บทที่ 1108 ในที่สุดก็กลับบ้าน
เป่หมิงโม่ก็เป็นตัวอย่างแบบนี้อันหนึ่ง สิ่งแวดล้อมรอบตัวในตอนเด็ก มีส่วนที่แน่นอนทำให้ทัศนคติส่วนตัวของเขาโดนกระทบไปในทางที่ไม่ดี
ทางที่ไม่ดีแบบนี้ ได้ติดตามตัวเขามานานหลายปี
หรือกระทั่งถ้าไม่มีการปรากฏตัวของกู้ฮอนเกิดขึ้น ร้อยละแปดสิบเขาก็จะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกตลอด
คนที่อยู่รอบข้าง ก็คงจะไม่มีใครไม่โดนผลกระทบจากเขา
ตีคนหนึ่งพัน แต่ตัวเองต้องเสียหายแปดร้อย
ในขณะเดียวกันเขาก็คงจะไม่ได้สบายนัก ถือเป็นการทรมานอีกรูปแบบหนึ่งด้วยเช่นกัน
แต่ว่า เหมือนว่าสวรรค์จะไม่ได้ใจร้ายกับเขามากเกินไป ยังให้โอกาสเขาได้กลับหลังอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าเขาเหมือนจะคุ้นชินกับวิธีการดำเนินชีวิตแบบเมื่อก่อนไปแล้ว ก็เลยไม่ได้สนใจต่อ‘โชคที่สวรรค์ประทาน’นี้
จนกระทั่งต่อมา……
*
ลมหายใจของกู้ฮอนยังคงเร็วแรงอยู่ เธอมองผู้ชายตรงหน้านี้อย่างระแวดระวัง
ผู้ชายคนนี้เหมือนกับจะแข็งตัวไปแล้วยังไงอย่างงั้น
“กริ๊ง…..”
อยู่ ๆ โทรศัพท์ที่วางบนโต๊ะเครื่องแป้งก็ดังขึ้นมา แล้วก็ยังสั่นอย่างเป็นจังหวะขึ้นอีกด้วย
จนถึงเวลานี้ ถึงได้ทำลายความสงบเงียบนี้ลงไปได้
เขาถอยหลังไปสองก้าว และกู้ฮอนก็รีบหมุนตัวไปคว้าโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
พอเห็นเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาแสดงอยู่บนหน้าจอนั้น มันเป็นเบอร์แปลกหน้า
แต่ว่าเป็นเบอร์ที่โทรมาจากในประเทศ
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าหาใครคะ?” เธอรับโทรศัพท์ขึ้นอย่างมีมารยาท
ที่ปลายสายอีกฝั่งเป็นเสียงของผู้ชายดังมา “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณคือคุณกู้ฮอนใช่ไหมครับ?”
เสียงฟังดูแหบแห้งเล็กน้อย เหมือนกับว่าเป็นคนพอมีอายุแล้ว
สามารถพูดชื่อตัวเองได้อย่างถูกต้อง ดูท่าแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่ต้องมาหาตัวเอง ถ้าอย่างงั้นจะเป็นเรื่องอะไรนะ?
ในสมองของเธอเกิดการคาดเดาขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ว่าก็ตอบกลับตามกลับไปอยู่ดี “ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอคะ?”
เป่หมิงโม่ยืนอยู่ห่างจากเธอไม่มาก และเสียงลำโพงของโทรศัพท์ก็ดังมาก และบวกกับภายในห้องนอนนั้นสงบเงียบมาก เขาจึงได้ยินอย่างชัดเจนดีทุกอย่าง
เป็นผู้ชายคนหนึ่ง นี่ทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้นมาน้อย ๆ
เขานั้นไม่ได้เป็นคนที่ขี้เหนียวแต่อย่างใด แต่ว่าถ้าเกี่ยวข้องกับตัวกู้ฮอนแล้ว เขาก็จะเก็บเอามาใส่ใจ
สายตาจดจ้องอยู่ที่โทรศัพท์
กู้ฮอนมองกระจกทีหนึ่ง มันสะท้อนภาพของผู้ชายที่อยู่ข้างหลังกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่พอดี
ผู้ชายที่อีกฝั่งเริ่มพูดต่อไปอีก “ต้องขอโทษด้วยที่โทรศัพท์หาคุณอย่างกะทันหัน ผมเป็นบรรณาธิการผู้รับผิดชอบของสำนักพิมพ์XX เฝิงกั๋วหั้วครับ บทแนะนำหนังสือคร่าว ๆ ของคุณที่ทิ้งไว้ที่เรานี้ ผมได้อ่านแล้วนะครับ และอยากจะคุยปัญหาเรื่องตีพิมพ์กับคุณสักหน่อย ไม่ทราบว่าคุณพอจะมีเวลาว่างเมื่อไหร่เหรอครับ?”
