บทที่ 1107 พูดน้อยลงสักคำ จะตายเหรอ
พอกู้ฮอนได้ยิน ปรากฏว่าเรื่องเป็นแบบนี้เอง เธอก็ยิ้มแฮะ ๆ แล้วเอาข้อศอกถองที่ตัวแอนนิไปหนึ่งที “เป็นยังไง ตอนนี้ก็รอฟังความคิดเห็นของเธอแล้ว ตกลงจะตอบตกลงหรือไม่ตกลงล่ะ?”
คราวนี้ หยินปู้ฝันก็ใช้สายตาที่มีแววคาดหวังมองไปที่เธอด้วย
ในเวลานี้ ห้องรับแขกทั้งห้องสงบลง
“แม่ทูนหัว นี่เธอให้คำตอบที่มันแน่ชัดหน่อยซิ” ในเมื่อคำพูดก็ถูกพูดกันมาถึงขั้นนี้แล้ว หยินปู้ฝันก็เสี่ยงไล่ถามตามออกไปเลย
****
ถึงแม้ในใจแอนนิจะยังคงยุ่งเหยิง แต่ว่าอยู่ในช่วงหลายวันมานี้เธอได้เข้าใจในตัวหยินปู้ฝันลึกซึ้งมากขึ้นมาบ้างแล้ว
หลังจากที่ผ่านการไตร่ตรองหลายรอบแล้ว ก็รู้สึกว่าเขาก็ยังเป็นคนที่คุ้มค่าต่อการฝากชีวิตไว้ด้วย และแล้ว เธอก็พยักหน้าอย่างหน้าแดงระเรื่อ
“ได้แล้ว”
ที่สุดก็ถือได้ว่าหยินปู้ฝันได้หายใจโล่งยาว ๆ ทีหนึ่งได้แล้ว เขาเดินไปตรงหน้าของแอนนิ แล้วรวบตัวเธอเอามากอดไว้ในอ้อมกอดตัวเอง และมองเธอย่างลึกซึ้ง “ได้โปรดวางใจนะ ผมจะต้องดีกับคุณทั้งชีวิตแน่นอน”
พอคำพูดนี้ถูกออกจากปาก ในใจของแอนนิก็รู้สึกดีใจมากเหมือนดอกไม้ผลิบานสะพรั่ง
แต่ว่าคนสองคนที่รอดูเรื่องสนุกอยู่ข้าง ๆ นั้นแสดงออกเหมือนกับว่าจะไม่เห็นด้วย
โดยเฉพาะเป่หมิงโม่ เหมือนกับว่าจะหาโอกาสประชดประชันหยินปู้ได้แล้วครั้งหนึ่ง
เขายกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง และมองหยินปู้ฝันด้วยท่าทางดูถูกทีหนึ่ง “เมื่อกี้นายอยู่ต่อหน้าคุณท่านยังแสดงออกมาได้อย่างน้ำไหลไฟดับเลย แล้วทำไมพอมาพูดกับเธอถึงได้พูดแค่ง่าย ๆ ประโยคหนึ่งแบบนี้ ฟังไปแล้วเหมือนไม่มีความจริงใจเลยสักนิด แอนนิ ถ้าหากผมเป็นคุณแล้วละก็ คงจะต้องสงสัยหน่อยแล้วว่าตกลงเขาจริงใจกับตัวเองจริง ๆ หรือเปล่า”
เป่หมิงโม่นี้ถือได้ว่าได้หยอดยาหยอดตาให้หยินปู้ฝันต่อหน้าแอนนิไปแล้วไม่มากและก็ไม่น้อยเลย
