บทที่ 1134 ตอกตะปูไว้บนกระดาน
เดิมกู้ฮอนก็ไม่ได้มีใจจะให้ใครได้เห็นดี เธอเห็นว่าพ่อบุญธรรมเอ่ยพูดขึ้นมาแล้ว
จึงทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง ลืมตาข้างหนึ่ง โบกมือให้กับหยางหยาง “หยางหยาง ดูสิว่าคราวหน้าลูกจะพูดจาส่งเดชแบบนี้อีกหรือไม่ วันนี้แม่จะรับความหวังดีของพวกลูกเอาไว้”
เธอพูดแล้วก็หันหน้าไปมองเป่หมิงโม่ “คุณเตรียมจะพาพวกเราไปไหน”
แม้ว่าในใจของเป่หมิงโม่จะรู้สึกเครียดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ว่าใบหน้าก็ยังคงมีสีหน้าไม่สะทกสะท้านอะไรอยู่ดี
สายตาของเขาประสานเข้ากับสายตาของเธอเป็นระยะเวลาสั้นๆชั่วครู่ “ถ้าหากคุณไม่ยินยอมล่ะก็ สามารถเลือกได้ว่าจะไม่ไป จะได้หลีกเลี่ยงว่าคุณบอกว่าผมบังคับคุณไปอีก ผมไม่อยากเหลืออะไรให้คุณมาว่าในภายหลังอีก”
นิสัยแบบนี้ของเป่หมิงโม่ทำให้คนเดาไม่ออกอยู่บ้าง เห็นอยู่ชัดๆว่าเขาได้จัดการเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าเพื่อกู้ฮอน แต่ในตอนที่ถึงหน้าประตูแล้ว กลับหดหัวอยู่ในกระดองเสียอย่างนั้น
นี่ทำให้เด็กๆและผู้ชราทั้งสองล้วนรู้สึกประหลาดใจ พวกเขามองไปทางเขาอย่างไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง
“ได้สิ ในเมื่อคุณพูดขนาดนี้แล้ว อย่างนั้นฉันก็จะแสดงท่าทีตรงนี้เลย ฉันรู้สึกไม่อยากฉลองวันเกิดอยู่บ้าง แต่ก่อนก็ใช่ ตอนนี้ก็ใช่ หลังจากนี้ก็เช่นกัน…….”
ทุกคนได้ฟังแล้ว หัวใจก็หนักอึ้งในทันที
แน่นอนว่านี่ก็รวมถึงเป่หมิงโม่ด้วย เขาคล้ายกับว่ารู้สึกเสียใจต่อคำพูดเหล่านั้นของตัวเองเมื่อครู่นี้ นี่เป็นการทุ่มหินใส่เท้าของตัวเองเหมือนกับหยางหยางจริงๆ
เพียงแต่ว่า กู้ฮอนยังมีคำพูดที่ยังพูดไม่จบอีก หลังจากถอนหายใจแล้ว เธอก็เอ่ยต่อว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกว่าไปเข้าร่วมค่อนข้างจะดีกว่า คาดว่าพวกคุณคงสิ้นเปลืองความคิดไปมากมาย ฉันไม่อยากให้ทุกคนเสียใจ”
“เย้………” หยางหยางดีใจจนกลั้นเสียงโห่ร้องเอาไว้ไม่อยู่
ในที่สุดก็สามารถตอกตะปูลงบนกระดานเรียบร้อย เรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว
แน่นอนว่าคนที่รู้สึกดีใจยิ่งกว่าก็คือเป่หมิงโม่ เขาควรจะเป็นคนที่ดีใจมากที่สุดคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าเขายังคงอดทนเอาไว้ เขามองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมสามารถเข้าใจได้หรือไม่ว่าคุณเห็นด้วยด้วยตัวเองในสถานการณ์นี้ ไม่ใช่ว่าถูกผมหรือคนอื่นใช้แผนการใดๆมาบีบบังคับคุณใช่หรือไม่”