สำนักพิมพ์XX……
กู้ฮอนตั้งสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ตัวเองได้ทิ้งบทแนะนำหนังสือใหม่ที่ตัวเองเขียนเอาไว้ที่นั่นฉบับหนึ่งจริง ๆ
แต่ว่าก็ไม่ได้รับการตอบกลับมาตลอด เธอยังนึกว่าคงจะไม่ถูกตาถูกใจคนเขา
แต่คิดไม่ถึงว่าอยู่ ๆ วันนี้จะได้รับการตอบกลับแล้ว และที่สำคัญยังจะคุยปัญหาเรื่องการตีพิมพ์อีกด้วย
เธออดไม่ได้ที่จะแอบดีใจในใจ แล้วรีบพูดขึ้นว่า “ได้ค่ะ แต่ว่าตอนนี้ฉันอยู่ประเทศอังกฤษ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องอีกสองวันถึงจะกลับไปได้……”
ในน้ำเสียงมีความสั่น ๆ ของความตื่นเต้น
ในตอนที่เธอยังพูดไม่จบเฝิงกั๋วหั้วก็ตอบกลับมาแล้วว่า “ไม่มีปัญหาครับ รออีกสองวันก็ได้ครับ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้คุณอยู่ต่างประเทศ ดูท่าคงจะรบกวนคุณพักผ่อนแล้วมั้งครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณที่ให้ข่าวดีนี้กับฉันนะคะ งั้นอีกสองวันเราค่อยเจอกันนะคะ” กู้ฮอนพูดแล้วก็วางโทรศัพท์ลง เธอดีใจจนอยากจะร้องตะโกนออกมาเลยทีเดียว
หนังสือเล่มใหม่จะได้ตีพิมพ์แล้ว นี่สำหรับกู้ฮอนแล้วถือว่าเป็นข่าวคราวที่ไม่เลวเลย
ความดีใจนั้นไม่ได้น้อยกว่าตอนที่หนังสือเล่มแรกถูกตีพิมพ์เลย
เป่หมิงโม่ที่อยู่ห่างจากเธอไม่มากนักก็ได้ยินชัดเจนดี หัวคิ้วของเขาขมวดกันเป็นปม
แล้วก็เหมือนกับว่าเขาจะนึกถึงหนังสือเล่มที่เธอเคยเขียน กับช่วงเวลา‘มืดมน’ที่เรื่อง‘งานเปิดตัวครั้งแรก’ได้นำพามาให้กับตัวเอง
สำหรับเรื่องหนังสือเล่มที่สองนี้ ตั้งแต่ตอนที่เธอยังเป็นผู้ช่วยอยู่นั้น เขาก็รู้เรื่องแล้ว
เพียงแต่ว่าสำหรับเนื้อหานั้น รวมทั้งพวกชื่อหนังสือและข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องนั้น เขาไม่รู้อะไรเลย
ดูออกได้ว่าความใส่ใจต่อหนังสือเล่มนี้ของเธอจะเยอะยิ่งกว่าเก่าอีก และในเวลาเดียวกันระบบรักษาความปลอดภัยก็ยิ่งทำได้ครบถ้วนมากขึ้น
และก็เป็นอีกครั้งที่ถือโอกาสตอนเธอไม่อยู่ แล้วเกิดความอยากจะรู้จึงอยากจะดูสักหน่อย
แต่ว่าสิ่งที่ต้อนรับตัวเองเป็นอย่างแรกเลยก็คือ รหัสล็อกคอมพิวเตอร์สองชั้น
ข้ามรหัสผ่านระบบยังพอว่า ถือว่าง่ายดายมาก และที่สำคัญเธอจะไม่มีทางจับได้ด้วย
แต่ว่ารหัสผ่านเปิดเครื่องนี่ซิที่ยาก วิธีลบรหัสผ่านสามารถรีเซตได้อย่างง่าย ๆ แต่ว่าถ้าเป็นแบบนี้พอลบรหัสผ่านเก่าออก ก็โดนเธอจับได้นะซิ ก็เท่ากับเป็นการเปิดโปงตัวเองเลย