พอประโยคหนึ่งพูดออกไป
ทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ภายในพริบตาเดียวต่างก็มีเส้นสีดำโผล่ออกมาบนหน้าผากหลายเส้นเลย
“คุณพูดน้อยลงสักคำ จะตายหรือยังไง!” เมื่อกี้กู้ฮอนยังดีใจแทนแอนนิอยู่เลย แต่คำพูดนี้ของเป่หมิงโม่ทำให้เธออยากจะเตะเขาเต็มแรงสักทีเลยจริง ๆ
“เอ่อ……”
นี่ก็ถือได้ว่าได้เอาคืนหยินปู้ฝันสักครั้งแล้ว เขานั้นคิดยังไงก็คิดไม่ถึงว่าเป่หมิงโม่จะมาไม้นี้ได้
แต่ว่า เขานั้นไม่เสียทีที่เป็นถึงทนายความป้ายทองหรอก ความเก่งกาจของฝีปากนั้นดูถูกไม่ได้จริง ๆ
มือทั้งคู่ของเขาจับไหล่ของแอนนิไว้แน่น “ที่รัก ขอให้คุณเชื่อใจผม การแสดงความจริงใจไม่จำเป็นจะต้องใช้คำพูดที่สวยหรูหรือว่าคำมั่นสัญญาอะไร เพราะสิ่งที่มากกว่าก็ต้องดูจากการกระทำ คุณคอยดูการกระทำต่อไปของผมเถอะ ผมเชื่อว่าผมจะไม่มีทางทำให้คุณต้องเสียใจแน่ ๆ”
และแน่นอนว่าแอนนิก็ไม่มีทางเพราะแค่คำพูดประโยคเดียวของเป่หมิงโม่จะมาทำให้ตัวเองเปลี่ยนใจแน่ ๆ และยิ่งโดยเฉพาะหลังจากที่ตัวเองได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งไปอีกขั้นกับหยินปู้ฝันไปแล้วด้วย
เธอเงยหน้าขึ้นมา น้ำตาใส ๆ กำลังหมุนวนอยู่ในดวงตา แล้วใช้แรงพยักหน้าแรง ๆ “ฉันเชื่อว่าคุณจะต้องเป็นผู้ชายที่ฉันสามารถฝากชีวิตไว้ได้ด้วยแน่ ๆ ค่ะ”
“พอแล้ว พอแล้ว พวกนายสองคนถ้าเกิดอารมณ์ขึ้นมาแล้วละก็ ก็กลับไปจู๋จี๋กันในห้องไป อย่ามาขัดขวางฉันดูโทรทัศน์ตอนนี้” เป่หมิงโม่เห็นว่าที่ตัวเองยุแยงตะแคงรั่วเหมือนว่าจะไม่เกิดผลอะไรขึ้นเลย
ถือว่าเจ้าหยินปู้ฝันนี่โชคดีไปละกัน
หลังจากที่มองพวกเขาจากไปแล้ว เป่หมิงโม่ก็เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของกู้ฮอนยังคงไม่จางหายไป
“ดูไปแล้ว คุณจะดีใจกับพวกเขามากเลยนะ?”