ในเมื่อรับปากด้วยตัวเองแล้ว กู้ฮอนก็ยอมรับแล้ว เธอพยักหน้าอย่างจริงจัง “คุณคิดว่า ถ้าฉันไม่ยินยอม คุณหรือว่าพวกคุณจะสามารถบีบบังคับฉันได้อย่างนั้นหรือ เอาเถอะ คุณก็อย่าชักช้าอีกเลย ฉันรับประกันว่าจะไม่ตามคิดบัญชีคุณย้อนหลัง ไม่พอหรือ”
เธอเพิ่งจะพูดประโยคนี้จบ ก็เห็นมุมปากของเป่หมิงโม่ยกขึ้นน้อยๆ ไม่เพียงแต่เท่านั้น เธอยังพบว่ามีประกายพาดผ่านในนัยน์ตาของเขาด้วย
ปฏิกิริยาแบบนี้ของเขา ทำให้กู้ฮอนรู้สึกใจไม่สงบเงียบๆ
“ทำไมฉันถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าติดกับดักอะไรสักอย่างของพวกคุณ……” เธอเอ่ยเสียงเบาประโยคหนึ่ง
“วางใจเถอะ พวกเราไม่เอาคุณไปขายเร็วขนาดนั้นหรอก เพลิดเพลินไปกับวันเกิดในปีนี้เถอะ จะทำให้คุณยากที่จะลืมเลือนไปทั้งชีวิตเลย” เป่หมิงโม่เอ่ยจบแล้ว ก็โบกมือเรียกลูกๆทั้งสามคน “พวกลูกไปเตรียมของของตัวเองให้เรียบร้อยเถอะ วันนี้ไม่ต้องรบกวนคุณแม่รู้หรือไม่”
เป่หมิงโม่เอ่ยสั่ง เด็กทั้งสามคนก็วิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างเชื่อฟัง
“เฮ้ คุณจะทำอะไรกันแน่” สุดท้ายแล้วกู้ฮอนก็เอ่ยถามขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างอดไม่ได้
ก็แค่ฉลองวันเกิดไม่ใช่หรือ ต้องระดมผู้คนเป็นจำนวนมากขนาดนี้ด้วยหรือ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ในตอนนี้มีคำถามผุดขึ้นมาในสมองของเธอ
“ฮ่าๆ ฮอน ลูกไม่ต้องถามแล้วล่ะ สรุปว่าโม่ เด็กคนนี้ไม่เอาเปรียบลูกหรอก” โม้จิ่งเฉิงหัวเราะฮาๆ เอ่ยจบแล้วก็เดินจากไปพร้อมกับหวีหรูเจี๋ย
แน่นอนว่าเป่หมิงโม่นั้นก็ไม่แย้มพรายอะไรสักคำ เขาหมุนตัวเดินกลับไปเตรียมของของตัวเอง แน่นอนว่ารวมถึงของของกู้ฮอนด้วย
ตอนนี้เหลือเพียงเธอคนเดียวที่อยู่ในห้องรับแขก
กู้ฮอนคิดว่าตัวเองพักผ่อนไม่เพียงพอใช่หรือไม่ ทำไมเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเช้านี้ ดูแล้วง่ายดาย แต่กลับทำให้ตัวเองยิ่งงุนงงสับสน
เธอรู้ว่าเป่หมิงโม่ เจ้าหมอนี่ มีความคิดพิเรนทร์ไม่น้อยมาตลอด อีกทั้งเอาคีมหนีบหรือประแจมาก็ง้างปากเขาไม่ได้
ช่างมันเถอะ อย่าหาเหาใส่หัวเลยจะดีกว่า