‘พฤติกรรมที่แอบซ่อน’แบบนี้ มันช่างทำลายภาพลักษณ์ของตัวเองจริง ๆ
ยังจะโดนเธอจับจุดอ่อนได้อีก แบบนี้ชีวิตต่อไปก็คงจะไม่ได้อยู่เป็นสุขแล้ว
เพราะฉะนั้น ปริศนานี้จึงได้แต่คอยเก็บซ่อนเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจตลอดมา
เวลาผ่านมานานขนาดนี้ และในช่วงเวลาที่เกือบจะลืมเรื่องเรื่องนี้ไปซะแล้ว แต่เจ้าสายโทรศัพท์ที่อยากตายนี้ก็มาทำให้เป่หมิงโม่เริ่มอยู่ไม่สุขอีกแล้ว
“เธอกะว่าจะทำหนังสือเหรอ? หรือว่าตอนนี้เธอขาดเงินมากนักเหรอ?” เขาถามขึ้นอย่างเรียบ ๆ เคียง ๆ
กว่ากู้ฮอนกว่าจะสะกดกั้นความดีอกดีใจลงได้อย่างยากลำบาก “ก็แน่นอนอยู่แล้ว จะต้องเลี้ยงลูกตั้งสามคนมันง่ายขนาดนั้นซะที่ไหนละ ฉันไม่ได้เป็นเหมือนคุณนี่ ที่มีธุรกิจตั้งเยอะตั้งแยะ และถึงแม้จะเสียบริษัทเป่หมิงไป ก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายเหมือนเก่า”
“พวกเขาสามคนก็เป็นของฉันด้วยเหมือนกัน คุณคงไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก”
“ฉันว่าช่างเถอะนะ ฉันรู้ว่าในใจคุณกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ว่าฉันกลับไม่อยากมีชีวิตอยู่แบบนี้ตลอดชีวิตหรอกนะ ฉันจะต้องมีชีวิตอย่างมีสีสันในทุก ๆ วัน และที่สำคัญ ฉันเป็นแม่ของพวกเขา เลี้ยงดูลูก ๆ ก็เป็นหน้าที่ของฉัน เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันก็จะกลับไปเลย คุณช่วยซื้อตั๋วเครื่องบินให้ฉันใบหนึ่งซิ ไว้ถึงเวลาได้ค่าต้นฉบับแล้วฉันค่อยคืนให้คุณ ถอยไปหน่อย……”
พูดแล้ว เธอก็ใช้มือดันเป่หมิงโม่ไปข้าง ๆ เบา ๆ ทีหนึ่ง แล้วตัวเองก็เบียดผ่านไป
พอมาถึงหน้าตู้เสื้อผ้า และก็เปิดกระเป๋าเดินทางออก แล้วก็เริ่มต้นเก็บข้าวของ
เป่หมิงโม่มองเธอเก็บกระเป๋าอย่างรวดเร็ว “พรุ่งนี้พวกเรากลับพร้อมกันเลยดีกว่า ในเมื่อพวกเด็ก ๆ ก็เที่ยวเล่นที่นี่กันพอประมาณแล้ว สำหรับพวกหยินปู้ฝันก็ไม่ใช่เด็ก ๆ กันแล้ว ไม่ต้องไปวางแผนการเดินทางต่อของพวกเขาหรอก”
กู้ฮอนขมวดคิ้วขึ้นน้อย ๆ เจ้าหมอนี้นี่มันเหมือนกับ‘ยาแผ่นหนังหมา’ที่เอามาหลอกคนเลยจริง ๆ แต่ว่าพอหันกลับคิด ๆ ดูแล้วมันก็ใช่อยู่ ทุกคนมาที่นี่ก็เป็นเวลาไม่น้อยแล้ว
*
