีใช่ไหม ฉันเคยพูดว่าจะไม่ช่วยพวกเขาหรือไง ฉันเพียงแต่ไม่เชื่อใจคนนอกก็เท่านั้น สำหรับลูกฉันว่าให้พ่อแม่ฉันช่วยดูคงจะวางใจได้มากกว่า สำหรับพวกเขานั้น……”
พูดแล้วก็หันไปมองหยินปู้ฝันและแอนนิ
ที่จริงเมื่อกี้ แอนนิก็ทนไม่ไหวอยากจะพูดว่าไม่ไปแล้ว
ตอนที่หยินปู้ฝันจะมาขอให้พวกลั่วเฉียวช่วยนั้น เธอก็ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว มีหลักการแบบนี้ที่ไหนที่ตัวเองออกไปเที่ยวสุขสำราญ แล้วให้เพื่อนมาทำงานยุ่งแทนตัวเอง
แต่ว่าตัวเองกลับโดนหยินปู้ฝันกดไว้ด้วยมือ
จนกระทั่งในที่สุดลั่วเฉียวก็ยอมตกปากรับคำแล้ว
“พวกคุณก็ออกไปท่องเที่ยวให้ดี ๆ ผ่อนคลายจิตใจสักหน่อย บ่มเพาะความรู้สึกอะไรบ้าง ศิษย์พี่ ตอนที่กลับมานั้น ฉันก็ไม่สนหรอกว่าคุณจะสามารถพาอาซ้อกลับมาให้ฉันคนหนึ่ง หรือว่าจะเป็นหลานชายหรือหลานสาวก็แล้วแต่ ฮา ฮา……”
พูดจบ เธอก็กะพริบตาให้หยินปู้ฝันอย่างซุกซน
นี่กลับทำให้แอนนิหน้าแดงเอามาก ๆ “เฉียวเฉียว ยัยตัวดี เธอพูดอะไรของเธอนี่”
ภายในหนึ่งวัน สามารถจัดการเรื่องราวทั้งหมดจนเสร็จสิ้นได้ นี่ก็ถือว่าได้ทำให้หยินปู้ฝันโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่งแล้ว สามารถเตรียมตัวเรื่องการท่องเที่ยวสักหน่อยได้แล้ว
*
ที่เที่ยวเล่นสนุกไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ถ้าอยู่นานเกินไปก็จะกลายเป็นไม่มีความหมายขึ้นมา
ถึงแม้ว่าจะเป็นลอนดอนที่ที่มีเรื่องราวมากมายก็ไม่เป็นอื่น
ในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์สั้น ๆ พวกเป่หมิงโม่ก็เกือบจะเที่ยวเล่นไปจนทั่วเมืองแล้ว
ตอนช่วงอาหารเย็น พวกเด็ก ๆ ก็ไม่ได้มีความรู้สึกสนใจที่จะรอคอยว่าพรุ่งนี้จะไปเที่ยวที่ไหนอีกแล้ว
ส่วนพวกผู้ใหญ่ดูไปแล้วก็ไม่เลว โดยเฉพาะผู้อาวุโสทั้งสองท่าน
การมาเที่ยวครั้งนี้ พวกเขาก็ยังคงคิดว่ามันเป็นการฝึกฝนและออกกำลังกายอย่างหนึ่ง และที่สำคัญร่างกายและจิตใจดูดีขึ้นกว่าตอนมาไม่น้อย
สิ่งนี้ทำให้กู้ฮอนและเป่หมิงโม่รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
ตอนแรก การมาท่องเที่ยวครั้งนี้ก็อยากให้ทุกคนมีความสุขใจกันทั้งนั้น และให้ทุกคนต่างก็ได้รับในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
“ผมรู้สึกว่าที่นี่เราก็เที่ยวเล่นกันมาพอประมาณแล้ว ทุกคนอยากจะไปดูที่อื่นต่อ หรือว่ากลับบ้านกันทั้งแบบนี้เลย?”
