บทที่ 1131 เธอกำลังหึงหรือ
แต่กู้ฮอนรู้สึกว่าช่วงคืนวันที่มาถึงที่นี่ ดูเหมือนผู้ชราทั้งสองจะอยู่อย่างมีความสุขมากกว่าตอนที่อยู่บ้านเป่หมิงโม่เล็กน้อย
ถ้าหากว่าผลีผลามเอ่ยกับผู้ชราทั้งสองว่าจะกลับไปล่ะก็ พวกเขาจะคิดอย่างไรกันนะ
อาจจะทำร้ายความรู้สึกของพวกเขา หรือทำให้พวกเขารู้สึกหมดสนุก
คราวนี้ดูท่าการเอาชนะจะมีความยากอยู่บ้าง
ช่างมันเถอะ ตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่เดินแล้วว่ากันไปทีละก้าวแล้ว
เธอก้มหน้าฝากรอยจูบไว้บนหน้าผากของจิ่วจิ่ว “ทารกน้อย นอนหลับให้สบายก่อนเถอะนะลูก พวกเราไม่อาจคิดแต่จะทำตามความชอบของตัวเองอย่างเดียว คิดจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ลูกดูสิ คุณปู่คุณย่าอยู่ที่นี่ก็มีความสุขมากไม่ใช่หรือ พวกเราอยู่เป็นเพื่อนพวกเขาอีกสักสองสามวันดีไหมคะ”
จิ่วจิ่วฟังคำพูดของคุณแม่แล้วก็พยักหน้า อย่าเห็นว่าเธออายุน้อย แต่ก็เป็นเด็กที่เชื่อฟัง รู้เรื่องคนหนึ่ง
*
“หรูเจี๋ย ช่วงเวลาที่พวกเราอยู่ที่นี่ก็ไม่น้อยแล้ว ผมว่าควรจะกลับไปแล้ว” โม้จิ่งเฉิงเอ่ย ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ร่างกายพิงเข้ากับพนักพิงบริเวณหัวเตียง
หวีหรูเจี๋ยหันหน้ามามองเขา “อย่างไร อยู่ที่นี่ไม่มีความสุขหรือคะ เด็กๆซุกซนเกินไปใช่หรือไม่”
โม้จิ่งเฉิงยิ้มบางๆ หันหน้าไปมองเธอ “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน เพียงแต่ว่าพวกเราก็ออกมาเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ควรจะกลับไปเยี่ยมโม่บ้าง เขาอยู่ที่นั่นคนเดียว…….”
หลังจากที่เก็บตัวอยู่ในบ้านมาหลายวัน ในที่สุดเป่หมิงโม่ก็วาดภาพจิตรกรรมภาพใหม่ที่อยู่เบื้องหน้าในตอนนี้สำเร็จ
เขาถอยกลับมามองภาพรวมทั้งหมดที่ด้านหลังโซฟา หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที เขาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
หลังจากที่จัดการทำให้ภาพวาดนี้แห้งเรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็นำมาคลุมทับเป็นวอลเปเปอร์บนภาพวาดที่มีสีสันเช่นเดียวกันก่อนหน้านี้อย่างระมัดระวัง
แบบนี้ หลังจากที่พวกเขากลับมาแล้วก็จะไม่พบอะไรที่ไม่เหมาะสมที่นี่
จนกระทั่งถึงวันแต่งงานวันนั้นจะได้มอบเซอร์ไพรส์ให้กับกู้ฮอนและคนในครอบครัว
แผนการทั้งหมดนี้ก็จะสามารถเรียกได้ว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ จริงๆ
หลังจากที่เขาเพิ่งจะจัดการเรื่องราวในส่วนนี้เสร็จเรียบร้อย ก็ได้รับโทรศัพท์ที่โทรมาจากเฉิงเฉิง “คุณพ่อครับ คุณพ่ออยู่คนเดียวเป็นอย่างไรบ้างครับ พวกเราล้วนคิดถึงคุณพ่อมากเลย คุณปู่โม้และคุณย่าปรึกษากันเรียบร้อยแล้วว่า พวกเราจะกลับไปในอีกสองวันครับ”
เป่หมิงโม่เปิดลำโพงในโทรศัพท์ ได้ยินเสียงลูกชายลอยออกมาจากในไมโครโฟน
“พ่ออยู่ที่นี่ก็ดีนะ พวกลูกก็อย่ามัวแต่ห่วงเล่น ต้องช่วยคุณแม่ดูแลคุณปู่และคุณย่าด้วยรู้หรือไม่”
“โม่ ลูกวางใจเถอะ เด็กๆล้วนน่ารักเชื่อฟังมาก” ตอนนี้เองที่ในโทรศัพท์ก็มีเสียงของหวีหรูเจี๋ยลอยออกมา