มองดูเป่หมิงโม่ที่มีท่าทางซังกะตาย กู้ฮอนก็รีบเก็บรอยยิ้มไปให้หมด “นั่นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาล้วนเป็นเพื่อนรักของฉันทั้งนั้น ในที่สุดพวกเขาทั้งคู่ที่ความรักต่อกันนี้ก็จะได้ลงเอยกันสักที”
“คนที่มีความรักต่อกันได้ลงเอยกันสักที……” เป่หมิงโม่พึมพำประโยคนี้อยู่ในปาก เหมือนกับว่าคำนี้น่าจะเหมาะสมกับตัวเองและกู้ฮอนซะมากกว่า
แต่ว่าดูไปแล้วกลับไม่ใช่แบบนี้ อย่างน้อยตอนนี้ยังเป็นแบบนี้อยู่
“ทำไม รู้สึกว่าที่ตัวเองวางกับดักขัดขาหยินปู้ฝันเมื่อกี้ไม่สำเร็จ แล้วรู้สึกผิดหวังเหรอ” นี่กู้ฮอนกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่
“แล้วมันไม่ใช่เหรอ นี่ผมเห็นแกที่แอนนิช่วยดูแลจิ่วจิ่วมาหรอกนะ ถึงได้เตือนเธอไปสักหน่อย” เป่หมิงโม่ดูมีท่าทางเอื่อยเฉื่อยคอยพูดคุยอยู่กับเธอ
“แบบคุณนี่ก็เรียกว่าหวังดีเหรอ? อีกนิดหนึ่งก็เกือบจะทำเรื่องดี ๆ ของพวกเขาพังแล้ว ไม่ใช่ว่าการแสดงออกอะไรก็ต้องมีแต่คำหวานหรอกนะ”
เป่หมิงโม่ดูหยินปู้ฝันและแอนนิที่มาทีหลังแต่แซงหน้าไปแล้ว ในใจก็รู้สึกไม่ยุติธรรมขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
“คุณจ้องฉันแบบนี้ทำไม?” กู้ฮอนเอียงหน้ามามองเห็นดวงตาคู่นั้นของเป่หมิงโม่กำลังจ้องเขม็งมาบนตัวเธอ
นี่ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวขึ้นมา
เพราะว่าสายตาแบบนี้จะทำให้ตัวเธอคิดไปถึงเรื่องราวเก่า ๆ ที่ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่สบายใจเอามาก ๆ
“ตอนนี้คุณบ้าอำนาจขนาดนี้แล้วเหรอ แค่มอง คุณก็ไม่ให้มองแล้วเหรอ”
ไม่ให้มอง ก็ยิ่งต้องมอง
บนใบหน้าของเป่หมิงโม่แฝงรอยยิ้มซุกซนไว้
สู้กันซึ่ง ๆ หน้ากับเธอนั้น ได้กลายเป็นวิถีทางที่ตัวเองชอบที่สุดไปแล้ว
และแน่นอน หลัก ๆ ก็เป็นเพราะว่าระหว่างพวกเขานั้น มีช่วงเวลาที่พูดคุยกันปกติดี ๆ นั้นน้อยมาก
และที่สำคัญส่วนใหญ่นั้นเป็นกู้ฮอนที่คอยหลบหลีกตัวเอง ถึงแม้ว่าตัวเองจะมีอะไรมากมายที่อยากจะพูดกับเธอก็ตาม
“เจ้าเด็กหยินปู้ฝันนี่ก็ถือว่ายังพอมีดวงขี้หมาอยู่บ้าง พบเจอผู้หญิงที่ผ่านโลกมาไม่เยอะแบบแอนนิได้ ไม่ต้องเสียแม้แต่แรงเป่าฝุ่นก็เอาสามารถเอาอยู่หมัดได้แล้ว ทำไมผมถึงไม่มีโชคดีแบบนี้บ้างนะ……”
เขาพูดแล้ว ก็ถอนหายใจเบา ๆ
ทำไมกู้ฮอนจะไม่เข้าใจ คำพูดที่มีคำพูดแอบแฝงของเขา ก็เห็นได้ชัดว่าพูดกับตัวเองทั้งนั้น
“นั่นก็พูดได้แค่ว่า เจตนาของทั้งสองคนนั้นชัดเจน และที่สำคัญความคิดก็สะอาดบริสุทธิ์ไม่ได้แอบแฝงอะไรที่ไม่ดี คนดีก็ต้องได้รับแต่สิ่งดี ๆ อยู่แล้ว”
“ฟังคุณพูดแบบนี้ อย่างกับว่าผมไม่ใช่คนดียังไงอย่างงั้นแหละ” เป่หมิงโม่รู้ว่ากู้ฮอนกำลังชี้คนนี้แต่ด่าคนนั้นอีกแล้ว แต่ว่าเขากลับไม่โกรธ และยังอยากจะสนทนาหัวข้อนี้ต่อไป
“ทำไม พูดอย่างนี้คุณยังรู้สึกน้อยใจแล้วเหรอ? เริ่มตั้งแต่เรื่องลูกแล้ว คุณพูดมาดูซิว่ามีเรื่องอะไรที่ไม่ใช่เพื่อเป้าหมายอื่นบ้าง?”