หลังจากที่เธอนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ในห้องรับแขกไปครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็เห็นเด็กน้อยทั้งสามคนลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กมาปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าตัวเองคนละใบ
“ลูกรัก พวกลูกทำอะไรกันน่ะ” เธออดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาจากโซฟาด้วยสีหน้างุนงง
ตอนนี้เองที่เป่หมิงโม่ก็เดินออกมาจากห้องหนังสือของเขา และลากกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งเช่นเดียวกัน
ถัดมาก็เป็นหวีหรูเจี๋ยและโม้จิ่งเฉิง พวกเขาล้วนเหมือนกัน
“ก็แค่ฉลองวันเกิดให้ฉันไม่ใช่หรือ จำเป็นจะต้องลากกระเป๋าเดินทางไปด้วยหรือ” เธอพูด เหลือบมองไปที่เป่หมิงโม่ครั้งหนึ่ง “ฉันจะบอกคุณให้นะว่า ฉันเห็นด้วยที่พวกคุณจะฉลองวันเกิดให้ฉัน แต่ไม่ได้เห็นด้วยที่จะออกไปท่องเที่ยวกับพวกคุณโดยไม่ได้ตระเตรียมอะไรสักอย่าง”
เป่หมิงโม่ไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับเธอในทันที เพียงแต่บอกกับลูกๆทั้งสามคนว่า “พวกลูกไปขึ้นรถกับคุณปู่คุณย่าเถอะ ฉิงฮัวรอพวกลูกอยู่ที่นั่นแล้ว”
“ครับพ่อ”
กู้ฮอนมองเด็กสามคนกับผู้ชราสองคนที่ลากกระเป๋าเดินทางเดินจากไป
ตอนนี้ในห้องเหลือเพียงแค่ตัวเองกับเป่หมิงโม่สองคน
“เป่หมิงโม่ คุณจะทำอะไรกันแน่”
“คุณเห็นด้วยกับการที่พวกเราจะฉลองวันเกิดให้คุณแล้วไม่ใช่หรือ อย่างนั้นก็ไม่ต้องถามอะไรแล้ว เพียงแค่ทำตามที่ผมจัดการไว้ก็พอแล้ว” เอ่ยจบแล้ว เขาก็เดินมาถึงข้างกายเธอ ยื่นมือออกไปจับมือเล็กขาวนวลของเธอเอาไว้ มือหนึ่งลากกระเป๋าเดินทาง อีกมือหนึ่งจับจูงเธอเดินออกไปจากบ้านพัก
“เจ้านาย คุณผู้หญิง”
เมื่อพวกเขาออกมา ก็เห็นว่าฉิงฮัวกำลังยืนอยู่ด้านข้างรถคันที่เป่หมิงโม่ใช้ในตอนเดินทางไกลเท่านั้น เอ่ยทักทายพวกเขา
“พวกเขาล้วนขึ้นรถแล้วใช่ไหม เตรียมขับรถเถอะ” เป่หมิงโม่พูดกับฉิงฮัว
พวกเขาไม่ได้เดินไปที่รถคันนั้น แต่เดินไปถึงรถคันที่เป่หมิงโม่ขับเองคันนั้นแทน
“คุณขึ้นรถก่อนเลย ผมจะเอากระเป๋าเดินทางไปไว้หลังรถก่อน”
*
ผ่านไปชั่วครู่ รถคันใหญ่หนึ่งคัน คันเล็กหนึ่งคันก็ออกเดินทางจากบ้านพักที่ปานซาน มุ่งหน้าไปยังในเมือง
“ทำไม คุณเรียกฉิงฮัวมาด้วยหรือ ฉันล้วนพูดกับพวกแอนนิไปแล้วว่า วันนี้ไม่มีแพลนจะฉลองวันเกิด ตอนนี้คุณกลับเรียกเขามา แล้วหลังจากนี้จะให้ฉันเผชิญหน้ากับแอนนิและลั่วเฉียวได้อย่างไร”