“แม่ครับ แม่ไม่อาจจะลำเอียงเข้าข้างพวกเขา เพียงเพราะว่าเป็นหลานของแม่นะครับ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เป่หมิงซีหยาง ถ้าเจ้าเด็กคนนี้ไม่ได้รับการควบคุมดูแลให้อยู่ในระเบียบวินัย เขาจะสามารถอยู่นิ่งๆได้หรือครับ”
นี่ก็พูดได้ตรงประเด็นจริงๆ
“พ่อครับ พ่อไม่อาจจัดการผู้อื่นลับหลังได้นะครับ ผมอยู่ที่นี่ก็เป็นเด็กดีมาก ไม่เชื่อพ่อถามคุณปู่กับคุณย่าสิครับ” คราวนี้เป็นเสียงบ่นของหยางหยางที่ลอยออกมา
“ที่ลูกพูดมาก็เป็นเพียงแค่คำพูดฝ่ายเดียว พวกเขาล้วนรักและเอ็นดูลูกมาก แน่นอนว่าสามารถยอมให้ลูกพูดอย่างไรก็ได้ แต่ว่าลูกก็อย่าคิดอาศัยสิ่งนี้มาปกป้องให้ตัวรอดพ้นจากความผิดรู้หรือไม่” เป่หมิงโม่ทำได้เพียงแค่กำชับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ให้เจ้าเด็กนี่รู้สึกตลอดเวลาว่า ตัวเองกำลังถูกสังเกตมองอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการดีใจจนลืมตัว เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ
แน่นอนว่าการปฏิบัติตัวเช่นนี้ มีไว้สำหรับหยางหยางเป็นพิเศษ
ลองคิดดูว่าภายในครอบครัวหนึ่ง เด็กที่จะได้รับความสนใจไม่ใช่เด็กที่ไม่เชื่อฟังหรอกหรือ
เพราะว่าเมื่อผู้ใหญ่ไม่ระวัง ก็จะสามารถสร้างเรื่องวุ่นวายอะไรสักอย่างออกมาได้จริงๆ
เรื่องวุ่นวายเล็กๆประเภทนั้นล้วนสามารถมองข้าม ไม่คิดเล็กคิดน้อยได้ แต่ว่าส่วนใหญ่นั้นล้วนจินตนาการไม่ถึงมากกว่า
มีเพียงแค่ร่ายมนต์แห่งการดับโทสะใส่เหมือนกับเห้งเจียเท่านั้น ถึงจะอยู่นิ่งๆได้
“รู้แล้วครับๆ…..ผมรู้มาตั้งนานแล้วว่าเฉิงเฉิงเป็นสายลับของพ่อ แต่ว่าพ่อครับ พ่อก็อย่าคิดว่าผมเป็นปีศาจที่ชั่วร้ายเกินไป ที่จริงแล้วผมเป็นเด็กดีมากจริงๆ” หยางหยางรู้สึกหมดความอดทนอยู่บ้าง คำพูดแบบนี้เขาได้ฟังบ่อยเกินไปแล้วเช่นกัน
เฉิงเฉิงที่อยู่ด้านข้างนั้น ไม่ว่าอะไรก็ล้วนได้ยินหมด เขาทำได้เพียงแค่ถอนหายใจยาว ดูท่าการทำหน้าที่เป็นพี่ชายของตัวเอง จะเป็นไม่ได้ง่ายๆเลยจริงๆ
การคุยโทรศัพท์ในครั้งนี้นั้นไม่นานนัก แต่เสียงเดียวที่ไม่ได้ยินก็คือเสียงของกู้ฮอน
นี่ทำให้เป่หมิงโม่รู้สึกผิดหวังไม่มากก็น้อย
เขากำลังคาดเดาว่า ตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ จินตนาการถึงท่าทางของเธอ
ส่วนกู้ฮอนนั้นก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ลูกๆกำลังคุยโทรศัพท์กับเป่หมิงโม่ เธอเก็บกระเป๋าอยู่ในห้องเพียงคนเดียว
ทั้งผู้ชราและเด็ก ในตอนนี้มีเพียงเธอที่ยุ่งอยู่คนเดียว
ไม่อาจที่จะไม่พูดว่า ในสายตาของหวีหรูเจี๋ยและโม้จิ่งเฉิง เธอเป็นลูกสาวและลูกสะใภ้ที่ดีคนหนึ่งจริงๆ
ก็แค่หวังว่าเป่หมิงโม่จะสามารถสู่ขอเธอแต่งงานได้อย่างถูกต้องในเร็ววัน
แบบนี้ ความปรารถนาในชีวิตนี้ของผู้อาวุโสทั้งสองคนก็จะถือได้ว่าเป็นจริง
ภายในสนามบินคับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวที่รีบร้อน