ทุก ๆ การตัดสินใจ จะมีเป่หมิงโม่มาเป็นคนตัดสินใจทั้งนั้น แต่ว่าครั้งนี้กลับเกินความคาดหมาย ที่เขาเอ่ยถามออกมาปรึกษากับทุกคน
“ฉันว่ากลับกันดีกว่า นี่ก็ออกมากันนานขนาดนี้แล้ว” กู้ฮอนไม่ใช่ไม่อยากจะเที่ยวเล่นข้างนอก แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าค่าใช้จ่ายแบบนี้มันสูงเกินไปแล้วจริง ๆ ถึงแม้ข้างกายจะมี‘ผู้ร่ำรวย’ที่มีเงินอีแปะแขวนไว้ที่เอวมากมายคอยสนับสนุนอยู่ก็ตาม
ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป เธอกลัวว่าพวกเด็ก ๆ จะฟูมฟักนิสัยใช้เงินฟุ่มเฟือยหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนี้คงจะไม่มีอะไรดีต่อการเจริญเติบโตในอนาคตแน่ ๆ
ในช่วงที่แผนการเดินทางต่อไปของทุกคนนั้น กำลังตกลงกันว่าจะเดินหน้าท่องเที่ยวต่อไป หรือว่าหันหัวกลับเรือนทั้งแบบนี้เลย
ต้องเดินหน้าเลือกระหว่างสองตัวเลือกนี้
นี่ถือว่าเป็นปัญหาที่ทำให้คนรู้สึกตัดสินใจยากจริง ๆ
“ติง ต่อง……”
และในเวลานั้น เสียงกริ่งประตูของพวกเขาก็ดังขึ้น
เป็นใครกันที่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่?
อยู่ที่นี่ ถึงแม้เป่หมิงโม่จะมีคนคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ว่าครั้งนี้เขาพาทั้งครอบครัวมาเที่ยว ก็เลยไม่ได้บอกใครสักคน
ถ้างั้นจะเป็นใครไปได้ล่ะ?
หรือบางทีอาจจะเป็นแค่คนของโรงแรมละมั้ง
เขามองไปที่ผู้ชายอังกฤษที่คอยบริการพวกเขากินอาหาร แล้วยืนตัวตรงอยู่ตรงหน้าประตูห้องอาหารทีหนึ่ง
เพื่อส่งสัญญาณให้เขาไปดู
พอผ่านไปสักครู่ ก็ได้ยินเสียงลอยมาจากประตูห้องอาหาร “Hello every body……”
ทุกคนมองไปตามเสียง แล้วก็ทำให้พวกเขาตกใจมากจริง ๆ
“พ่อปู้ฝัน!”
พวกเด็ก ๆ กลับร้องเรียกออกมาพร้อมกัน
ฟังออกมาเลยจริง ๆ ว่ามีความดีอกดีใจอยู่บ้าง
เห็นเพียงแต่หยินปู้ฝันยิ้มแฮะ ๆ ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา
อย่าให้พูด สูททั้งตัวของเขาที่ดูไปแล้วเหมือนสีทองคนร่ำรวยนี้ พอใส่ไปแล้วไม่ว่ายังไงก็ดูมีสไตล์อยู่ไม่น้อย
กลับกลบราศีคนรวยอย่างแท้จริงของเป่หมิงโม่ไปเลย
“ทำไมนายถึงวิ่งมาถึงนี่ได้?” เป่หมิงโม่มองเขาแล้วขมวดคิ้วขึ้นน้อย ๆ
พูดจริง ๆ แล้ว ที่จริงเขาไม่ได้ไม่ชอบใจที่หยินปู้ฝันปรากฏตัวขึ้น เพียงแค่ไม่รู้ว่าเขาคลำมาถึงที่นี่ได้ยังไง
“วันนั้นฉันคิดว่านายแค่พูดเล่น ๆ คิดไม่ถึงว่าจะมาจริง ๆ นายมาแค่คนเดียวเหรอ? แล้วทิ้งแอนนิไว้เฝ้าร้านคนเดียวนายวางใจได้ลงเหรอ”
กู้ฮอนตกใจขึ้นก่อน แต่ก็กลับดูเป็นธรรมชาติเยอะกว่า
เป่หมิงโม่และพวกเด็ก ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องหันสายตามาที่ตัวเธอ
