บทที่ 1123 ยอมรับอย่างฝืนใจ
“ใครอยากมองคุณ ออกไปให้พ้น” กู้ฮอนขมวดคิ้ว มองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา แต่กลับเป็นใบหน้าที่ทำให้ตนเองรู้สึกเบื่อหน่าย จากนั้นเอามือวางไว้บนใบหน้านั้น และผลักเขาไปอีกด้านหนึ่ง “คุณทำตัวจริงจังสักหน่อยไม่ได้เลยหรือไงเวลาอยู่ต่อหน้าพวกเด็ก ๆ รู้จักแต่เลี้ยงลูกแต่ไม่รู้จักอบรมเป็นความผิดของพ่อแม่ เหล่าเป่หมิงเคยบอกไว้ แต่คุณน่าจะต้องใช้เวลาอีกนาน”
เป่หมิงโม่หันศีรษะไปมองกระจกด้านหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นมองไปที่เด็กทั้งสามคนอีกครั้ง “ฉันมันแย่เกินจะทนได้อย่างที่แม่นายพูดขนาดนั้นเลยหรือ”
พ่อถามมาแบบนี้ พวกเขาจะกล้าพูดอะไรอีกล่ะ
เฉิงเฉิงเงยหน้าขึ้น และส่ายหัวอย่างระวัง
หยางหยางเป็นผู้ชายประเภทที่ทำตาม ‘แบบแผน’ เขาเรียนรู้ตามแม่ของเขา ขมวดคิ้ว และมองไปตรงนั้น จากนั้นเอามือเล็ก ๆกอดไว้บนหน้าอก ทำเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง “ที่โรงเรียนผมเคยเรียนมาประโยคหนึ่งว่า ลูกย่อมไม่รังเกียจพ่อที่ขี้เหร่ คุณเป็นพ่อของผม ถึงอย่างไรก็ไม่ควรเก็บอะไรมาเป็นภาระในใจ”
เหตุผลที่เขากล้าพูดประโยคนี้ก็เพราะว่า ตอนนี้แม่และ คุณย่า คุณปู่ ต่างก็อยู่ที่นั่น แม้ว่าถึงจะล้ำเส้นของพ่อ เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับตนเองได้
เจ้าเด็กน้อยคนนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งคนที่ได้พบผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่แข็งแกร่ง จะได้ทำให้ตนเองอยู่ในฐานะผู้ชนะตลอด
แน่นอนว่า เมื่อเป่หมิงโม่ได้ยินก็ยิ่งมองเขาด้วยใบหน้าที่เย็นชา
นี่ไม่ได้ทำให้สหายเหล่าเป่หมิงนึกได้ จิ่วจิ่วที่ดูแล้วน่ารักและว่านอนสอนง่าย ก็มาซ้ำเติมเข้าไปอีก
เธอพูดต่อจากคำพูดของหยางหยาง “ครูพวกเราก็เคยสอน และยังมีอีกคำพูดหนึ่ง ‘สุนัขไม่เคยเกลียดชังเจ้าของที่ยากไร้’ ”
“ฮ่า ๆๆ……”
ประโยคนี้วิเศษมากพอจริง ๆ แป๊บเดียวก็ทำให้คนอื่น ๆต่างก็ขบขันขึ้นมา
กู้ฮอนยิ่งภูมิใจมากขึ้น วันนี้เด็กทั้งสามยอดเยี่ยมมากจริงๆ “เป็นอย่างไรสหายเหล่าเป่หมิง คุณมีอะไรจะอวดเก่งอีกบ้าง”
เป่หมิงโม่จะสามารถทำอะไรได้อีกล่ะ นอกจากยอมรับฟัง
แต่เขายังคงโยนคำพูดไปให้หยางหยาง “ทำไมฉันไม่ได้รู้สึกว่านายเป็นลูกชายสุดที่รักของฉันเลยล่ะ”
เอ่อ……
หยางหยางได้ยินความไม่พอใจในคำพูดของพ่อ ศีรษะน้อย ๆของเขาก็หันไปอย่างรวดเร็ว “ดังนั้นผมถึงไม่ชอบคุณไง”
เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่เคยได้ยินความหมายที่แท้จริงของคำนี้