ภูมิอากาศ ลมอ่อนๆ และแสงอาทิตย์ที่สาดส่องในวันนี้ ดูแล้วเป็นวันที่มีอากาศไม่เลวเลยวันหนึ่ง
แน่นอนว่านี่ก็เป็นวันดีที่ญาติพี่น้องได้กลับมาพบหน้ากัน
ภายในห้องโถงของสนามบิน ผู้คนล้วนมารวมตัวรอคอยกันอยู่หน้าทางออกอย่างร้อนใจ
เบื้องหลังกลุ่มคนเหล่านี้มีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สองคนยืนอยู่ไม่ไกลนัก
หนึ่งในนั้นมีชายหนุ่มที่สวมเครื่องแต่งกายดูดีสะดุดตาอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายเขาแผ่กลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่ขาดสาย
มีผู้คนมากมายที่จำสถานะของทั้งสองคนได้ แต่เนื่องด้วยกลิ่นอายนั้น จึงทำได้เพียงแค่เคารพอยู่ห่างๆ
แน่นอนว่า เป่หมิงโม่ไม่ได้วางแผนยืนเฝ้าอยู่ที่ตำแหน่งทางออกนั้นเหมือนกับคนอื่นๆ นั่นไม่เหมาะสมกับสถานะของเขา
ที่จริงแล้ว การที่เขามาถึงที่นี่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากแล้ว
ตารางการบินที่อยู่เหนือศีรษะของผู้คนนั้นเปลี่ยนไปมาไม่หยุดหย่อน นอกบานกระจกสามารถมองเห็นลู่วิ่งเครื่องบินได้อย่างชัดเจน
หลังจากที่แต่ละเที่ยวบินเคลื่อนผ่านไปด้วยความรวดเร็วก็พุ่งตัวขึ้นไปกลางอากาศ มุ่งหน้าบินไปยังแดนไกล
ที่ปลายทางของลู่วิ่งอีกลู่หนึ่ง ก็มีเงาของเที่ยวบินที่ปรากฏขึ้นอีกในเร็วๆนี้…….
การรอคอยเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความร้อนใจมาก
“เจ้านาย คุณพักผ่อนตรงนั้นสักหน่อยเถอะครับ รอจนพวกคุณผู้หญิงมาถึงแล้ว ผมไปรับก็ได้ครับ” ในมือของฉิงฮัวถือแก้วกาแฟที่มีควันร้อนลอยกรุ่นที่เพิ่งซื้อมาเมื่อครู่นี้อยู่สองใบ
“ไม่เป็นไร ฉันรอที่นี่ก็ได้” เป่หมิงโม่พูด และรับกาแฟมาแก้วหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยจิบมันอย่างช้าๆ
เวลาที่ผ่านไปแต่ละนาที แต่ละวินาที ผู้คนที่มารอรับคนที่สนามบินมาแล้วก็ไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
พวกเขายืนส่งผู้คนด้วยสายตาไปหลายรอบแล้ว แต่สุดท้ายกลับไม่มีแม้แต่เงาร่างของคนที่ตัวเองอยากพบหน้า
ท้องฟ้าด้านนอกสนามบินค่อยๆเปลี่ยนจากสว่างจ้าเป็นมืดสลัวเล็กน้อยแล้ว
ในที่สุดพวกเขาก็ได้ยินข่าวสารที่อยากได้ยินมากที่สุดลอยมาตามเสียงประกาศ
เป่หมิงโม่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มีกระแสความอบอุ่นเอ่อล้นขึ้นมาในใจ และก็มีความรู้สึกตื่นเต้นตามมาด้วย
ที่จริงแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องมีความรู้สึกแบบนี้ เพียงแต่ว่าในตอนนี้เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่
“เจ้านายดูสิครับ”
เมื่อมองไปตามทิศทางที่นิ้วของฉิงฮัวชี้ไปแล้ว ก็เห็นเครื่องบิน Airbus ลำหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางผืนฟ้าอันแสนไกล โครงข้างใต้ลำตัวเครื่องถูกเปิดออก ไฟบนปีกเครื่องบินทั้งสองข้างสว่างมากเป็นพิเศษอย่างเห็นได้ชัด
ค่อยๆเคลื่อนที่เข้ามาใกล้มากขึ้น จนกระทั่งตอนที่ล้อหลังแตะลงบนพื้นดินก็มีควันสีขาวลอยขึ้นมา ถัดมาก็เป็นล้อหน้า
ความเร็วลดระดับลง…….