นี่ล้วนแล้วแต่เป็นความจริง เป่หมิงโม่ก็ยอมรับ
สำหรับเรื่องแย่ ๆ ที่ตัวเองทำไว้เมื่อก่อน ในช่วงเวลาต่อมา ก็ถือว่าได้รับ‘กรรมที่ก่อไว้’อย่างต่อ ๆ กันเรื่อย ๆ แล้ว
การเผชิญหน้ากับการลงโทษที่สวรรค์เบื้องบนมอบให้กับตัวเองนั้น ตัวเองก็ได้เติบโตขึ้นไม่หยุดหย่อน ความคิดก็ได้เปลี่ยนไปไม่หยุด……
“ถ้าหากผมทำเหมือนอย่างที่เขาทำกับแอนนิ แค่พูดคำง่าย ๆ เพียงไม่กี่คำ คุณจะตกลงแต่งงานกับผมไหม?”
อยู่ ๆ เป่หมิงโม่ก็พูดมาแบบนี้ประโยคหนึ่ง ทำให้กู้ฮอนรู้สึกว่าตั้งตัวไม่ทันขึ้นเล็กน้อย
เธอนิ่งอึ้งไปทันที
ที่จริงเขาก็คอยส่งสัญญาณให้ตัวเองอยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ และพูดตามหลักแล้ว ถึงแม้เขาจะพูดคำพูดไม่กี่คำออกมาตรง ๆ ก็คงจะไม่ทำให้ตัวเองรู้สึกแปลกใจหรอก
แต่ว่าเรื่องราวก็มักจะเป็นอย่างนี้ คิดไว้เป็นแบบหนึ่ง แต่ว่าพอตอนที่เรื่องจริงมาถึงแล้วก็จะเป็นสถานการณ์ไปอีกแบบหนึ่ง
แต่ว่า กู้ฮอนก็ตั้งตัวได้ไม่ช้า “คุณอย่ามาคิดให้เรื่องมันสวยหรูไปเลย จะบอกอะไรคุณให้นะ คุณยังอยู่ในช่วงสังเกตการณ์สำหรับฉันอยู่ อย่าเอาฉันไปคิดว่ายังเป็นฉันคนที่เรียนมหาลัยเมื่อหลายปีก่อนนะ ในตอนนั้นฉันแค่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้ถึงแม้ว่าด้านต่าง ๆ จะเทียบกับคุณไม่ได้ แต่ว่าตั้งแต่ที่มีลูกสามคนมานั้น ก็ไม่สนใจอะไรแล้ว จะมาใช้แผนเอาใจเด็กสาวนั้น ใช่ไม่ได้ผลหรอกนะ”
เธอพูดแล้วก็แหงนหน้าขึ้น เงยหน้าไว้อย่างหยิ่งยโส ทำท่าทางเหมือนไม่เห็นอะไรอยู่ในสายตา “ฉันง่วงแล้ว คุณค่อย ๆ สำนึกผิดอยู่ที่นี่ไปเถอะ” พูดแล้ว ก็หมุนตัวเข้าห้องนอนของตัวเองไป จากนั้นก็ปิดประตูดัง “ปัง”จนสนิท
ที่จริงแผนของเป่หมิงถือได้ว่าวางมาอย่างดีในก่อนหน้านี้แล้ว เขาคิดว่ามองดูการลงเอยอย่างสวยงามของหยินปู้ฝันและแอนนิแล้ว บางทีกู้ฮอนก็อาจจะรู้สึกดีใจและใจอ่อนไปด้วย จนยอมตกลงกับตัวเอง
นี่ก็จะถือได้ว่าจบลงอย่างสวยงามทั้งคู่