เป่หมิงโม่มีความหมายว่าเล่นเปียโนให้วัวฟัง แม้แต่ยังมีความสงสัยว่าหยางหยางเจ้าเด็กน้อยคนนี้ตนเองเป็นผู้ให้กำเนิดจริง ๆหรือเปล่า นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่เหมือนกับเฉิงเฉิงแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเหมือนเลย
เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ “ถ้านายไม่ชอบฉัน นายก็จะไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆสักนิดเดียว ฉันน่ะ ชอบคนที่เชื่อฟังฉัน และจะต้องทำตามฉันทุกอย่าง”
พูดจบ สายตาของเขาก็จ้องไปที่ร่างของเฉิงเฉิงและจิ่วจิ่วหยุดอยู่อย่างนั้นสักพัก แล้วหันกลับไปยังห้องหนังสือของตนเอง
เฉิงเฉิงดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของพ่อในตอนนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังกู้ฮอน “แม่ พ่อโกรธหรือเปล่า”
กู้ฮอนก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ของเป่หมิงโม่ที่ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นัก แต่เธอไม่ได้สนใจ ยื่นมือไปลูบศีรษะน้อย ๆของเฉิงเฉิง “ไม่ต้องกังวล หัวใจกระจกนี้ของเขาควรจะได้รับการฝึกฝนอีกสักหน่อยแล้ว”
พูดจบ ก็หันไปมองที่หยางหยางและจิ่วจิ่ว “วันนี้ลูกทำได้ดีเลย เดี๋ยวแม่จะไปทำของอร่อย ๆ ให้พวกเธอทาน”
*
อีกไม่กี่วันข้างหน้า ชีวิตที่เรียบง่าย ก็จะสงบมากขึ้น
ชีวิตแบบนี้ทำให้กู้ฮอนในที่สุดก็รู้สึกได้ถึงความสบายใจที่ห่างหายไปนาน
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เธอนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในตอนกลางดึก ความคิดกลับไม่สามารถนิ่งสงบได้เหมือนอย่างชีวิตในแต่ละวัน
ในความเป็นจริง ชีวิตควรจะเป็นเช่นนี้ ใครสามารถจะสัมผัสประสบการณ์ได้ในทุกวันกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความสะเทือนเลือนลั่น’ ล่ะ ชีวิตที่เรียบง่ายจึงจะดีที่สุด
เดิมทีเธอคิดว่า หลังจากได้กอดเป่หมิงโม่และพวกเด็ก ๆภายใต้แสงดาวในครั้งนั้น ผู้ชายคนนี้อาจจะไม่มีคำพูดก็สามารถหาเหตุผลทุกรูปแบบมาพูดให้ตนเองได้
แต่ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนั้นกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง นอกจากเวลารับประทานอาหาร ดูทีวีด้วยกันแล้ว ก็ไม่รู้เลยว่าเขาทำอะไรในเวลาอื่น
แน่นอนว่า ในแต่หนึ่งวันกู้ฮอนไม่มีเวลามากนักที่จะทำสิ่งต่าง ๆ เช่น การตีพิมพ์หนังสือเล่มใหม่ และงานนักเขียนพบปะนักอ่านก็ไม่เคยน้อยลง
สัปดาห์นี้ยังเป็นเวลาที่อยู่ด้วยกันน้อยมาก เธอจะต้องวิ่งไปจัดประชุมส่งเสริมการขายหนังสือเล่มใหม่ในแต่ละที่ ถึงแม้ว่าทุกวันเธอจะต้องกลับบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ชีวิตแบบนี้ทำให้เธอก็รู้สึกได้ถึงคุณค่าตนเองที่มีอยู่ และมันก็มาเติมเต็มชีวิตมากขึ้น