สุดท้ายก็ค่อยๆเคลื่อนที่ตามการชี้นำ หัวเครื่องบินหันไปทางลานจอดเครื่องบินช้าๆ
ตำแหน่งของพวกเขาสามารถมองเห็นตำแหน่งทางออกห้องผู้โดยสารได้พอดี
และก็ผ่านไปอีกไม่กี่นาที หลังจากรอให้เครื่องบินจอดนิ่งสนิท ประตูห้องโดยสารเชื่อมต่อเข้ากับบันไดขึ้นลงแล้ว
“เจ้านายครับ ผมเห็นคุณหญิงและคุณผู้หญิงพวกเธอแล้วครับ!” ฉิงฮัวชี้ให้เขาดูอีกครั้ง ความรู้สึกตื่นเต้นนั้นก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเป่หมิงโม่เลย “ผมจะไปช่วยพวกเขาถือกระเป๋าสัมภาระครับ”
เขาพูด พลางเดินเข้าไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว
เป่หมิงโม่อดไม่ได้ที่จะจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองเล็กน้อย
ผ่านไปชั่วครู่ โม้จิ่งเฉิงก็ประคองหวีหรูเจี๋ย ภายใต้การห้อมล้อมของกู้ฮอนและเด็กๆสามคนมาถึงด้านหน้าเขา
ด้านหลังพวกเขาก็คือฉิงฮัวที่เข็นกระเป๋าสัมภาระตามมา
“คุณพ่อ……” หลังจากที่เด็กๆเห็นเป่หมิงโม่แล้วก็ล้วนรู้สึกดีใจมาก
“โม่ สีหน้าเราดูแล้วไม่เลวเลยนะ” โม้จิ่งเฉิงเอ่ยทักทายเขา
เป่หมิงโม่ยิ้มน้อยๆ “ผมสบายดีครับ พวกคุณออกไปคราวนี้ถึงได้ไม่อยู่นานหน่อยล่ะครับ”
“ฮ่าๆ พวกเราอยากจะอยู่สักหลายวัน แต่ว่าเจ้าหญิงตัวน้อยของพวกเธอไม่ยินยอม” หวีหรูเจี๋ยหัวเราะฮาๆ ตอบกลับไป
สายตาของเป่หมิงโม่เคลื่อนไปที่ร่างของลูกสาวคนเล็ก
เขาค่อยๆย่อตัวลง มือใหญ่คว้าเธอเข้ามาในอ้อมแขนของตัวเอง
อุ้มเธอขึ้นมาแล้วเอ่ยกับคนอื่นๆว่า “พวกเรากลับบ้านกันเถอะครับ”
เอ่ยจบก็หมุนตัวเดินนำออกไปจากห้องโถงรับผู้โดยสารของสนามบิน
ทุกคนดูแล้วอารมณ์ดีกันมาก แต่ในใจของกู้ฮอนคล้ายกับว่าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
เจ้าหมอนี่จะไม่พูดอะไรกับตัวเองบ้างหรือ……
เธอเกือบจะเดินอยู่ท้ายสุด ใบหน้าเล็กๆนั้นมึนตึงเหมือนกับในปีนั้นที่เธอได้พบหน้ากับเป่หมิงโม่ สีหน้าความรู้สึกที่เขาตอบสนองกลับมานั้นเหมือนกันทั้งหมด
นี่เธอกำลังหึงหรือ
ตอนนี้ดูท่าแล้วจะมีความเป็นไปได้มาก
เมื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน ก็ไม่รู้สึกอะไร ทั้งยังตาต่อตา ฟันต่อฟันกันโดยไม่ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจด้วย