แต่ว่าคิดไม่ถึงว่า เธอจะไม่ตกหลุมพรางนี้เลยสักนิด และที่สำคัญ ‘การขอแต่งงาน’แบบสอดแทรกเข้าไปของตัวเองแบบนี้ ก็ทำให้เธอมีความรู้สึกระมัดระวังตัว
มองดูกู้ฮอนจากไปแล้ว มีแต่เหวี่ยงประตูเย็นชืดทิ้งไว้ให้ตัวเอง
และนี่ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติพิเศษที่เป่หมิงโม่ได้รับมาอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลานี้
และสำหรับ‘เกียรติที่ไม่เหมือนใคร’ที่เธอให้แก่ตัวเองนี้ ในใจเป่หมิงโม่นั้นรู้สึกไม่ชอบใจมานานแล้ว
*
หลังจากที่ปิดประตูห้องนอนแล้วนั้น กู้ฮอนก็ถอนหายใจออกมายาว ๆ ครั้งหนึ่ง
เธอรู้สึกว่าจิตใจดวงนี้ของตัวเองกำลังเต้นโครมครามอยู่
ไม่มีท่าทางสูงส่งและหยิ่งยโสแบบที่แสดงต่อหน้าเขาเมื่อกี้หลงเหลืออยู่อีกแล้ว
พวก‘คำพูดฮึกเหิม’เมื่อกี้ จะทำให้เขารู้สึกเสียศักดิ์ศรีไหมนะ?
มีเวลามากมาย ที่ผู้ชายมักจะเห็นศักดิ์ศรีสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด แม้กระทั่งตอนที่อยู่กันแค่สองคนเท่านั้น ก็ยังคงใส่ใจสิ่งเหล่านี้อยู่อีก
กังวลก็ส่วนกังวล แต่ว่ากู้ฮอนก็ยังคงรู้สึกหน้าแดงต่อการท่าทีที่เขาเหมือนกับขอตัวเองแต่งงานเมื่อกี้อยู่
เธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งคนเดียว แสงไฟอ่อน ๆ ทำให้ใบหน้าของเธอสะท้อนอยู่ในกระจก
หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าดูออกเลยว่ามีความเขินอายแบบเด็กสาวอยู่ด้วย
นี่คือเธออีกคนหนึ่ง
เธออีกคนนี้เหมือนกับว่าจะเริ่มรักผู้ชายที่อยู่นอกห้องคนนั้นเข้าแล้ว
แต่ว่าเธอคนที่อยู่นอกกระจกยังคงมัวแต่สับสนวุ่นวายอยู่
สำหรับอนาคตที่ไม่รู้ชะตากรรมกับความทรงจำให้อดีตที่ไม่สวยงาม กำลังกระทบกับอารมณ์ของเธอในตอนนี้……
“เกร๊ก……”
และในเวลานี้ ประตูที่เธอเพิ่งล็อกเสร็จเมื่อกี้ก็โดนเปิดจากข้างนอกเข้ามา
ประตูบานนี้เมื่อกี้ตัวเองล็อกจากข้างในแล้วชัด ๆ นี่……
และอย่างรวดเร็ว เธอก็นึกย้อนกลับไปถึงค่ำคืนที่อยู่ที่คฤหาสน์บนไหล่เขานั้น
“คุณเข้ามาได้ยังไงกัน?”