กู้ฮอนดูเป็นธรรมชาติมาก ๆ “ยังจำวันนั้นที่หยางหยางตื่นสายมากได้ไหม”
“นั่นเป็นเพราะว่าตอนกลางคืนผมโดนพ่อปู้ฝันรบกวนต่างหาก” หยางหยางรีบแก้ไข
“แล้วฉันคนที่เป็นแม่นี้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องช่วยลูกออกหน้าอยู่แล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นฉันก็เลยไปรบกวนเขาสักหน่อยเหมือนกัน”
“เอ่อ……”
และในทันทีนอกจากหยางหยางและกู้ฮอนแล้ว บนหน้าผากของคนอื่น ๆ ก็มีเส้นสีดำโผล่ออกมาหลายเส้นเลย
ไม่เคยพบเจอแม่ลูกที่ไหนที่เชื่อถือไม่ได้ขนาดนี้มาก่อนเลย
หยินปู้ฝันรับคำมาพูดต่อ “ผมถึงว่า คุณจะมาใจดีโทรหาผมได้ยังไง ที่แท้เพราะว่ามีจุดประสงค์นี่เอง แต่ว่า ครั้งนี้ผมไม่ได้มาคนเดียวนะ”
พูดแล้ว เขาก็หมุนตัวไปแล้วดึงแอนนิที่ยืนอยู่ข้างหลังออกมา “ผมไม่ใช่คนไร้น้ำใจแบบที่คุณพูดหรอกนะ ไม่ว่าจะไปถึงไหน แน่นอนว่าผมก็จะต้องพาเธอไปด้วยอยู่แล้ว”
พอเห็นว่าแอนนิก็มาด้วยแล้ว กู้ฮอนก็ดูดีใจเอามาก ๆ
“พวกเธอเพิ่งลงเครื่องมาใช่ไหม พอดีเลยมากินข้าวพร้อมพวกเราเลย”
*
ผู้คนที่กินอิ่มแล้ว กลับมานั่งที่ห้องรับแขกใหม่อีกครั้ง
“พวกเธอมาได้จังหวะพอดีเลย พวกเรากำลังปรึกษากันอยู่ว่าต่อไปจะไปไหนต่อดี มาที่นี่ก็หนึ่งสัปดาห์แล้ว ในเมื่อพวกเธอมาแล้ว คนมากขึ้น ไปเที่ยวที่ไหนก็มีความหมายมากขึ้นด้วย”
“คนหนุ่มสาวอย่างพวกเธออยากไปเที่ยวที่ไหน ก็ไปเถอะ ฉันกับหรูเจี่ยจะอยู่ที่นี่เอง” โม้จิ่งเฉิงพูดขึ้น
ช่วงหลายวันมานี้ ถึงแม้ว่าทุกวันจะมีความสุขมาก แต่ว่าก็สามารถมองออกได้ว่าพละกำลังของหวีหรูเจี๋ยนั้นตามไม่ทันแล้ว
เธอจำเป็นจะต้องพักผ่อนดี ๆ สักช่วงหนึ่งแล้ว
สำหรับข้อเสนอของโม้จิ่งเฉิงนั้น คนอื่น ๆ ต่างก็ไม่ได้คัดค้าน
ในเมื่อตัดสินใจกันแบบนี้แล้ว แผนการเดินทางต่อไปก็เปลี่ยนเป็นง่ายขึ้นเยอะเลย
ผู้ใหญ่สี่คนรวมกับเด็กสามคนที่พละกำลังเต็มเปี่ยม
ทวีปยุโรปก็มีที่อยู่แค่นี้ เพียงพอให้พวกเขาเที่ยวเล่นกันได้อย่างเต็มที่
เพียงแต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ มีอยู่แผนการหนึ่งกำลังเดินหน้าอย่างลับ ๆ ในช่วงที่พวกเขากำลังเที่ยวเล่นกันในทวีปยุโรปอยู่
ในขณะที่เป่หมิงโม่ กู้ฮอน หยินปู้ฝัน แอนนิ รวมทั้งเด็ก ๆ ทั้งสามกำลังเที่ยวเล่นกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยงในยี่สิบประเทศทั่วยุโรปอยู่นั้น ก็ได้มีแผนการหนึ่งกำลังเริ่มต้นเตรียมการอย่างขะมักเขม้นขึ้น
และแน่นอนว่านี่เป็นความลับอย่างมาก
ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังรอคอยพวกเขาอยู่มันคืออะไร?