รอจนกระทั่งจากกันเป็นช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ก็จะแสดงความคิดถึงเล็กๆน้อยๆออกมา
แต่ความรู้สึกประเภทนี้ก็ถูกขัดขวางด้วยศักดิ์ศรีบางอย่าง หรืออะไรอื่นๆ สรุปแล้วไม่สามารถเป็นฝ่ายแสดงมันออกมาได้
จนกระทั่งตอนนี้ ตอนที่เธอเห็นสายตาของเป่หมิงเอ้อ เจ้าหมอนี่เบนไปยังร่างของทารกน้อยนั้น เธอก็รู้สึกไม่สงบขึ้นมาเล็กน้อย
จะมีวิธีอะไรอีกนะ เดิมลูกสาวก็เป็นสุดที่รักในชาติก่อนของผู้เป็นพ่อ แฟนคนปัจจุบันจะไปเทียบกับผู้อื่นได้อย่างไรกัน
แฟนคนปัจจุบันหรือ กู้ฮอนปฏิเสธตำแหน่งนี้ระหว่างตัวเองกับเป่หมิงโม่ในทันที
*
ระหว่างเดินทางกลับไป จิ่วจิ่วเหมือนกับเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง เธอนั่งอยู่บนเบาะนั่งนิรภัย ปากเล็กๆนั่นสนทนากับเป่หมิงโม่ไม่หยุด
เล่าสิ่งที่เธอประสบพบเห็นและได้ฟังมาในแดนไกล รวมถึงเรื่องสนุกที่เกิดขึ้นระหว่างเฉิงเฉิงและหยางหยาง
ฉิงฮัวรับผิดชอบขับรถ เป่หมิงโม่นั้นนั่งอยู่ข้างกายจิ่วจิ่ว ฟังเสียงพูดสดใสของเด็กน้อย รวมไปถึงคำพูดที่แสดงออกมาอย่างคลุมเครือ ไม่ชัดเจนเล็กน้อยมาตลอดทาง
***
“ในที่สุดพวกเราก็กลับมาแล้ว…….” หยางหยางที่เข้ามาถึงห้องรับแขก ก็วิ่งอย่างรวดเร็ว กระโดดทิ้งตัวลงบนโซฟา
“หลานรัก หลานต้องระวังหน่อยนะ” หวีหรูเจี๋ยรีบเอ่ยกำชับ
ไม่ใช่ว่าเธอเป็นห่วงหรือกังวลว่าโซฟาจะทนรับแรงกระแทกจากเฉิงเฉิงไม่ไหว แต่เป็นกังวลว่ากระดูกของหลานตัวน้อยจะถูกโซฟาทำให้บาดเจ็บ
เด็กคนนี้อยู่ในช่วงกำลังเจริญเติบโต พูดได้ยากว่าหากร่างกายได้รับการกระทบกระเทือนจากโลกภายนอกแล้ว หลังจากที่เติบโตขึ้นไปแล้วจะเกิดผลกระทบอะไร
ความห่วงใยที่ผู้ชรามีต่อเด็กๆนั้น เป่หมิงโม่และกู้ฮอนที่มีฐานะเป็นผู้ปกครองล้วนรู้สึกไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง
แน่นอนว่าเป่หมิงโม่นั้นอดทนฝึกฝนทีละก้าว ทีละก้าวมาตั้งแต่เด็ก
ส่วนกู้ฮอนนั้นคิดว่า เด็กผู้ชายจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆในโลกภายนอก ยิ่งไปกว่านั้น เธอก็รู้ว่าหยางหยาง เจ้าเด็กนี่เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ช่วงเวลาที่พวกเธอแม่ลูกใช้ชีวิตกันเอง เรื่องวุ่นวายมากกว่านี้ เขาล้วนเคยทำ