เครื่องบินค่อย ๆ ลดระดับลง นั่งอยู่ข้างหน้าต่างมองเห็นเส้นถนนข้างล่างที่เล็กราวกับไส้เดือน ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นใหญ่ขึ้น หนาขึ้น และลึกขึ้น……
หลังจากที่ตัวเครื่องผ่านการสั่นไหวเบา ๆ แล้ว เส้นสีขาวติดต่อกันของถนน ก็เปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นทีละช่วงทีละช่วง
ในที่สุดก็กลับถึงบ้านแล้ว
ถึงแม้โลกภายนอกจะมีสีสันสดใสหลากหลาย เรื่องราวเปลี่ยนแปลงมากมาย ก็เทียบไม่ได้กับอบอุ่นและเป็นตัวของตัวเองในตอนที่อยู่บ้านไม่ได้หรอก
“ลูกรักทุกคน พวกเรากลับถึงบ้านแล้ว……”
ในช่วงระยะเวลาที่เดินทางกลับมานี้ เด็ก ๆ พูดน้อยลงไปเยอะ เทียบไม่ได้กับความตื่นเต้นดีใจเมื่อตอนออกเดินทางเลย
การเล่น มันคือธรรมชาติแบบหนึ่ง ความคิดของพวกเขาเหมือนกับจะคล้าย ๆ กับของตัวเอง
แต่ว่า เธอเชื่อว่า ตามที่เด็ก ๆ กำลังเติบโตขึ้นไม่หยุด และเรื่องราวที่ต้องพบเจอก็ยิ่งอยู่ยิ่งมากขึ้น จะต้องมีสักวันที่จะมีความรู้สึกเหมือนกับตัวเอง
และก็เป็นเช้าวันที่แสงแดดสดใสอีกวันหนึ่ง ถึงมันจะไม่แตกต่างอะไรกับหลายวันก่อนหน้านี้
แต่สำหรับกู้ฮอนมาพูดแล้วนั้นกลับไม่ธรรมดาเลยสักนิด มันยิ่งมีความหมายเข้าไปซะอีก
“นี่คุณเตรียมตัวจะไปพบบรรณาธิการสำนักพิมพ์คนนั้นจริง ๆ เหรอ?”
ที่โต๊ะอาหาร ทุกคนกำลังนั่งห้อมล้อมกินอาหารเช้ากับอยู่
เป่หมิงโม่ที่เวลาปกติกินอาหารจะไม่มีเสียงพูดอะไร แล้วอยู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาแบบนี้ประโยคหนึ่ง
“ทำไม หรือว่าคุณไม่เห็นด้วยเหรอ?” สำหรับการเอ่ยถามของเขานั้น กู้ฮอนได้คาดการไว้ตั้งนานแล้ว และที่สำคัญก็ไม่คิดว่าจะเอาความอารมณ์ใด ๆ ของเขาเข้ามารวมอยู่ในการคิดวิเคราะห์ด้วย
เพราะฉะนั้นพอตอบคำถามขึ้นมาถึงได้ดูเด็ดขาดนัก และยังแฝงไว้ด้วยความแน่วแน่อีกส่วนหนึ่งด้วย
เรื่องที่สำนักพิมพ์XXมาตามให้กู้ฮอนไปคุยเรื่องร่วมงานด้วย ที่จริงวันที่สองหลังจากที่เธอได้รับโทรศัพท์แล้ว ทุกคนต่างก็รู้เรื่องกันหมดแล้ว
แน่นอน นอกจากเป่หมิงโม่ที่ดูมีปฏิกิริยาขุ่นมัน นอกนั้นคนอื่น ๆ ต่างก็แสดงออกว่าเห็นด้วยกับเธอ และที่สำคัญยังตามกลับมาพร้อมกันด้วย รวมทั้งหยินปู้ฝันและแอนนิด้วย
การตัดสินใจแบบนี้ทำให้กู้ฮอนรู้สึกเกรงใจเอามาก ๆ
“ที่ที่ควรเที่ยวเล่นที่นี่ก็ล้วนเที่ยวไปหมดแล้ว พวกเด็ก ๆ ก็ยังต้องเรียนหนังสืออีก และคนแก่อย่างเราสองคนก็ควรกลับบ้านไปพักผ่อนดี ๆ สักหน่อยแล้ว”
“ออกมากันนานขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าที่ร้านอาหารของฉันจะเป็นยังไงบ้างแล้ว”
“ไม่ได้การแล้ว ตอนนี้ความรับผิดชอบของผมยิ่งมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว ด้านหนึ่งต้องดูแลสำนักงานไปด้วย และตอนนี้ยังต้องช่วยดูแลร้านอาหารอีกด้วย ไม่เที่ยวแล้ว เก็บแรงเอาไว้ทำงานดีกว่า”
นี่เป็นคำตอบของผู้ใหญ่ทั้งสองรวมทั้งหยินปู้ฝันและแอนนิ
*
“โม่ เธอรู้สึกว่ามีปัญหาอะไรเหรอ?” หวีหรูเจี๋ยฟังคำพูดของลูกชายแล้ว ก็รู้สึกว่านี่มันในคำพูดแฝงคำพูดไว้นี่
ยังนึกว่าลูกชายที่ผ่านโลกธุรกิจมานานหลายปีแบบนี้ จะมองเห็นพิรุธอะไรออกแล้วซะอีก
เป่หมิงโม่ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็หันกลับไปกินอาหารต่อไป
บรรยากาศแบบนี้ดูแล้วมันช่างแปลกจริง ๆ
“จะไปมีปัญหาอะไรได้ สำนักพิมพ์XXผมก็เคยได้ยินชื่อมาบ้างอยู่เหมือนกัน เป็นสำนักพิมพ์ที่ไม่เลวเลยนะ ผมเข้าไปในดูในอินเทอร์เน็ตแล้วเห็นว่าตอนนี้วงการสื่อหนังสือออนไลน์กำลังพัฒนาไปอย่างมาก หรือกระทั่งยึดครองตลาดของสิ่งพิมพ์ไปมากมายแล้ว ตอนนี้ที่สามารถยืนหยัดพิมพ์หนังสือออกมาได้อย่างพวกเขานั้นมีอยู่ไม่มากแล้ว”
คำพูดประโยคเดียวของโม้จิ่งเฉิงทำให้คนทั้งหมดที่นั่งอยู่ที่นี่ต่างก็เข้าใจกันทั่ว
และนี่ก็ตรงกับสิ่งที่กู้ฮอนกำลังกังวลอยู่พอดี “ใช่ค่ะพ่อบุญธรรม ทุกวันนี้ตลาดของสิ่งพิมพ์ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนแล้วถือว่าแย่ไปเยอะมากเลย หนูก็ไม่ได้จะบอกว่าในอินเทอร์เน็ตมันไม่ดี เพียงแต่ว่าหนูแค่รู้สึกว่าบางครั้งในมือถือหนังสือจริง ๆ สักเล่มหนึ่งไว้ ความรู้สึกแบบนั้นมันเป็นความสวยงามที่ไม่สามารถใช้คำพูดมาบรรยายออกมาได้ค่ะ”
สองพ่อลูกบุญธรรมนี้คนนี้พูดคำหนึ่งคนนั้นเสริมคำหนึ่ง มันทำให้ในใจลึก ๆ ของเป่หมิงโม่รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นน้อย ๆ จริง ๆ
นี่มันเป็นการที่ภายนอกดูดีแต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลยจริง ๆ พวกคุณมีใครรู้บ้างว่าจริง ๆ แล้วในหนังสือของเธอเขียนอะไรไว้ แล้วเอาตัวเขาที่เป็นพระเอกของเรื่องไปโดนประชดประชันจนเป็นยังไงบ้างแล้ว
ได้แต่แอบถอนหายใจอยู่คนเดียว