เพียงแต่ว่า เป่หมิงโม่และกู้ฮอนทั้งสองคนไม่ค่อยมีชีวิตร่วมกันเท่าไหร่ ซึ่งทำให้หวีหรูเจี๋ยรู้สึกกังวลเล็กน้อยอีกครั้ง
บางครั้งมันทำให้เธอรู้สึกว่า ที่จินตนาการไว้เป็นความสมบูรณ์พร้อม แต่ความเป็นจริงนั้นกลับว่างเปล่า
เธออยากจะหาเวลาคุยกับพวกเขาอีกครั้ง แต่ถูกโม้จิ่งเฉิงหยุดไว้ “พวกเด็ก ๆต่างก็มีเรื่องของตัวเองที่ต้องทำ พวกเราอย่าไปเพิ่มความวุ่นวายให้พวกเขาดีกว่า สำหรับเรื่องอื่นให้พวกเขาตัดสินด้วยตัวเองเถอะ ฉันคิดว่า เด็กสองคนนั้นขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะ”
*
เชฟแอนนิ
ใกล้จะถึงเวลาปิดร้านแล้ว
พนักงานต่างก็กลับบ้านกันไปหมดแล้ว มีเพียงแอนนิที่ยังคงจัดการกับงานบางส่วนก่อนที่จะปิดประตู
“กุ๊งกิ๊ง……” เสียงของกระดิ่งลมที่ประตูก็ดังขึ้น
แอนนิยุ่งอยู่จนไม่ได้หันกลับไม่มอง มีแต่เพียงน้ำเสียงที่นุ่มนวลมาก “ขอโทษด้วยนะคะ ร้านปิดแล้วค่ะ”
เพียงแต่ เธอได้ยินเสียงเก้าอี้ที่ดังขึ้น น่าจะเป็นคนนั้นได้นั่งลง
เมื่อเธอหันกลับไปมอง ทันใดนั้นก็ยิ้มขึ้นทันที “ฮอน ทำไมวันนี้ถึงได้มีเวลาว่างมาหาฉันที่นี่ล่ะ”
กู้ฮอนรู้สึกอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด นั่งบนเก้าอี้แล้วใช้มือทั้งสองทุบขา
“แม่นักเขียนคนดัง ตอนนี้เธอนับว่าเป็นแขกที่ไม่ได้มาบ่อย ๆแล้วล่ะ” แอนนิพูดพร้อมกับนั่งลงตรงข้ามกู้ฮอน และยื่นเครื่องดื่มที่เพิ่งหยิบออกมาจากตู้เย็นให้กับเธอ “ดูท่าทางของเธอจะเหนื่อยมากเลยนะ บอกมา ว่าเป็นเพราะพวกเด็กทั้งสามคนหรือว่าพ่อของเขา”
“ไม่ว่าจะเป็นพวกเขาคนไหน สำหรับฉันก็ล้วนแต่ไม่ใช่เรื่องดี สองสามวันนี้ต้องคอยวิ่งเรื่องเซ็นชื่อและขายหนังสือ เรื่องพวกนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องที่จะต้องทำในสองสามวันนี้ ล้วนแต่ไม่ได้สร้างเรื่องไม่ดีอะไรให้กับฉันเลย ไม่อย่างนั้น ฉันก็คงจะต้องเหนื่อยเจียนตายแน่ ๆ” กู้ฮอนพูดจบ ก็เปิดเครื่องดื่มและยกศีรษะขึ้นเพื่อดื่ม
แอนนิแสดงท่าทีมองเธออย่างเห็นอกเห็นใจ “เธอน่ะ ยุ่งมากจนไม่รู้ว่าจะดูแลตัวเองอย่างไรแล้ว จะเป็นแบบนี้ได้อย่างไร เกิดวันหนึ่งเธอต้องล้มลง พวกเขาเหล่านั้นจะทำอย่างไร”
กู้ฮอนได้ยิน ก็รู้สึกเหลือเชื่อ “คิดไม่ถึงเลยว่าพอเธอแต่งงานไปแล้ว ก็ไปเข้าข้างคนอื่นแล้ว ตอนนี้ก็ไม่สนใจความเป็นความตายของฉันแล้ว คิดถึงแต่คนพวกนั้นจะอยู่อย่างไร”
อันที่จริงเธอรู้ว่าแอนนิมีความจริงใจต่อตนเอง เธอก็แค่ล้อหล่อนเล่น
แต่แอนนิให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก สีหน้าของเธอดูไม่เป็นธรรมชาติ ราวกับว่าตนเองทำเรื่องอะไรบางอย่างที่ล่วงเกินต่อกู้ฮอน
เธอจึงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “ฮอน ฉันไม่ใช่ความหมายว่าแบบนั้น เธออย่าเข้าใจผิดนะ พวกเราเป็นเพื่อนกันมาหลายปีแล้ว หรือว่าเธอยังไม่เข้าใจฉัน ทำไมถึงจะไม่ยืนอยู่ข้างเธอล่ะ”
เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้ กู้ฮอนก็ยิ้มออกมาทันที “อย่าเครียดขนาดนั้นสิ ฉันแค่ล้อเธอเล่น”
*
ท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว ที่รีสอร์ตปานซาน คนชราสองคน เป่หมิงโม่และเด็ก ๆทั้งสามคนได้นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารเพื่อเตรียมรับประทานอาหาร
แต่ทุกคนต่างก็ยังไม่ได้ขยับตะเกียบ เป็นเพราะบนโต๊ะตัวนี้ยังขาดคนอยู่อีกหนึ่งคน
“ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมฮอนยังไม่กลับมาอีก โม่ คุณโทรศัพท์ไปหาเธอหน่อย” หวีหรูเจี๋ยรู้สึกกังวลเล็กน้อย
ในฐานะผู้สูงอายุ ก็ล้วนแต่ต้องมีความเป็นห่วงต่อผู้ที่มีอายุน้อยกว่าอย่างกู้ฮอน แน่นอนว่า เป็นเพราะเธอได้ถือว่ากู้ฮอนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวที่ขาดไม่ได้
เพียงแต่ว่าสำหรับความกังวลของคนเป็นแม่ เป่หมิงโม่ก็นิ่งมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขามองดูเวลา จากนั้นก็หยิบตะเกียบขึ้นมา “ไม่ต้องรอแล้ว ทุกคนกินเถอะ เธอไม่ใช่เด็กแล้ว รู้ว่าควรจะกลับมาเมื่อไหร่ และก็ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะหิว วันนี้มีคนจัดเตรียมไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว”
หลังรับประทานอาหารเย็น หวีหรูเจี๋ยได้เป่หมิงโม่ไปข้างๆ และก็ตำหนิลูกชาย “โม่ นายยิ่งโตทำไมยิ่งไม่รู้เรื่อง พูดตามตรงในใจของนายมีฮอนอยู่หรือเปล่า เดิมทีก็เห็นว่าความรู้สึกของพวกเธอทั้งสองคนก็ดีขึ้นทุกวัน ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้อีกแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป จะวางใจพวกเธอได้อย่างไรล่ะ”
เป่หมิงโม่ตบไปที่ไหล่ของแม่ พร้อมรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย “คุณคิดฟุ้งซ้านอยู่ทั้งวัน ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเธอดีกว่าที่คุณคิด ช่วงนี้เธอต้องคอยวิ่งอยู่กับงานแถลงหนังสือเล่มใหม่ ไม่ใช่แค่วันนี้วันเดียวที่ไม่ได้กลับมาทานข้าว อย่ากังวลไปเลย แบบนี้จะเป็นการดีกว่าสำหรับคุณและพวกเรา”
พูดจบ เขาก็หันกลับไปเห็นเด็กทั้งสามคนกำลังเตรียมที่จะขึ้นไปชั้นบนพอดี “พวกเธอสามคนตามฉันไปที่ห้องหนังสือ” พูดจบ ก็ขยิบตาให้กับเฉิงเฉิง
พ่อได้เรียกพวกเขาทุกคนให้ไปห้องหนังสือโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า ทำให้เด็ก ๆทั้งสามคนรู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย ในความทรงจำของพวกเขา ห้องหนังสือนั้นของพ่อ เป็นสถานที่ที่น่ากลัวมาก