*
สองสัปดาห์จะพูดว่าเร็วก็ไม่เร็ว จะพูดว่าช้าก็ไม่ช้า
ผู้ใหญ่สี่คนและรวมเด็ก ๆ อีกสามคน และช่วงเวลาที่ท่องเที่ยวอย่างสนุกอยู่ในทวีปยุโรปนี้ก็ผ่านไปอีกสองสัปดาห์แล้ว
ในที่สุด พวกเขาก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยจนไม่มีแรงแล้ว
“แม่ ผมเที่ยวเล่นไม่ไหวแล้ว ผมอยากจะกลับบ้านแล้ว……”
หยางหยางนอนคว่ำอ้าซ่าอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ รู้สึกไม่มีแรงเลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียวก็ไม่มีแล้วจริง ๆ
“ใช่ ใช่ ๆ อยากจะกลับบ้านแล้วจริง ๆ หนูคิดถึงเด็กน้อยของบ้านป้าเฉียวเฉียวแล้ว……”
จิ่วจิ่วก็นอนแหงนหน้าอยู่ข้าง ๆ หยางหยาง
มีเพียงเฉิงเฉิงที่ยังพอสำรวมอยู่บ้าง เขาเพียงแต่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างหนึ่ง
แต่ว่าก็ดูออกได้ว่า เขาก็เหนื่อยไม่ใช่น้อยแล้ว
กู้ฮอนมองลูก ๆ ทั้งสามแล้วก็เอาหมอนอันหนึ่งโยนไปที่หลังของหยางหยาง
“อ๋ายโยว! แม่ แม่ไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้ผมเหนื่อยจะแย่แล้วนี่ นี่ผมไม่มีแรงแม้แต่นิดเดียวแล้วนะ……”
“เมื่อไม่กี่วันก่อนเห็นเธอยังเล่นอย่างสนุกสุดเหวี่ยงอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้หงอยลงได้เร็วขนาดนี้ นี่มันไม่เหมือนสไตล์ของลูกนี่” กู้ฮอนก็ไม่ลืมที่จะว่าเจ้าหมอนี่สักหน่อย
ผ่านจากนี้ไปแล้ว ดูซิว่าเขาจะยังอวดเก่งได้อีกไหม
อย่างดูว่าสองสัปดาห์มานี้เหน็ดเหนื่อยมาก เที่ยวเล่นกันอย่างเหน็ดเหนื่อย
แต่ว่าก็ยังมีคนที่‘เก็บเกี่ยวได้อย่างเต็มที่’ด้วยนะ
นั่นก็แน่นอนว่าจะต้องเป็นหยินปู้ฝันอยู่แล้ว
แอนนิที่อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ก็ยิ่งต้องเอาเขามาเป็นเหมือนกับฟางช่วยชีวิตของตัวเองอยู่แล้ว
ความรู้สึกพึ่งพิงต่อเขาก็ยิ่งมากยิ่งขึ้นไปอีก
นี่กลับทำให้หยินปู้ฝันแอบดีใจอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
และแน่นอน สิ่งที่ทำให้เขายิ่งได้ใจจนต้องเอามือปิดปากแอบยิ้มนั่นก็คือ ในที่สุดพวกเขาก็มีความคืบหน้าทางด้านนั้นอย่างแท้จริงแล้ว
และแน่นอนว่าเป็นเพราะผลจากที่เป่หมิงโม่และกู้ฮอนร่วมมือกัน
‘ห้องไม่เพียงพอ’
นี่เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด และที่สำคัญก็มีเหตุผลที่เหมาะสมจะโน้มน้าวได้มากที่สุดแล้ว
มีแค่สองห้อง แล้วต้องทำยังไงล่ะ?
แน่นอนก็ต้องเป็นครอบครัวละหนึ่งห้องอยู่แล้ว