เธอรู้สึกว่าคำถามของตัวเองเมื่อกี้ เหมือนจะปัญญาอ่อนและน่าขำไปหน่อย
ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี้ ภายใต้แสงไฟสลัวนั้น ทำให้เกิดเงาดำที่พื้นเป็นเส้นยาว ๆ เส้นหนึ่ง
“ที่นี่เปิดห้องภายใต้ชื่อของผม แล้วทำไมถึงจะไม่เก็บกุญแจสำรองไว้ให้ผมใช้ชุดหนึ่งล่ะ”
เขาพูดไป แล้วก็ค่อย ๆ เดินไปหาเธอทีละก้าวทีละก้าว
ความกดดันแบบนี้ ทำให้กู้ฮอนลุกขึ้นจากโต๊ะเครื่องแป้งมาอย่างรวดเร็ว
ที่ข้างหลังเธอนั้น ไม่มีที่ให้ถอยหนีอีกแล้ว เธอเปรียบเสมือนกับลูกแกะที่โดนบีบจนไม่มีทางให้ถอยหนี
ความรู้สึกที่แสดงออกมาทางแววตานั้นสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก
“ผมไม่พอใจกับคำตอบเมื่อกี้เป็นอย่างมาก และทางที่ดีที่สุดผมต้องการให้คุณให้คำอธิบายกับผมอันหนึ่ง”
พูดแล้ว เขาก็หยุดฝีเท้าลง
เวลานี้ ระยะห่างของพวกเขาใกล้กันมาก
ใกล้จนเธอสามารถรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่ออกมาจากรูจมูกของเขา
ตอนนี้จะพูดว่าไม่เห็นผู้ชายคนนี้อยู่ในสายตาสักนิดนั้น กู้ฮอนก็ยังไม่มั่นใจเลยจริง ๆ โดยเฉพาะพวกเขากำลังอยู่ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้
“มีเอ่อ มีอะไรจะต้องอธิบายกัน อย่างคุณในตอนนี้ ฉันจะยังกล้าไปคิดเรื่องชีวิตความเป็นอยู่หลังจากนี้ของเราว่าจะเป็นยังไงได้อีกเหรอ? เมื่อก่อนคุณทำเรื่องทำร้ายจิตใจคนไปตั้งมากมาย ทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อฉันและลูก ๆ มันเยอะมากเลยจริง ๆ ……”
พูดไปพูดมา ในดวงตาของกู้ฮอนก็มีแสงกะพริบแวววาวขึ้นมา
เมื่อกี้เป่หมิงโม่ยังคิดอยู่เลยว่าจะผลักเธอให้ล้มลงทั้งอย่างนี้เลย แต่ว่าตอนนี้ตัวเขากลับเปลี่ยนความคิดนี้ไปหมดสิ้นแล้ว
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้ช่างดูน่าสงสารเช่นนี้
คำพูดของเธอทุก ๆ คำทุก ๆ ตัวอักษรนั้นล้วนตกกระทบลงบนใจของเขา
ผู้ชายนั้นจำเป็นที่จะต้องผ่านเรื่องราวมากมายถึงจะค่อย ๆ เติบโตขึ้นไปได้ โดยเฉพาะในด้านการจัดการความสัมพันธ์ของคนสองคนนั้น
วางอำนาจ เห็นแก่ตัว เป็นต้น……
นี่คือป้ายที่ติดตามตัวเขาไว้เป็นช่วงเวลานานทีเดียว
กับป้ายพวกนี้คนที่กลัวเขาก็ยิ่งกลัวมากยิ่งขึ้น คนที่อยากเข้าใกล้เขาก็ไม่กล้าที่จะเดินหน้าเข้ามา
ที่จริง ภายใต้การมองไม่เห็นนั้น เขากลับกลายเป็นผู้ชายคนที่ได้รับบาดเจ็บในที่สุด
ยังดีที่ว่า ผู้หญิงที่ดูตัวเล็ก ๆ ที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้คนนี้ ได้ทำให้ตัวเองค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป
จะไม่พูดไม่ได้‘ความรัก’ของมนุษย์นี้ ช่างมีพลังที่ทำให้คนตกใจมากจริง ๆ
มันสามารถทำให้คนคนหนึ่งค่อย ๆ เปลี่ยนเป็น ‘ปีศาจ’ และก็เหมือนกัน สามารถที่จะทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนเป็น ‘เทวดา’ได้เช่นกัน
และแน่นอน ในแนวทางที่จะเปลี่ยนไปแบบนี้ ก็ต้องประกอบไปด้วยผลกระทบปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยจากสิ่งรอบข้างมากมายอีกด้วย