“พ่อ ผมยังทำการบ้านไม่เสร็จเลย” หยางหยางรู้สึกไม่อยากจะไปจริงๆ
เมื่อหยางหยางพูดแบบนี้ออกมา ไม่เพียงแต่เป่หมิงโม่ แม้แต่เฉิงเฉิงก็ยังแสดงท่าทีเหลือบมองเขาอย่างเหยียดหยาม
หยางหยางกลับแสดงสีหน้าจริงจัง แต่มีท่าทีที่ประหลาดใจมาก “พวกคุณทำไมถึงมองผมแบบนี้”
โดยธรรมชาติแล้วเฉิงเฉิงไม่อาจจะเปิดเผยเขาต่อหน้าพ่อได้ แต่เป่หมิงโม่กลับพูดออกมา “ฉันเห็นนายยุ่งมาทั้งวัน ตอนนี้ก็ผ่อนคลายสักหน่อยเถอะ”
มันเป็นเรื่องที่น่าขำจริงๆ ทำให้หยางหยางกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
แต่เขาคิดอยู่กับตนเองเงียบๆ คงจะดีถ้าพ่อทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายได้แบบนี้อยู่เสมอ
วกกลับมาที่เรื่องเดิม เป่หมิงโม่ทำสีหน้าจริงจัง นั่งลงบนเก้าอี้สำนักงาน ตรงข้ามเขามีเด็กสามคนที่อายุรวมกันยังไม่เกินยี่สิบปียืนอยู่
สิ่งนี้ทำให้เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมองอย่างมึนงง
นึกถึงตอนนั้นเขาก็น่าเกรงขามแบบนี้ ล้วนแต่ต้องเผชิญกับบุคคลสำคัญในวงการอุตสาหกรรมอย่างไม่ต้องสงสัย
ช่างเถอะ วันนี้กับวันนั้นไม่เหมือนกัน
“ที่เรียกพวกเธอมาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากจะบอก ก่อนที่ฉันจะบอกว่าเป็นเรื่องอะไร ฉันต้องการให้พวกเธอสัญญาก่อนว่าจะเก็บเรื่องทั้งหมดไว้เป็นความลับ ถ้าหากว่าทำไม่ได้ ตอนนี้ก็เลือกที่จะถอยออกไปได้”
เด็กทั้งสามคนต่างมองหน้ากันและกัน ไม่รู้ว่าพ่อกำลังทำอะไรอยู่ แต่เนื่องจากวัยของพวกเขานี้มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก และความหวาดกลัวที่มีอยู่ในใจเหล่านั้นต่อพ่อ ถึงแม้ในใจรู้สึกไม่อยากจะมีส่วนร่วมสักเท่าไหร่ แต่ก็ได้เลือกที่จะยอมรับอย่างฝืนใจ
ในฐานะที่เฉิงเฉิงเป็นลูกคนโต เขาก็ได้ยอมทำตามคำสั่งอย่างไม่มีเงื่อนไข
หยางหยางยอมรับก็เพราะความอยากรู้อยากเห็นนั้น
สำหรับจิ่วจิ่ว เธอดูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ เมื่อเห็นพี่ชายทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร ตนเองก็ตามพวกเขาไปดีแล้ว
หลังจากเป่หมิงโม่ดูอยู่สักพักก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “ในเมื่อพวกเธอตกลง อย่างนั้นฉันก็จะบอกพวกเธอเกี่ยวกับแผนการที่เกี่ยวข้องกับแม่ของพวกเธอ ในระหว่างที่ดำเนินการตามแผนนี้ ถ้าพวกเธอคนไหนปล่อยให้ข่าวรั่วไหล สำหรับผลที่ตามมาฉันคิดว่าคงไม่ต้องเน้นย้ำแล้วนะ”
*
เชฟแอนนิ
กู้ฮอนและแอนนิได้พูดคุยกันเป็นเวลานานมากแล้ว พวกเธอดูเหมือนจะลืมเวลาที่ล่วงเลยไป
ท้ายที่สุดการระบายความในใจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบรรเทาความกดดันทางจิตใจ และบรรเทาอาการซึมเศร้า