กู้ฮอนรู้สึกไม่เป็นตัวเองอยู่บ้าง โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงท่าทางที่พวกเธอบ่นตัวเอง
“ไม่อย่างนั้นคุณก็โทรศัพท์ให้ฉิงฮัวไปรับพวกเธอมาด้วย ฉันไม่อยากถูกพวกเธอตำหนิในภายหลัง เฮ้ สรุปว่าคุณได้ยินหรือไม่”
เห็นเพียงแค่เป่หมิงโม่ที่ตั้งใจขับรถ คล้ายกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดอยู่ข้างๆเมื่อครู่นี้อย่างไรอย่างนั้น
ช่างเหมือนกับการสีซอให้ควายฟังจริงๆ
นี่เป็นความรู้สึกเดียวที่กู้ฮอนมีต่อเป่หมิงโม่ในตอนนี้
แต่ว่า ควาย ตัวนี้ กลับยุ่งขึ้นมาเพราะวันเกิดที่ทำเพื่อตัวเอง หรือไม่ใช่เพียงแค่วันนี้เท่านั้น แต่น่าจะเริ่มต้นก่อนหน้านี้มาหลายวันแล้ว
ในครั้งนี้มีการดำเนินการที่เป็นระเบียบและไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า โดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ
โชคดีที่ครั้งนี้เขาไม่เหมือนกับแต่ก่อนที่ทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
วันนี้ดูแล้ว เธอเหมือนอยู่ในตำแหน่งตัวเอก แต่กลับอยู่ในเส้นทางที่ไม่รู้จุดหมาย และรู้สึกเหมือนกับว่าอยู่ในกรงขัง
เงียบสงบ ในรถเงียบสงบเป็นอย่างมาก
จำเป็นต้องพูดว่าภายในรถคันนี้กันเสียงจากภายนอกได้ไม่เลวเลย เสียงจากด้านนอกทั้งหมดนั้นล้วนถูกกันเอาไว้
เหมือนกับว่าร่างกายอยู่กลางอากาศอย่างไรอย่างนั้น หรือจะพูดได้ว่าเป็นห้องอัดเสียงที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมมาก
เสียงที่สามารถได้ยินได้ นอกจากเสียงหายใจแล้ว คาดว่าก็เหลือเพียงแค่เสียงหัวใจเต้น
“เฮ้ คุณส่งเสียงอะไรออกมาหน่อยได้หรือไม่ ไม่อย่างนั้นฉันจะคิดว่าไปงานศพแล้วนะ” เมื่อพูดออกไปแล้ว กระทั่งกู้ฮอนก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปไม่เหมาะสมอยู่บ้าง
ทำไมถึงได้พูดจาไม่เป็นมงคลออกมาในวันนี้กันนะ
เป่หมิงโม่ที่ใจจดใจจ่อกับเสียงพูดของเธอก็อดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้ “ถือว่าไปงานศพแล้วกัน”
เหอะ เจ้าหมอนี่ก็รับช่วงต่อจริงๆด้วย
อยากจะพูดจาเป็นเหตุเป็นผลกับเขาสักหน่อยจริงๆ แต่เมื่อคิดกลับมาก็ช่างมันเถอะ เจ้าหมอนี่ก็เหมือนกับหยินปู้ฝัน ล้วนเป็นพวกปากร้าย
สามารถพูดเรื่องที่ไม่มีเหตุผลให้มีเหตุผลได้
เผชิญหน้ากับพวกเขา กู้ฮอนนั้นทำได้เพียงแค่ยอมแพ้
*
“ที่นี่ไม่ใช่…….”