พอกินข้าวเสร็จแล้ว กู้ฮอนก็ขับรถออกไปสำนักพิมพ์คนเดียว แต่เป่หมิงโม่กลับเริ่มทำหน้าที่ของ‘แม่บ้าน’ขึ้นมา
โดนส่วนใหญ่แล้วก็ไม่มีงานอะไรมาก ก็แค่คอยดูลูก ๆ เท่านั้น
ระยะเวลาที่ลูก ๆ จะเปิดเรียนยังมีอีกสองวัน แต่ว่าดูท่าสองวันที่เหลือนี้ กู้ฮอนน่าจะช่วยเรื่องอะไรไม่ได้แล้ว เพราะว่าเธอจะเริ่มวุ่นวายกับหนังสือที่คอยประชดประชันเป่หมิงโม่เล่มที่สองนี้ขึ้นมาแล้ว
สำหรับหวีหรูเจี๋ยและโม้จิ่งเฉิงนั้น ไม่ว่าจะมากหรือน้อยพวกเขาก็ยังช่วยได้เหลือนิดหน่อย แต่ว่าก็มีขีดจำกัดมากเช่นกัน
และทั้งหมดนี้ก็เพราะว่าพวกเขาตั้งใจทั้งนั้น พวกเขารู้สึกว่าเป่หมิงโม่และลูก ๆ ควรจะมีเรื่องราวอะไรที่ร่วมทำด้วยกันบ้าง ไม่งั้นคนที่เป็นพ่อแท้ ๆ คนนี้ กลับมักจะรู้สึกว่าเหมือนกับเป็นแค่พ่อเลี้ยงยังไงอย่างงั้น
*
หลังจากที่กลับมาจากท่องเที่ยวยุโรปแล้ว ความสัมพันธ์ของหยินปู้ฝันกับแอนนิก็ยิ่งสนิทชิดเชื้อกันเข้าไปอีก ดูท่าข่าวดีของพวกเขาคงจะใกล้เข้ามาแล้ว
เป็นช่วงเวลาหนึ่งแล้วที่ไม่มีเรื่องมงคลมา นี่ก็ควรจะต้องจัดการให้ดี ๆ สักหน่อยแล้ว
ตั้งแต่ที่กลับมาจากท่องเที่ยวยุโรป กู้ฮอนก็เหมือนกับว่าจะเปลี่ยนไปงานยุ่งมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนซะอีก
แต่ว่าเป่หมิงโม่กลับเหมือนกับว่าเป็นคนที่ไม่มีอะไร ทุกวันไม่มีอะไรให้ทำเลย
แน่นอน เขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรให้ทำเลยจริง ๆ เพราะการรับส่งลูกไปโรงเรียนก็คืองานที่เขาต้องทำอยู่ในตอนนี้
อดีตประธานกรรมการบริษัทเป่หมิงกรุป อดีตรักษาการประธานกรรมการบริษัทGTกรุปตกอับมาถึงขั้นนี้ได้ ก็ยังสามารถดึงดูดความสนใจของสื่อมวลชนได้ไม่น้อย
มีหัวข้อรายงานบางส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย อย่างเช่น 《ประธานแปลงร่างเป็นพี่เลี้ยงเด็กในพริบตา》《ชีวิตความเป็นจริงของประธานตกอับ》……
ในรูปถ่ายที่แอบถ่ายรวมทั้งข้อความที่เล่าขาน ไม่มีอันไหนที่ไม่แสดงออกถึงการสอดเสียดและประชดประชันอย่างแรงต่อเป่หมิงโม่เลยสักอัน
การวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ถึงแม้อาจจะดูทำเกินไปบ้างหรือเห็นคนตกน้ำ ไม่ช่วยไม่ว่ายังโยนก้อนหินใสอีก แต่ว่าที่“น้ำแข็งหนาได้สามนิ้ว ไม่ใช่เพราะความเย็นแค่เพียงวันเดียว” นี่ล้วนเป็นเพราะโดนสำนักข่าวที่เขาไปขัดใจโดยไม่ได้ตั้งใจในก่อนหน้านี้กระทำขึ้นทั้งนั้