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง หลังจากที่ใช้เวลาโดยสารบนรถยนต์ในการเดินทางไปช่วงหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้ทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
“ลงรถ” หลังจากที่เป่หมิงโม่จอดรถแล้วก็เปิดประตูลงจากรถไป
เขาไม่ได้อธิบายให้เธอฟังมากกว่านั้น
ทำไมถึงมาที่นี่กัน จะบอกว่ามาที่นี่เพื่อฉลองวันเกิดให้กับตัวเองหรือ……
เรื่องราวในอดีตค่อยๆเริ่มผุดขึ้นมาจากความทรงจำ
แต่นอกจากนำพาความเศร้าโศกมาให้เธอแล้ว ก็คล้ายกับว่าไม่มีสิ่งอื่นๆที่จะสามารถอธิบายออกมาได้อีก
“ทำไมถึงต้องพาฉันมาที่นี่” กู้ฮอนก็ลงจากรถเช่นกัน เธอเดินตามหลังเป่หมิงโม่ พลางเอ่ยถาม
ในตอนนี้เองที่รถคันที่ฉิงฮัวขับมาก็จอดอยู่ใกล้กับรถของพวกเขา
ประตูรถเปิดออก เด็กๆกระโดดลงมาจากด้านในทีละคน ถัดมาก็เป็นผู้ชราที่เดินลงมา
คนที่รู้สึกตื่นตะลึงเช่นเดียวกันก็คือหวีหรูเจี๋ย
ผ่านไปหลายปีแล้ว เธอก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง ที่นี่กลบฝังความทรงจำของเธอมากมายเอาไว้
แต่ความทรงจำเหล่านั้นล้วนไม่ได้มีความสุขขนาดนั้น
เป่หมิงโม่เดินไปถึงปากทางเข้าสวนแล้วก็หันหน้ากลับมามองอีกหลายคนที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นสายตาก็หยุดอยู่ที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของกู้ฮอน “ที่นี่เคยเป็นที่จัดงานแต่งงานของผมกับเฟยเอ๋อ แต่ว่างานแต่งงานในครั้งนั้นไม่ได้ถูกจัดขึ้น ส่วนที่ว่าทำไมนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น ผมไม่อยากจะเอ่ยถึงมันอีก งานไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น สำหรับผมแล้วคล้ายกับว่านี่เป็นโอกาสครั้งใหม่”
พูดแล้ว เขาก็หันไปมองที่มารดา “แม่ครับ แม่รู้ไหมว่าทำไมผมถึงพาทุกคนมาที่นี่”
หวีหรูเจี๋ยส่ายหน้าเบาๆ
ที่จริงแล้วในใจของเธอก็น่าจะเดาได้
เป่หมิงโม่เอ่ยต่อว่า “ที่แห่งนี้เคยเป็นของขวัญที่คุณพ่อมอบให้คุณแม่ ให้อภัยในเหตุผลส่วนตัวของผมด้วย ผมคิดว่ามีเพียงแค่สถานที่แห่งนี้เท่านั้นที่จะมีความทรงจำทั้งหมดของคุณพ่อและคุณแม่อยู่”
“โม่ แม่สามารถเข้าใจความคิดของลูกได้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ความคิดของตัวเอง แต่ว่าวันนี้ลูกไม่ใช่ตัวเอกเพียงคนเดียว”
การที่เป่หมิงโม่ทำแบบนี้ บวกกับคำพูดเมื่อครู่นี้ ทำให้หวีหรูเจี๋ยรู้สึกไม่เป็นตัวเองอยู่บ้าง
ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากความชอบและไม่ชอบของตัวเอง กลับละเลยความรู้สึกของกู้ฮอนอีกครั้ง
มองออกว่า กู้ฮอนคล้ายกับว่ามีความพะว้าพะวังกับสถานที่แห่งนี้เล็กน้อย
ถึงอย่างไรสถานที่แห่งนี้ ถ้าให้พูดกันอย่างเข้มงวดหน่อยก็ต้องบอกว่า ก่อนหน้านี้ไม่นานที่ละแวกใกล้เคียงนี้มีเหตุการณ์สังหารหมู่เกิดขึ้น
ท่านปู่เป่หมิงก็เสียชีวิตด้วยเหตุนี้
แม้ว่าจะเป็นการฉลองวันเกิด ก็ควรจะหาสถานที่ที่ดีกว่านี้อีกหน่อย
หวีหรูเจี๋ยยังคงค่อนข้างให้ความสนใจกับความรู้สึกของกู้ฮอน ก่อนที่เธอจะพูดออกมา ทางที่ดีตัวเองควรจะพูดในสิ่งที่เธอต้องการจะพูดให้หมด
แม้ว่าจะทำให้ลูกชายไม่มีความสุข แต่ตำแหน่ง คนชั่วร้ายนี้ มีเพียงแค่ตัวเองที่ต้องทำ แบบนี้ถึงจะสามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาสองคนจะไม่เกิดความขัดแย้งกันขึ้นมาในตอนนี้
“คุณป้าหวีหรูเจี๋ย หนูคิดว่าที่นี่ก็ไม่เลวเลย หนูชอบสภาพแวดล้อมของที่นี่ ในเมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายนั้นยากที่จะหาสถานที่แบบนี้ได้แล้วค่ะ”